นี่เป็นอสนีเคราะห์สายสุดท้าย
แต่กลับเงียบเชียบไร้เสียงดั่งทวนพิพากษามาเยือนโลก
ขณะนี้ทุกคนต่างสั่นสะท้าน ทั้งเมืองเงียบสงัด
ต่อให้เป็นบุคคลอย่างเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูยังหรี่ตาอย่างอดไม่ได้ สีหน้าเคร่งเครียด
ด้านหลินสวินที่ยืนกลางอากาศท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดเช่นนี้พลันเคลื่อนขึ้นไปราวกับรุ้งเทพทะลุเมฆา ยื่นมือไปคว้าทวนศึกอสนีเคราะห์เล่มนั้น!
สายตานับไม่ถ้วนล้วนแข็งทื่อ จิตใจว่างเปล่า ต่างคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะตรงไปตรงมาและใจกล้าปานนี้!
เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูมึนงงไปครู่หนึ่ง ออกจะตั้งตัวไม่ทัน
นั่นเป็นถึงอสนีเคราะห์ที่น่ากลัวที่สุด ต่อให้เป็นพวกเขายังสัมผัสได้ว่าพลังเช่นนั้นไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
แต่หลินสวินกลับลงมือทันที!
พอคิดดูดีๆ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลินสวินลงมือจริงๆ ตั้งแต่เขาฝ่าด่านเคราะห์ ตัวเขาก่อนหน้านี้ดื่มสุรา มองอสนีเคราะห์เป็นอากาศธาตุมาโดยตลอด
แต่ใครจะคิดว่าทันทีที่เขาลงมือจะเป็นภาพอันน่าตื่นตาเช่นนี้
ตูม!
เสียงระเบิดเสียงหนึ่งทำลายความเงียบกลางฟ้าดิน กระทบจิตใจทุกคนอย่างรุนแรง
ก็เห็นว่าหลินสวินคว้าอสนีเคราะห์สายนั้นไว้มั่น แสงประกายอันน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบปะทุออกมาระหว่างตัวเขากับอสนีเคราะห์ ทำให้ห้วงอากาศยุบตัวโครมคราม
มองดูไกลๆ ดุจดั่งเทพองค์หนึ่งกำลังกำราบมังกรร้ายจากนอกสวรรค์ ดูอาจหาญหาใดเทียม อหังการเหนือโลกา
เปรี้ยง!
อสนีเคราะห์ดุจทวนศึกดิ้นรนรุนแรง สายฟ้าคลุมเครืออันเป็นตัวแทนของอานุภาพสวรรค์ก่อให้เกิดกลิ่นอายทำลายล้างน่าครั่นคร้าม ราวกับภูเขาถล่มทะเลคำราม
แต่ที่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงก็คือ หลินสวินพลันส่งเสียงคำรามยาวครั้งหนึ่ง มือทั้งสองจับอสนีเคราะห์สายนั้นไว้แล้วออกแรงในทันใด
เปรี๊ยะ!
ทวนศึกถูกหักออกเป็นสองท่อนทั้งอย่างนั้นท่ามกลางเสียงดังกึกก้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!
“นี่…”
เหล่าสัตว์ประหลาดระดับราชันเหล่านั้นต่างนิ่งอึ้ง ในใจถูกความสั่นสะท้านไร้ที่สิ้นสุดเข้าแทนที่
สรรพชีวิตในนครต้องห้ามเพียงเห็นว่าเงาร่างราวเทพเทวัญร่างหนึ่งหักแสงสายหนึ่งกลางเวิ้งฟ้านั้น!
เฒ่าเดียวดายพลันตบหน้าขา “แม่งน่าสนใจเป็นบ้า!”
ด้านราชครูยิ้มแล้ว สีหน้ายินดีปรีดาและทอดถอนใจอย่างบอกไม่ถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้าชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น
ครืน!
อสนีเคราะห์ถูกหักสะบั้น ฉับพลันกลายสภาพเป็นแสงอสนีน่าสะพรึงกลัว ระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่นในมือหลินสวิน ส่องสว่างไปทั่วฟ้าดินแห่งนั้น
ส่วนหลินสวินก็เป็นดั่งหินแกร่งที่ตั้งตระหง่านกลางคลื่นกรรโชกก้อนหนึ่ง ไม่ว่าจะถูกกัดเซาะเช่นไรก็ไม่เคลื่อนไหวแม้สักนิด
ภาพนี้เหมือนรอยประทับ กลายเป็นร่องรอยที่ไม่อาจลบเลือนได้ภายในใจทุกคนในนครต้องห้าม
ต่อให้ผ่านไปอีกหลายปี ทุกคนก็ยังจำได้ว่าตอนนั้นเคยมีคนผู้หนึ่งหักสะบั้นอสนีเคราะห์ มีพลังทำลายเคราะห์สวรรค์อยู่ใต้เวิ้งฟ้า!
ชั่วขณะนั้นเงาร่างของเขาส่องแสงสีเขียวอันเป็นนิรันดร์ดุจแสงมรรค
……
วันนี้หลินสวินฝ่าอมตะเคราะห์ด่านแปด ทำลายเคราะห์โชคชะตา สะเทือนนครต้องห้าม ทุกคนสั่นสะท้านเพราะเขา
พอเมฆาเคราะห์สลาย ความมืดมิดจางหายแสงสว่างบนท้องฟ้ากลับมาอีกครั้ง ทุกคนต่างงุนงงเหมือนฝันไป
‘ตระกูลหลินมีเด็กนี่อยู่ก็ไม่มีใครสั่นคลอนได้แล้ว!’
ขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลมากมายลอบถอนใจ
“คุณชายหลินเก่งกาจดั่งเทพ!”
ในเมืองวุ่นวาย ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์อย่างตื่นเต้น
บนภูเขาชำระจิตก็ครึกครื้นไปหมด คนตระกูลหลินแต่ละคนต่างสีหน้าเจือความภูมิใจ ยำเกรง เคารพยกย่องและมีชีวิตชีวา
แม้แต่ชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นกับเหล่าข้าทาสบริวารเหล่านั้นยังตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้น ยินดีปรีดาไม่ว่างเว้น
หลินสวินในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสรรเสริญอะไรแล้ว ขอเพียงเขาอยู่ ก็เป็นตำนานที่สามารถทำให้ทุกคนในโลกร้องออกมาอย่างชื่นชมได้!
และตำนานนี้ก็เป็นของตระกูลหลินของพวกเขา!
……
ฟู่!
หลังจากฝ่าด่านเคราะห์ หลินสวินนั่งสมาธิสงบใจ เพียงรู้สึกว่าเข้าถึงได้ทั้งภายในและนอกร่างกาย จิตใจผ่องใส จิตวิญญาณแจ่มกระจ่าง
รู้สึกเป็นดั่งใจต้องการไม่ผิดครรลองยิ่งนัก
ทะลวงผ่านเคราะห์โชคชะตา ก็เหมือนกับทำลายพันธนาการไร้รูปร่างบนเส้นทางอมตะ สลัดสิ่งกีดขวางที่ดำรงอยู่ในความมืด ได้รับอิสรภาพ หลุดพ้นไร้สิ่งผูกมัด
นอกจากนี้สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรวมถึงพลังปราณยังเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดินไปด้วย แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนไม่รู้เท่าไร
แต่สิ่งที่ได้รับมากที่สุดก็คือเจตจำนงที่เชื่อมั่นว่าไร้คู่ต่อกร!
หลินสวินรู้ดีว่ามรรคาที่ตนเดินอยู่ต่างจากวิถีโลก ต่างจากทุกคน และต่างจากเส้นทางมกุฎของคนอื่นในรุ่นเดียวกัน
เส้นทางสายนี้เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน
เพราะเป็นเช่นนี้ถึงดูยากลำบากและอันตรายหาใดเทียบ
แต่เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่พลังปราณเลื่อนขั้นขึ้นไป พลังที่ได้รับก็น่าตกตะลึงหาใดเปรียบ เทียบกับคนอื่นไม่ได้!
‘เคราะห์ที่เก้ามีนามว่าอมตะ เป็นด่านเคราะห์ด่านสุดท้ายบนมรรคาอมตะ แต่ขอเพียงไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไรก็ไม่อาจขวางข้าได้แล้ว’
หลินสวินสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของพลังทั้งกายพลางครุ่นคิด
‘เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ ที่ควรคิดคำนึงที่สุดก็คือเคราะห์มรรคตัดขาด…’
เฒ่าโดดเดี่ยวเคยกล่าวไว้ในตัวเขามีข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง หากไม่อาจแก้ไข เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะฝ่าเคราะห์มรรคตัดขาดไม่ได้
ข้อบกพร่องนี้ก็คือการฝึกมรรคาหลอมกาย
‘ตั้งแต่นี้ไปต้องให้ความสำคัญกับการหลอมกายเป็นหลัก ก่อนเคราะห์มรรคตัดขาดมาเยือนจะต้องหลอมรวมวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์กับมรดกของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพให้สมบูรณ์…’
แววแน่วแน่ไหววูบในดวงตาดำของหลินสวิน
เคราะห์มรรคตัดขาดเป็นเคราะห์ที่น่ากลัวและอันตรายที่สุดก่อนบรรลุอริยะ ดุจดั่งคูน้ำสวรรค์ หลังยุคดึกดำบรรพ์ก็ไม่มีใครข้ามไปได้อีก
และตอนนี้ประจวบเหมาะกับมหายุคพอดี จึงมอบโอกาสและความเป็นไปได้ที่หลินสวินจะฝ่าเคราะห์นี้ครั้งหนึ่ง
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาต้องคว้าไว้ให้มั่น
……
“หลังข้าไปคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไร ในนี้มีสมบัติอริยะ โอสถราชัน ของล้ำค่าศักดิ์สิทธิ์บางส่วนก็ทิ้งไว้ที่ตระกูลหลินทั้งหมด ให้ลุงจงคอยดูแล”
เจ็ดวันต่อมาหลินสวินเรียกหลินจงมาหาแล้วไหว้วาน
วันนี้เขากำลังจะไปเรือนโอบดารานิทราบุหลัน เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดโดยอาศัยพลังของเฒ่าโดดเดี่ยว เขามีบางเรื่องต้องฝากฝังและไหว้วานก่อนไป
หลินสวินพูดพลางหยิบกำไลเก็บของอันหนึ่งออกมาส่งให้หลินจง
ในกำไลเก็บของนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่หลินสวินสะสมไว้ เช่นโอสถราชันที่มีผลดีต่อการฝึกปราณนานาชนิด วัตถุดิบเทพ รวมถึงสมบัติอริยะอย่างบาตรดำสนิทที่ได้มาจากกู่ฝอจื่อ ทวนวงเดือนที่ชิงมาจากไป๋หลงถิง…
รวมๆ แล้วมีเจ็ดแปดชิ้น หากอยู่ในโลกภายนอกแต่ละชิ้นต่างเป็นสมบัติที่สามารถทำให้อริยะยังหมายปอง แต่สำหรับหลินสวินแล้ว สมบัติเหล่านี้แม้สูงค่า แต่ไม่ใช่สิ่งจำเป็น
แทนที่จะวางให้ฝุ่นจับอยู่กับตน สู้ทิ้งไว้ที่ตระกูลหลินจะดีกว่า
“นายน้อย ท่านต้องดูแลตัวเองดีๆ นะขอรับ!”
แม้หลินจงรู้มานานแล้วว่าต้องมีวันนี้ แต่พอวันนี้มาถึงในใจก็ยังเปี่ยมไปด้วยความอาวรณ์และกังวล
“ลุงจง ท่านก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ บนภูเขาชำระจิตแห่งนี้คนที่ข้าเป็นห่วงที่สุดก็คือลุงจง ภายหน้าท่านเอาเรื่องจิปาถะที่อยู่ในมือส่งต่อให้คนอื่นทำก็พอแล้ว เวลาอื่นเอาไปใช้ฝึกปราณ เชื่อว่าด้วยความสามารถของท่าน ภายหน้าต้องบรรลุมรรคาอมตะได้แน่”
หลินสวินสีหน้าจริงจัง
ตั้งแต่สมัยเขาเข้ามาในนครต้องห้ามครั้งแรก หลินจงก็ติดตามข้างกายเขาอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด สำหรับหลินสวินแล้ว หลินจงก็คือผู้อาวุโสที่เขาเชื่อใจและใกล้ชิดที่สุด ไม่มีใครมาแทนได้
เขาทิ้งคัมภีร์ฝึกปราณกับใจความฝึกบำเพ็ญที่ตนได้รับบางอย่างไว้ให้หลินจง อีกทั้งยังเตรียมโอสถวิญญาณกับสมบัติที่จำเป็นต่อการฝึกปราณให้หลินจงด้วย
ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังว่าหลินจงจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีชีวิตยืนยาวขึ้นอีกหน่อย
“ได้ๆๆ”
หลินจงรู้สึกตื่นเต้นนัก เอ่ยว่า “ข้าต้องมีชีวิตรอนายน้อยกลับมาขอรับ”
หลินสวินเงียบไปแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่นานข้าก็กลับมาแล้ว ใครจะรู้เล่า ข้าได้ยินคนอื่นเคยพูดว่าขอเพียงเป็นการจากลาที่จะได้พบกันในภายหน้าก็จะไม่เรียกว่าการจากลา ลุงจงอย่าเสียใจมากนักเลย”
หลินจงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ต่อมาหลินสวินก็พบกับบุคคลสำคัญในภูเขาชำระจิตอย่างเสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซาน หลินไหวหย่วน หลินเสวี่ยเฟิงและราชันอินทรีแดง
พอได้รู้ว่าหลินสวินกำลังจะออกเดินทางอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไร พวกเขาต่างออกจะอาลัยอาวรณ์ไม่มากก็น้อย แต่ที่ทำมากยิ่งกว่าก็คืออวยพรและกำชับตักเตือน
นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกอบอุ่นในใจเช่นกัน
พอมีคนเป็นห่วงก็จะทำให้ไม่ถึงกับโดดเดี่ยวขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนฝูงก็เข้มแข็งกว่าหัวเดียวกระเทียมลีบ
“จิ๊บๆ!”
ยามหลินสวินเตรียมจะจากไป ทันใดนั้นเสียงจิ๊บๆ ถี่กระชั้นระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกลๆ
จากนั้นเงาเพลิงเงาหนึ่งก็เคลื่อนออกมากลางอากาศ พอดูดีๆ นั่นเป็นเจ้าตัวเล็กกลมเกลี้ยงราวลูกหนัง มีสีแดงเพลิงทั้งตัวตัวหนึ่ง
จิ๊บจิ๊บ!
หลินสวินอึ้งไป เจ้าหมอนี่ตื่นขึ้นมาแล้วหรือนี่
เมื่อหลายปีก่อนจิ๊บจิ๊บก็จมสู่ห้วงนิทราอย่างประหลาด ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลย
กระทั่งกลับมายังโลกชั้นล่างหลินสวิยังเคยไปเยี่ยมเจ้าหมอนี่ น่าเสียดายที่ตอนนั้นจิ๊บจิ๊บยังหลับลึกอยู่
ตามที่เสี่ยวอิ๋นตรวจสอบดู พอจะดูออกว่าจิ๊บจิ๊บเป็น ‘วิญญาณอัคคี’ ที่พบเห็นได้ยากนักชนิดหนึ่ง ถือกำเนิดกลางอัคคีเทพที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
ในสมัยบรรพกาลสิ่งมีชีวิตประเภทนี้หาได้ไม่ยาก พวกมันมีพรสวรรค์และวิธีฝึกปราณที่แตกต่างกันไป
อย่างจิ๊บจิ๊บ วิธีฝึกปราณของมันก็คือการนอนหลับ อีกทั้งเพราะเป็นร่างวิญญาณอัคคี อายุขัยของมันจึงยืนยาวถึงที่สุด แทบไม่มีปัญหาเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย
แต่เช่นเดียวกัน มันก็เลื่อนขั้นแปรสภาพได้ช้ายิ่งขึ้นไปด้วย
เสียงฉึบดังขึ้น ร่างกายอ่อนนุ่มกลมเกลี้ยงของจิ๊บจิ๊บพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนหลินสวิน จากนั้นมันก็ลืมตาสีดำสนิทกลมเกลี้ยงทั้งสองขึ้น ดูตื่นเต้นดีใจนัก ร้องจิ๊บๆๆๆ ไม่หยุด
หลินสวินยื่นมือออกไปทิ่มพุงจิ๊บจิ๊บ ยังยืดหยุ่นนุ่มนิ่มอย่างแต่ก่อน เหมือนกับลูกหนังนิ่ม ในใจก็ยินดีปรีดาอย่างห้ามไม่อยู่
สมัยอยู่ที่ค่ายกระหายเลือดจิ๊บจิ๊บก็ติดตามข้างกายเขา ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เจ้าตัวเล็กยังน่ารักไร้เดียงสาเหมือนแต่ก่อน ทำให้ทุกคนชื่นชอบเอ็นดู
น่าเสียดายที่วันนี้หลินสวินต้องไปสมรภูมิกระหายเลือดแล้ว ย่อมไม่อาจพาจิ๊บจิ๊บไปด้วยได้
กระทั่งจะจากไปจิ๊บจิ๊บน้ำตาคลอแล้วไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า ทั้งยังร้องจิ๊บๆ ไม่หยุด ท่าทางอาลัยอาวรณ์เช่นนั้นทำให้หลินสวินทนไม่ไหวอยู่ครู่หนึ่ง
แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงปลอบประโลมด้วยเสียงอ่อนโยน ให้เจ้าตัวเล็กฝึกปราณบนภูเขาชำระจิตรอเขากลับมา
บ่ายวันนั้นแสงอาทิตย์โพล้เพล้ หลินสวินมาถึงเรือนโอบดารานิทราบุหลันเพียงลำพัง
“เตรียมตัวดีแล้วหรือ”
เฒ่าโดดเดี่ยวรออยู่ก่อนแล้ว
หลินสวินพยักหน้า
เฒ่าโดดเดี่ยวพูดว่า “พกสิ่งนี้ไว้กับตัว ก็ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ถ้าพบกับศัตรูที่ต้านไม่ไหวก็สามารถนำของเล่นนี่มาขู่อีกฝ่ายให้กลัวได้ ไม่แน่อาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ ได้ครั้งหนึ่ง”
เขาพูดพลางเอาป้ายกระดูกมอซอชิ้นหนึ่งออกมาโยนให้หลินสวิน
——