ตามที่หญิงลึกลับกล่าว สมรภูมิกระหายเลือดในยามราตรีอันมืดมิดนั้น นำไปสู่อีกโลกหนึ่งจริงๆ
โลกแห่งนี้สร้างขึ้นจากร่างที่เปื่อยสลายของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!
และภายในร่างกายของเขา ทุกจุดทุกทวารล้วนกลายเป็นโลกใบหนึ่ง ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าถูกแบ่งเป็นโลกนับไม่ถ้วนที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนนี้เป็นใคร และเปื่อยสลายไปนานเท่าไรแล้ว ไม่มีทางรู้ได้อีกแล้ว
แต่สิ่งที่สามารถถมั่นใจได้คือ นี่เป็นระดับจักรพรรดิที่แข็งแกร่งสะท้านโลกถึงที่สุดคนหนึ่ง บุคคลชั้นยอดที่ทำให้หญิงลึกลับยังต้องเอ่ยปากชื่นชมเขา
และเวลานี้เอง หลินสวินเพิ่งรู้ว่า ‘ณ กายาแลดวงจิต ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นจักรวาล ’ ก็คือสัญลักษณ์ที่คัดแยกบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!
ลองนึกภาพดูว่าผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง แต่ภายในกายกลับเหมือนจักรวาลเวิ้งว้าง จุดชีพจร อวัยวะตันห้ากลวงหก แขนขา กระดูกทั้งปวง… ถึงกับแปรสภาพเป็นโลกใบหนึ่งได้ นี่มันน่าสะพรึงปานใดกัน
นี่ก็คือระดับจักรพรรดิ!
เมื่อนึกถึงสถานที่ที่ตนเหยียบอยู่ ถึงกับเป็นโลกที่เปลี่ยนสภาพจากจุดชีพจรเล็กๆ ไม่สะดุดตาของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ก็ทำให้จิตใจหลินสวินสั่นสะท้านวูบหนึ่ง
และเมื่อคิดว่าคู่ต่อสู้ที่ตนต่อสู้เข่นฆ่ามานานกว่าครึ่งปี คือไอสังหารเสี้ยวหนึ่งที่ระดับจักรพรรดิเหลือทิ้งไว้ตอนที่เปื่อยสลาย ซ้ำยังถูกอานุภาพกาลเวลากัดเซาะจนไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ในใจหลินสวินก็ยิ่งไม่อาจสงบได้มากขึ้นเรื่อยๆ
บุคคลระดับจักรพรรดิที่ยังมีชีวิตอยู่ จะน่าสะพรึงปานใดกันแน่
หลินสวินนึกถึงบุคคลชั้นยอดในยุคดึกดำบรรพ์อย่างจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง อริยพุทธซิงเจีย และนึกถึงจักรพรรดิสงครามดับดาราที่เป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นลุงของตน…
ทันใดนั้นเขาก็ตวัดสายตามองหญิงลึกลับโดยพลัน สีหน้าฉายแววประหลาด กล่าวว่า “ผู้อาวุโส หรือว่าท่านเองก็มี…”
หญิงลึกลับดูคล้ายจะเดาได้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าหลินสวินจะถามอะไร จึงกล่าวตัดบท “เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้… ตัวข้าเองก็ไม่อาจแบ่งแยกได้แล้ว…”
น้ำเสียงเจือแววเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก
ปัญหาข้อนี้นางคิดมานานเหลือเกิน!
นับตั้งแต่ตอนที่นางกลายเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ ห้องโถงมรรคาสวรรค์เป็นต้นมา นางก็ระบุไม่ได้ว่าตนเป็นใคร และมีปราณระดับใดกันแน่
ก็เหมือนกับในหัวสมองของนางสูญเสียความทรงจำที่สำคัญสูงสุดส่วนหนึ่งไป
นางเคยพยายามไปเสาะหาเบาะแส แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่พบสิ่งใด
หนำซ้ำในกาลเวลาเนิ่นนานไร้สิ้นสุดหลังจากที่กลายเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ นางก็ไม่เคยลืมเลือนเรื่องราวใดๆ อีกเลย
แต่หญิงลึกลับรู้ดีว่าความทรงจำช่วงหนึ่งที่สำคัญที่สุดของตนนั้น เลือนหายไปแล้ว…
นางรู้ดียิ่งว่าหากฟื้นความทรงจำคืนมาได้ บางทีนางอาจจะเข้าใจว่าเหตุใดถึงกลายเป็นผู้เฝ้าประตูโถงมรรคาสวรรค์แห่งนี้ ทั้งยังเฝ้าอยู่มายาวนานในกาลเวลาไม่รู้จบ
หลินสวินเองก็อึ้งไปเช่นเดียวกัน คนผู้หนึ่ง ถึงขนาดว่าตนมีปราณระดับไหนก็ยังไม่รู้เชียวหรือ
เห็นได้ชัดว่านี่ช่างเหลวไหลสิ้นดี
แต่สัญชาตญาณได้บอกหลินสวินว่า หญิงลึกลับที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้พูดปดแม้แต่น้อย เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด
“ในไม่ช้าที่นี่จะกลายเป็นพลังต้นกำเนิดและหายไปอย่างสิ้นเชิง โลกรัตติกาลอันมืดมิดของสมรภูมิกระหายเลือดก็จะไม่มีเหลืออยู่ด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพราะจุดเปลี่ยนสำคัญกำลังจะมาเยือนเร็วๆ นี้”
หญิงลึกลับพูดพลางพาหลินสวินจากไป
……
ภูเขาเมฆาคราม
เมื่อกลับมาที่เรือนหินของตน หลินสวินยังรู้สึกเหมือนฝันไปอยู่พักหนึ่ง
การเคี่ยวกรำเที่ยวหนึ่งกินเวลาต่อเนื่องแปดเดือนกว่าๆ ท่ามกลางความมืดมิด เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในการเคี่ยวกรำ หว่างคิ้วหลินสวินก็อดเจือแววเลื่อนลอยวูบหนึ่งไม่ได้
ใครจะกล้าคิดฝันว่าโลกยามราตรีที่ถูกมองเป็นเหมือนนรก ถึงกับแปรสภาพมาจากซากศพของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง
พักใหญ่กว่าหลินสวินจะค่อยๆ กลับสู่ความเยือกเย็นได้
เขาไม่สนใจเรื่องอื่น อย่างน้อยการเคี่ยวกรำในช่วงเวลานี้ก็ทำให้พลังหลอมกายของเขาเกิดการพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด
หนำซ้ำ มรรคาแห่งตนก็ปราศจากข้อบกพร่องอีกต่อไป!
“พลังหลอมปราณและหลอมวิญญาณอยู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดแล้ว ตอนนี้พลังหลอมกายก็ทะยานถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ระยะห่างที่เคราะห์มรรคตัดขาดจะมาเยือนก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เช่นกัน…”
นัยน์ตาดำของหลินสวินส่องประกาย
ก่อนจะบรรลุเป็นอริยะ เคราะห์มรรคตัดขาดก็เหมือนกำแพงธรรมชาติแห่งหนึ่ง กดข่มจิตใจหลินสวิน เมื่อนึกถึงเคราะห์ด่านนี้ หลินสวินก็รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก
เขามีลางสังหรณ์อยู่เนืองๆ ว่าเมื่อพลังหลอมกาย หลอมปราณ และหลอมจิตของตนทะลวงถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า มหาเคราะห์ครั้งนี้ต้องมาเยือนอย่างแน่นอน!
‘รอหลังจากเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคแล้ว ต้องออกเดินทางไปป่าต้นหม่อน บางทีคงมีแต่ที่นั่นเท่านั้นจึงจะมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ข้าทำลายเคราะห์มรรคตัดขาดนี้ได้…’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำการตัดสินใจในใจ
……
“เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนดีก่อนศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค หลินสวินยังไม่เคยออกด่านเลยหรือ”
เมื่อเร็วๆ นี้การวิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้เริ่มมีมากขึ้นในค่ายจักรวรรดิ
เพราะศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคกำลังจะเปิดม่านในอีกครึ่งเดือนให้หลัง ครั้งนี้ระหว่างค่ายจักรวรรดิและพันธมิตรหมื่นเผ่าจะตัดสินแพ้ชนะ
ในท้ายที่สุดจะมีผู้ชนะเพียงคนเดียวที่เหยียบย่างเขาพินิจมรรค และสำรวจร่องรอยมหามรรค!
“รายชื่อกำหนดออกมาแล้ว หลินสวินจะต้องร่วมศึกแน่ คราวนี้จักรวรรดิของเราอาจจะล้างอายคราวก่อน กำชัยในศึกถกมรรคครั้งนี้ได้!”
มีคนตั้งตาคอย
“เฮ้อ… อย่าคิดแง่ดีเกินไป ถึงแม้ฝ่ายพวกเราจะมีผู้แข็งแกร่งอย่างหลินสวิน หลี่ตู๋สิง แต่ฝ่ายพันธมิตรหมื่นเผ่าก็มีพวกโหดเหี้ยมสะท้านโลกที่ติดสิบอันดับแรกในกระดานพลังต่อสู้หมื่นเผ่าเหมือนกัน”
“ถ้าลำพังวัดกันแค่จำนวนพวกคนชั้นยอด พวกเราก็ยังอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี”
มีคนขมวดคิ้ว หวั่นวิตกไม่หาย
และเวลานี้เองจ้าวซิงเย่มาพบกับหลินสวิน กล่าวว่า “เตรียมพร้อมเรียบร้อยดีหรือไม่”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “เดินทางได้ทุกเมื่อ”
จ้าวซิงเย่เห็นสีหน้าหลินสวินสงบแน่วแน่ หนักแน่นมั่นใจก็อดกล่าวกลั้วหัวเราะไม่ได้ “ข้ารอให้เจ้านำข่าวดีมาให้ข้าอยู่นะ”
หลินสวินขบคิด สุดท้ายก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ตอนนี้ข้าห่วงแค่เรื่องเดียว”
หัวใจจ้าวซิงเย่บีบแน่น นี่มันเวลาไหนแล้ว หรือว่าเจ้าหมอนี่ยังไม่แน่ใจว่าจะชนะ นางอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “ห่วงเรื่องอะไร เจ้าแค่พูดออกมา สิ่งที่ข้าจัดการได้ จะทำตามคำขอเจ้าอย่างครบถ้วน”
หลินสวินรีบกล่าว “เอ่อ ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่ห่วงว่าคู่ต่อสู้จะไม่ได้เรื่อง…”
จ้าวซิงเย่อึ้งงัน จากนั้นบนใบหน้างามประหนึ่งล่มเมืองนั้นก็ปราฏรอยยิ้มขึ้นมา ถึงตอนท้ายก็อดระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “นี่คือประโยคที่บ้าที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาในช่วงหลายปีนี้ แน่นอน มันทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขมากที่สุดด้วยเช่นกัน”
บ้าหรือ
หลินสวินยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไร
เขาพูดได้หรือว่าตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือด เป้าหมายเดียวของเขาคือมุ่งหน้าไปป่าต้นหม่อนเท่านั้น
นั่นเป็นถึงสถานที่โกลาหลที่บุคคลระดับอริยะ มหาอริยะ ราชันอริยะ หรือแม้แต่ระดับกึ่งจักรพรรดิอาจจะปรากฏตัวขึ้นเชียว!
ส่วนการต้านทานผู้แข็งแกร่งสองค่ายใหญ่ที่เหลือ พูดตามตรง หลินสวินไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก
แน่นอน ประโยคพวกนี้เขาพูดออกมาไม่ได้ หาไม่เกรงว่าจ้าวซิงเย่อาจจะสงสัยว่าตนเหลิงจนลืมตัว…
เช้าตรู่สองวันต่อมา
พวกชั้นยอดสิบคนในค่ายอย่างหลินสวิน หลี่ตู่สิง ซ่งอู๋เชวีย สืออวี่ กงอวี่ได้ก้าวขึ้นยานสมบัติลำหนึ่ง
“พี่หลิน พวกเรารอท่านกลับพร้อมชัยชนะ!”
“สหายยุทธ์หลี่ ต้องช่วยพวกเราล้างความกล้ำกลืนด้วย!”
“ต้องชนะให้ได้นะ!”
ในค่าย ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างรวมตัวกันเพื่อส่งพวกหลินสวิน
ในนั้นก็มีพวกหนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี ถึงแม้พลังต่อสู้ของพวกเขาเหนือปกติ แต่เมื่อเทียบกับพวกสิบคนอย่างหลินสวินแล้วกลับห่างชั้นกันอยู่ส่วนหนึ่ง ไร้วาสนาเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค
เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกนึกเสียดายอยู่บ้าง
“หลินสวิน ต้องซัดไอ้พวงไข่เน่าต่างเผ่าพวกนั้นระเบิดเป็นจุณให้ได้!”
หนิงเหมิงตะโกนลั่น ประโยคเดียวทำให้ทั่วลานหัวเราะ หญิงสาวส่วนหนึ่งยังอดเคอะเขินไม่ได้ สบถด่าไม่หยุด
“ไม่ว่าอย่างไรพยายามให้ถึงที่สุด ฟังลิขิตฟ้าก็พอ”
เย่เสี่ยวชีกลับรู้สึกกังวลอยู่บ้าง จึงกำชับหลินสวินกับสืออวี่
สืออวี่อดกลอกตาไม่ได้ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ใกล้จะออกเดินทางอยู่แล้ว เจ้ากลับพูดจาเป็นลาง รอให้ข้ากลับมาก่อนเถอะจะต้องจัดการหมูอ้วนอย่างเจ้าแน่”
หลินสวินกลับหัวเราะพลางโบกมือ ไม่ได้พูดอะไรมาก
“ไปกันเถอะ”
จ้าวซิงเย่บังคับยานสมบัติ บรรทุกทุกคนพุ่งไปกลางอากาศ
……
“ศึกถกมรรคครั้งนี้ พวกเรากับฝ่ายพันธมิตรหมื่นเผ่าต่างส่งผู้แข็งแกร่งออกมาสิบคน กฎศึกถกมรรคนั้นง่ายดาย จับสลากลำดับการลงสนาม และสู้ตัดสินกับผู้แข็งแกร่งของอีกฝ่ายทีละคน เอาชัยชนะ หรือไม่ก็ฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย”
“ผู้ชนะจะสามารถท้าสู้ต่อไปเรื่อยๆ และสามารถเลือกพักรบก็ได้ สรุปแล้ว ตอนที่อีกฝ่ายแพ้หมดทุกคนจึงจะถือว่าศึกถกมรรคสิ้นสุด”
บนยานสมบัติ จ้าวซิงเย่อธิบายกฎต่างๆ อย่างกระชับรัดกุม
“ในศึกถกมรรคในอดีต จักรวรรดิของเราแพ้มากกว่าชนะ ไม่สิ พูดให้ถูกคือได้รับชัยชนะแค่ครั้งเดียว แต่คนชั้นยอดที่สูญเสียไปในศึกถกมรรคนั้นกลับมีมาถึงสามสิบสี่คน!”
พูดถึงตอนท้าย ใบหน้าของจ้าวซิงเย่ก็ฉายแววหมองเศร้าและเคียดแค้น
“คนพวกนั้น… เป็นถึงเสาหลักของจักรวรรดิพวกเรา แต่ละคนล้วนเป็นพวกชั้นยอดไม่มีใครเหมือน พวกเขาต่างมีแววที่จะเหยียบย่างบนระดับอริยะกันทั้งนั้น แต่พวกเขากลับตายในศึกถกมรรค!”
“พวกเขาตายเพื่อจักรวรรดิ แค้นนี้ ต้องชำระ!”
บนยานสมบัติ สีหน้าของทุกคนล้วนฉายแววดุดันแน่วแน่ คนไม่น้อยมีสีหน้าสลด นึกถึงสหายที่ล่วงลับในศึกถกมรรคที่ผ่านมาเหล่านั้น
บอกว่าเป็นศึกถกมรรค แต่ความจริงคือการต่อสู้เป็นตาย!
คนที่โชคดีอาจถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส โชคช่วยรอดชีวิตกลับมาได้
แต่สุดท้ายโชคดีก็ยังเป็นส่วนน้อย ในศึกถกมรรค ศัตรูไม่อาจปล่อยโอกาสใดๆ ที่จะโจมตีศัตรูไปได้!
นี่ก็คือศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค นองเลือดและโหดเหี้ยมอำมหิต
ระหว่างสามค่ายใหญ่ เพื่อกำจัดพวกชั้นยอดในขุมอำนาจของอีกฝ่าย ต่างทุ่มสุดตัวสุดกำลังในศึกถกมรรค!
หลินสวินเพิ่งมาถึงสมรภูมิกระหายเลือดเมื่อประมาณสองปีก่อน ยังไม่เคยเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค แต่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ในใจก็รู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
“จำไว้ ในศึกถกมรรค ต้องงัดพลังออกมาสุดตัว!”
จ้าวซิงเย่เอ่ยกำชับ
ทุกคนต่างพยักหน้า
ครั้งนี้จักรวรรดิจะสามารถพลิกสถานการณ์เสื่อมถอยในอดีต กำชัยในศึกถกมรรคครั้งนี้ได้หรือไม่
พวกเขาไม่รู้ แต่ทุกคนจะงัดพลังทุ่มสุดตัว!
หลังจากนั้นครึ่งวัน
ไกลออกไป ภูเขาสูงตระหง่านลักษระคล้ายระฆังคว่ำลูกหนึ่งก็ปราฏขึ้นในครรลองสายตา
ตัวเขาลูกนั้นขรุขระ หินประหลาดกองซ้อนกัน โล้นล้านเกลี้ยงเตียน ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า และปราศจากพลังชีวิตเข้มข้นห้อมล้อม
แต่ดูไปแล้วกลับให้ความรู้สึกบีบคั้นอย่างบอกไม่ถูกแก่ผู้คน
นี่ก็คือเขาพินิจมรรค!
ทุกๆ สามปี บนหน้าผาของยอดเขาลูกนี้จะปรากฏร่องรอยมหามรรคขึ้นภาพแล้วภาพเล่า มหัศจรรย์สุดหยั่ง
ที่ตรงนี้ ทุกๆ สามปีจะมีการต่อสู้ศึกถกมรรคอันอำมหิตนองเลือดระหว่างสามค่ายใหญ่ปะทุขึ้น
ที่ตรงนี้ เคยมีผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิมากมายถูกศัตรูสังหาร จากไปอย่างคับแค้น!
ทอดมองเขาลูกนี้จากไกลๆ หลินสวินพ่นลมหายใจขุ่นเฮือกยาว สีหน้าเรียบเฉย
ศึกถกมรรคครั้งนี้ เขาหลินสวินมาแล้ว ผลลัพธ์ย่อมต้องจารึกใหม่อย่างแน่นอน!
……………………..