หลินสวินมองทุกอย่างนี้ด้วยสายตาเย็นชา
เพราะกลิ่นอายบนตัวจ้าวหยวนจี๋กับตำหนักเก่าแก่นี้เกิดสัมพันธ์ที่ร้องรับกันโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น
ไม่ว่าจะเป็นค่ายพ่อมดเถื่อนหรือพันธมิตรหมื่นเผ่า รวมถึงสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในป่าต้นหม่อน ต่างไม่ยอมปล่อยจ้าวหยวนจี๋รอดชีวิตเข้าไปในตำหนักเก่าแก่แห่งนั้น
ดังนั้นถึงได้เกิดศึกกึ่งจักรพรรดิดุเดือดหาใดเปรียบเมื่อครู่ขึ้นมา
และยามนี้การมาของหลินสวินแม้ทำให้พวกจ้าวหยวนจี๋คว้าทางรอดเสี้ยวหนึ่งมาได้ แต่ขณะเดียวกันก็เรียกความระแวดระวังของสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงเหล่านั้นที่แต่เดิมเฝ้าดูด้วยสายตาเย็นชาอยู่ไกลๆ ขึ้นมาด้วย
ในความคิดของพวกเขา หลังจากมีหลินสวินและตัวดุร้ายน่าสะพรึงเจ็ดตัวนั้นเข้าร่วมด้วย พลังของพวกจ้าวหยวนจี๋ก็พุ่งทะยานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทันทีที่จ้าวหยวนจี๋เลือกเข้าสู่ตำหนักนั่น ไม่ว่าค่ายพ่อมดเถื่อนหรือพันธมิตรหมื่นเผ่า รวมถึงสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่าขุมอำนาจใดก็ไม่อาจต้านทานพวกจ้าวหยวนจี๋ได้
นี่เป็นภัยคุกคามที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองข้าม!
และเพราะเป็นเช่นนี้ เวลานี้สิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่เผ้าดูอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดพวกนั้นจึงไม่สามารถอดกลั้นได้อีก เลือกจะร่วมมือกับพวกอูจิ่วฉง หมายจะร่วมกันต่อกรพวกจ้าวหยวนจี๋
นี่ก็คือสาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ตรงหน้านี้ขึ้น
หลินสวินมองออกแล้ว พวกจ้าวหยวนจี๋ก็มองออกเช่นกัน ในใจอดหนักอึ้งไม่ได้ รับรู้ได้ว่าเมื่อเทียบกับเมื่อครู่สถานการณ์กลับยิ่งย่ำแย่มากขึ้น
บรรยากาศในลานอึมครึม คลื่นลมกำลังจะมา
สิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงเดินออกมาตัวแล้วตัวเล่า ก็เหมือนภัยคุกคามครั้งแล้วครั้งเล่าปรากฏขึ้น ทำให้หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ กำป้ายคำสั่งอันนั้นที่เฒ่าโดดเดี่ยวมอบให้ไว้กลางฝ่ามือ
“จ้าวหยวนจี๋ ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ขอเพียงเจ้าถอยออกไป พวกข้าย่อมไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้าแน่นอน”
อูจิ่วฉงเอ่ยปากเสียงเข้ม ดังก้องทั่วลาน
การห้ำหั่นกับกึ่งจักรพรรดิกลุ่มหนึ่ง ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเช่นกัน หากไม่แน่ใจว่าจะชนะย่อมไม่มีใครเอาชีวิตมาเดิมพัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ข้างกายจ้าวหยวนจี๋ยังมีหลินสวิน รวมถึงตัวดุร้ายที่พลังต่อสู้น่าสะพรึงอย่างที่สุดเจ็ดตัวด้วย
“ถูกต้อง ขอเพียงเจ้าถอยออกไปคนเดียวก็พอ คนอื่นๆ จะเข้ามาด้วย พวกข้าก็ไม่สนใจแต่อย่างใด”
จวี้เทียนสิงเอ่ยปากเสียงกังวาน ใบหน้าของเขาดุจชายหนุ่มหล่อเหลา บุคลิกสง่าผ่าเผย
“เหลวไหล คิดจริงๆ หรือว่าหลังจากหาพรรคพวกได้แล้วก็จะชี้นิ้วสั่งการอย่างกำแหงได้”
ไม่รอให้จ้าวหยวนจี๋เอ่ยปาก หลินสวินก็ส่งเสียงแค่นหัวเราะออกมา
“สารเลว! ที่นี่มีพื้นที่ให้ไอ้กระจอกอย่างเจ้าปริปากอย่างนั้นเรอะ!”
อูจิ่วฉงสีหน้าขรึมเคร่ง ตวาดเสียงดัง
“เดรัจฉานเฒ่า กล้าออกมาสู้กันสักยกหรือไม่”
หลินสวินสาวเท้าก้าวมาข้างหน้า ทันใดนั้นที่ด้านหลังเขา ตัวดุร้ายน่าสะพรึงเจ็ดตัวนั้นก็ขยับพร้อมกัน
ภาพเช่นนี้อูจิ่วฉงมองจนหนังตากระตุก สีหน้ามืดทะมึนลง
เขาเป็นถึงกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง!
ที่ผ่านมามดปลวกตัวจ้อยเช่นนี้กล้ากระโดดโลดเต้นต่อหน้าเขา ป่านนี้คงถูกเขาตบตายในฝ่ามือเดียวไปนานแล้ว แต่ตอนนี้…
เขากลับได้แต่อดทนอย่างอดสู
“จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ทำเป็นแต่พึ่งกำลังภายนอก ระวังจิตมรรคไม่เสถียร!”
อูจิ่วฉงกล่าวเสียงเย็นชา
“เหอะๆ”
หลินสวินส่งเสียงเย้ยหยัน “ลองดูไอ้แก่อย่างพวกเจ้าสิ ไม่ใช่หาพรรคหาพวก ยืมอานุภาพคนหมู่มากมากดดันผู้อื่นอยู่หรอกหรือ เจ้ายังมีหน้าพูดจาเช่นนี้ออกมา ไม่รู้สึกไร้ยางอาจบ้างหรือ”
“เจ้า…”
ไอสังหารพวยพุ่งกลางนัยน์ตาอูจิ่วฉง
กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งปรากฏไอสังหาร สภาพดินฟ้าอากาศยังถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วย
ตูม!
แต่ไม่รอให้พลังที่ไอสังหารระดับนี้ชักนำมากดดันลงบนตัวหลินสวิน ก็ถูกสลายไปอย่างไร้รูป ทำให้หลินสวินปลอดภัยเป็นปกติดี
สิ่งนี้ทำเอาอูจิ่วฉงอัดอั้นจนแทบกระอักเลือด
กึ่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เวลานี้กลับจนปัญญาไม่อาจแตะต้องมดปลวกที่ไม่เด่นสะดุดตาตัวหนึ่ง รสชาตินี้ช่างทรมานเกินไปแล้วแท้ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินสวินก็อดแค่นหัวเราะออกมาไม่ได้ ทำหน้าดูถูกเหยียดหยาม
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาย่อมไม่กล้ามองเหยียดกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขาย่อมไม่หวั่นเกรงอยู่แล้ว
อีกทั้งไม่เพียงข้างกายมีตัวดุร้ายเจ็ดตัว ในมือเขายังมีไพ่เด็ดอยู่ส่วนหนึ่ง ย่อมไม่กลัวว่าเรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่สักนิด
อีกอย่างเหตุที่ชิงพูดก่อนที่จ้าวหยวนจี๋จะเอ่ยปาก ก็เพราะห่วงว่าจ้าวหยวนจี๋จะตกปากรับคำยอมถอนตัวออกจากการช่วงชิงครั้งนี้
หากเป็นเช่นนั้นหลินสวินไม่มีทางรับได้
นี่ก็คือความโกรธในความอยุติธรรม!
ทุกคนล้วนมาเพื่อช่วงชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ทั้งสิ้น แล้วเหตุใดถึงต้องถูกคนอื่นข่มขู่บีบให้ถอนตัวด้วยเล่า
“เฮอะ! ไอ้หนุ่ม อาศัยแค่พลังข้างตัวเจ้าพวกนั้นไม่อาจต้านพวกข้าได้ ขอเตือนเจ้าให้หุบปากเป็นดีที่สุด หาไม่อีกเดี๋ยวคนที่จะตายเป็นคนแรกก็คือพวกที่เหมือนเศษหญ้าอย่างเจ้า”
ทันใดนั้นดอกไม้แปลกประหลาดต้นหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศขึ้นมาปรากฏตัวกลางลาน กลีบดอกไม้แวววาว ละอองแสงที่สาดพรมออกมากลายเป็นปราณกระบี่ขุ่นมัวมหาศาล กลิ่นอายน่าตกใจ
พวกอูจิ่วฉงไม่มีใครไม่ใจสั่น เห็นได้ชัดว่าออกจะเกรงกลัวดอกอสูรมารต้นนี้ แต่จากนั้นก็เผยอาการยินดีทันที
มีดอกอสูรมารต้นนี้ลงมือ การสังหารจ้าวหยวนจี๋ก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น!
และเวลานี้นัยน์ตาพวกจ้าวหยวนจี๋เองก็หดรัดลง สีหน้าเข้มขรึม เห็นได้ชัดว่าต่างรู้ดีว่าฝีมือของดอกอสูรมารนี้น่าสะพรึงถึงขีดสุด
‘นี่คือดอกกระบี่พันปีก สายพันธุ์ประหลาดเก่าแก่ที่เติบโตตามธรรมชาติต้นหนึ่ง มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ขาดแค่จุดเปลี่ยนเดียวก็สามารถก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ พลังต่อสู้น่ากลัวอย่างที่สุด เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจท้าทายมากที่สุดในป่าต้นหม่อน’
เสียงสื่อจิตของจ้าวไท่ไหลดังขึ้นในหูหลินสวิน
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลง กลับกล่าวแค่นหัวเราะ “ดอกไม้เน่าที่คุยโวไม่อายปากต้นหนึ่งยังกล้าหัวเราะเยาะข้าว่าเป็นเศษหญ้า เจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหน”
บรรดากึ่งจักรพรรดิล้วนตกตะลึง แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
ทอดสายตาตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ สำรวจในใต้หล้า แม้แต่กึ่งจักรพรรดิยังไม่กล้าลบหลู่ดอกกระบี่พันปีกเช่นนี้เลย แต่ตอนนี้พวกเขาได้ยินอะไร ชายหนุ่มที่ยังไม่ขึ้นเป็นอริยะคนหนึ่งกำลังด่าทอดอกกระบี่พันปีก!
ฉับพลันนั้นทั่วลานเงียบกริบ
ดอกกระบี่พันปีกส่ายไหว ปราณกระบี่ทั่วร่างไหลเวียนส่งเสียงดังชิ้งๆ คล้ายกับบันดาลโทสะ ไอสังหารมรรคกระบี่น่าสะพรึงสายหนึ่งสะเทือนเก้าสวรรค์
ในเวลาเดียวกันหัวใจที่มีรูพรุนดวงนั้นพลันโผล่อยู่เหนือตัวหลินสวิน สาดพลังไร้รูปลงมาปกป้องเขาไว้ภายในนั้น
ปึงๆๆ!
เบื้องหน้าหลินสวินห้วงอากาศถูกอานุภาพไร้รูปของกึ่งจักรพรรดิฉีกทึ้ง แต่จุดที่หลินสวินยืนอยู่ราบเรียบไร้คลื่นลม
ทุกคนล้วนสะท้านสะเทือน แม้แต่อานุภาพของดอกกระบี่พันปีกก็ยังถูกสกัดเอาไว้! หัวใจที่สภาพยับเยินดูไม่ได้ดวงนั้น หรือจะมาจากพวกระดับจักรพรรดิคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
“ดอกไม้เน่า” หลินสวินยิ้มเยาะ
เหนือคาด ดอกกระบี่พันปีกเปลี่ยนเป็นสงบลง เสียงเยียบเย็นและต่ำลึกกล่าวว่า “ครั้งนี้ เจ้าหนีไม่รอดหรอก”
ตึง!
กลางฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน ก็เห็นวัวขาวที่เส้นขนสีขาวหิมะ ทั่วร่างล้วนอาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงประกายอริยะเทพแหวกอากาศออกมา
บนหลังวัวขาวมีเด็กในชุดหลากสีที่บนหัวมีใบบัวสีเลือดก้านหนึ่งนั่งอยู่ ดวงหน้าละอ่อน แต่นัยน์ตากลับคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงดุดัน สยดสยองหาใดเปรียบ
เขาบังคับวัวขาวมาถึงกลางลาน กวาดสายตามองกลุ่มคนคราหนึ่งแล้วกล่าวไม่สบอารมณ์ว่า “จุดเปลี่ยนใหญ่มาถึงแล้ว พวกเจ้ากลับต่อล้อต่อเถียงกันให้เสียเวลา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปะทะคารมกับเจ้ากระจอกที่ยังไม่บรรลุมรรคคนหนึ่ง ไม่รู้สึกเสื่อมเกียรติบ้างหรือ”
เด็กน้อยคนหนึ่งกลับนั่งบนหลังวัวขาวตำหนิว่ากล่าวกึ่งจักรพรรดิพวกนั้น แต่ที่น่าทึ่งคือไม่ว่าจะเป็นอูจิ่วฉงหรือดอกกระบี่พันปีกล้วนไม่โต้แย้ง ยังคงรักษาอาการนิ่งเงียบต่อไป
ทว่าสีหน้าจ้าวหยวนจี๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทั่วร่างพลันหดเกร็งขึ้นมา
“เหตุใดถึงเป็นเขา…”
หว่างคิ้วเจ้าสำนักมฤคมรกตปรากฏแววอึมครึม
‘บรรพจารย์บัวโลหิต! เจ้าหมอนี่เป็นถึงพวกน่าสะพรึงถึงขีดสุดคนหนึ่ง ร่างเดิมของเขาเป็นบัวโลหิตที่เกิดในแดนแรกกำเนิดแห่งนี้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดก่อนหน้านี้ได้ตื่นรู้ตื่นและแจ้งมรรค ดูลักษณะคล้ายกับเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ความจริงมือเปื้อนเลือดอย่างที่สุด ฆ่าคนไม่กะพริบตา เลือดเย็นสุดขีด!’
จ้าวไท่ไหลระงับอาการใจเต้นสั่นสื่อจิตบอกหลินสวิน ‘ต่อให้ไม่บาดเจ็บ ข้าร่วมมือกับพวกเสด็จพี่ถึงจะสามารถต้านบรรพจารย์บัวโลหิตนี่ได้ แต่ตอนนี้… เฮ้อ!’
กล่าวถึงตอนท้ายก็อดทอดถอนใจไม่ได้ สีหน้าวูบไหวไม่นิ่ง
เด็กชายชุดหลากสีที่มีใบบัวโลหิตเหนือศีรษะและขี่วัวขาวคนหนึ่ง กลับเป็นอสูรมารเก่าแก่ที่มือเปื้อนเลือด พลังยิ่งใหญ่ สิ่งนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
“เลิกพูดเหลวไหวได้แล้ว เริ่มต่อสู้กันดีกว่า บุกขึ้นไปพิฆาตพวกเขาพร้อมกัน!”
บนวัวขาวเด็กชายกอดอก สายตาเลือดเย็น
ทันใดนั้นบรรยากาศในลานพลันตึงเครียดกดดัน
เมื่อประโยคนี้สิ้นสุด พวกกึ่งจักรพรรดิเกือบยี่สิบคนอย่างดอกกระบี่พันปีก อูจิ่วฉง จวี้เทียนสิงต่างเผยไอสังหารเย็นเยียบออกมา
ตูม!
บนเวิ้งฟ้าเมฆลมเปลี่ยนสี สิบทิศสั่นสะเทือน ฟ้าดินแถบนี้คล้ายไม่อาจแบกรับไอสังหารน่าสะพรึงของบรรดากึ่งจักรพรรดิไว้ได้ ครวญคร่ำไม่สิ้นสุด
ยิ่งมีลักษณ์ต่างๆ ปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน มีสายฟ้าฟาดผ่า ลมไฟไหลทะลวง มีดาราร่วงโรย ภูผาธารามอดไหม้…
แค่ภาพระดับนั้นก็เหมือนพิบัติเคราะห์วันสิ้นโลกกำลังมาเยือน
“ช่างเถิด ข้าถอนตัวจากการช่วงชิงครั้งนี้ก็สิ้นเรื่อง”
จู่ๆ จ้าวหยวนจี๋ก็ถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าฉายแววอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ภายในใจยิ่งปรากฏความรู้สึกคับข้องใจอยู่ลึกๆ
จุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้เขาเฝ้ารอมาเนิ่นนาน วางแผนมาแสนนาน!
แต่สุดท้ายยังไม่ทันได้เห็นจุดเปลี่ยนใหญ่นี้ กลับจำต้องเลือกละทิ้งอย่างเสียไม่ได้ รสชาตินี้ช่างฝืนใจเหลือเกิน!
แต่เทียบกับจุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งหนึ่ง เขายินดีเลือกถอนตัวเพื่อรักษาชีวิตทุกคนเอาไว้มากกว่า
ไกลออกไปพวกอูจิ่วฉงต่างอดส่งเสียงแค่นหัวเราะออกมาไม่ได้ นี่ก็คือกระแสของสถานการณ์ เจ้า จ้าวหยวนจี๋ไม่ยอมก้มหัวเห็นทีจะไม่ได้!
“รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก เมื่อครู่ไยต้องเอะอะให้วุ่นวายเช่นนั้นด้วย” จวี้เทียนสิงเอ่ยปากเนิบนาบ แต่คำพูดกลับเจือแววเยาะเย้ย
“เสด็จพี่! เหตุใดถึงยอมแพ้”
จ้าวไท่ไหลโกรธจนถลึงตาโต
เจ้าสำนักมฤคมรกตทอดถอนใจยาว จักรพรรดินีกลับเผยสีหน้าขื่นขม
เดิมทีหลินสวินวางแผนจะใช้ป้ายคำสั่งที่เฒ่าโดดเดี่ยวมอบให้ อีกทั้งหากจวนตัวจริงๆ ถึงขั้นที่แม้แต่ตัวดุร้ายเจ็ดตัวที่อยู่ข้างหลังยังไม่อาจพิทักษ์ตนได้ เขาย่อมไม่ลังเลที่จะเชิญไม้เด็ดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตนออกมาอยู่แล้ว
แต่ใครเลยจะคาดคิด จ้าวหยวนจี๋กลับบอกว่าจะยอมถอย
เวลานี้มองเห็นสีหน้ากึ่งจักรพรรดิแต่ละคนที่อยู่ไกลๆ เห็นท่าทางกำชัยอยู่ในมือของพวกเขา ในใจหลินสวินก็มีความรู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูกล้นละทักออกมา
“อยากถอนตัวงั้นรึ”
ทันใดนั้นบรรพจารย์บัวโลหิตที่ขี่บนหลังวัวขาวก็ส่งเสียงเย็นชาออกมา “ง่ายมาก เจ้าจัดการตัวเองซะ พวกข้าย่อมไม่ถือสาเอาความพวกเจ้าอีก”
ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอีก
สีหน้าจ้าวหยวนจี๋มืดทะมึน นัยน์ตามีลำแสงเทพพวยพุ่ง เห็นได้ชัดว่าเดือดดาลสุดขีด กำลังระงับไว้สุดกำลัง
“ไม่ได้!”
จ้าวไท่ไหล จักรพรรดินี เจ้าสำนักมฤคมรกตต่างเปลี่ยนทีท่า ส่งเสียงห้ามปราม
และฟันของหลินสวินก็ถูกขบด้วยความเคียดแค้น ยอมถอยแล้วอย่างไรเล่า คนอื่นรังแต่ได้คืบจะเอาศอก!
นัยน์ตาดำของเขาวาบประกายเย็นเยียบ กำลังตั้งท่าบีบป้ายคำสั่งในมือให้แหลก แต่เวลานี้เองแสงเลือดงดงามแถบหนึ่งพลันพุ่งมาจากที่ไกลๆ ราวกับครอบฟ้าคลุมดิน
พลานุภาพน่าทึ่ง ทำเอากึ่งจักรพรรดิทั่วลานอดเหลือบมองไม่ได้!
…………..