ตอนนั้นหลินสวินเคยใช้จิตสถูปปลิดชีพสังหารเหล่าอริยะที่นอกเมืองหม่อนหิมะ สะท้านขวัญใต้หล้า สะเทือนดินแดนรกร้างโบราณ
และหลังจากวีรกรรมสังหารอริยะครั้งนั้น เจตจำนงของกึ่งจักรพรรดิไป๋อวี้จิงก็มาเยือนแล้วเอ่ยวาจาว่า
ยามการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเริ่มขึ้น หากหลินสวินไม่มุ่งหน้าไปสังหารศัตรูเพื่อไถ่โทษ เขาไป๋อวี้จิงจะเป็นคนแรกที่ปลิดชีพหลินสวิน!
และตอนนี้เสียงเป่าเขาสัญญาณเคลื่อนทัพอันไร้ที่สิ้นสุดดังขึ้นในดินแดนรกร้างโบราณ การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนก็จะเปิดฉากขึ้นตามไปด้วย
คนใหญ่คนโตระดับกึ่งจักรพรรดิอย่างไป๋อวี้จิงยังจำหลินสวินได้ ทำให้ท่านเซิ่นยังออกจะประหลาดใจ
“เจ้าไป๋อวี้จิงเป็นวีรบุรุษเหนือโลกผู้หนึ่ง เป็นยักษ์ใหญ่เทียมฟ้า ปณิธานและความกล้าหาญล้ำเกินคนทั่วไป ดันแค้นเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งหรือ”
ท่านเซิ่นเอ่ยถาม
“หึ! ตอนนั้นเขาฆ่าอริยะไปเยอะขนาดนั้น ที่สูญเสียไปเป็นกำลังพลของดินแดนรกร้างโบราณ ข้าจะไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไร”
ไป๋อวี้จิงหัวเราะเสียงเย็นเยียบ
“คนบางคน… สมควรตาย”
ท่านเซิ่นเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “สู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้พวกเขาไปก็ไม่คุ้ม”
ไป๋อวี้จิงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่อให้ตาย ก็ให้ไอ้พวกสมควรตายพวกนี้ตายที่สนามรบแนวหน้า ยังดีกว่าตายด้วยน้ำมือเจ้าหนูนี่คนเดียว”
ท่านเซิ่นหลุดหัวเราะ รู้ว่าไป๋อวี้จิงไม่ได้อคติกับหลินสวิน เพียงแค่บ่นก็เท่านั้น
“พี่ไป๋วางใจ คราวนี้หลินสวินต้องไปสมรภูมิเก้าดินแดนแน่”
ท่านเมี่ยวเสวียนที่อยู่ไกลออกไปเอ่ยเสียงกังวาน
“ถ้าเขามีความสามารถ ดีที่สุดก็อย่าตายแล้วกัน หาไม่ข้าคงดูเบาเขา”
ไป๋อวี้จิงโพล่งประโยคนี้ออกมาก็กรีดผ่านเวิ้งฟ้าออกไปเสียงดังลั่น
“เมี่ยวเสวียน ธุระในหอฤทธิ์เทพก็ฝากเจ้าจัดการแล้ว”
ท่านเซิ่นกุมมือคารวะอยู่ไกลๆ
“ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย”
ท่านเมี่ยวเสวียนก็กุมมือคารวะ
“ไปล่ะ”
ท่านเซิ่นสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง เงาร่างเหยียบย่างไปในห้วงอากาศ ทันใดนั้นก็หายลับไปเงียบๆ แม้แต่ผียังไม่ตระหนก
……
ภูเขาเทพไร้มรณะ
แม้กล่าวว่าชื่อของภูเขาลูกนี้มีคำว่า ‘มรณะ’ แต่ท่วงทำนองเทพกับรูปลักษณ์ของภูเขานั้นต่างไปโดยสิ้นเชิง
ภูเขานี้สูงใหญ่ตั้งตระหง่านเหมือนมังกรใหญ่ขดตัว ทั้งตัวภูเขาดำขลับเหมือนหยกหมึกดำ
มีอานุภาพสูงส่งเทียมฟ้า มีรูปลักษณ์ดั่งหัตถ์ค้ำสุริยัน ภูเขาทั้งลูกมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อันเป็นอมตะหลั่งไหลอยู่
ตอนนั้นหลินสวินเคยเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่นี่ เอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนในคราวเดียว ชิงอันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์มาครอง
และเป็นเขาเทพไร้มรณะที่ทำให้เขาหยั่งรู้นัยน์เร้นลับของมหามรรคไร้มรณะ
วันนี้ พร้อมกับที่เสียงเป่าเขาสัญญาณกรีธาทัพไร้ขอบเขตดังขึ้น หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่ และนกทมิฬข้ามทะเลหมากดารามายังภูเขาเทพไร้มรณะอีกครั้ง
หวูดๆๆ!
เสียงเป่าเขาสัญญาณกรีธาทัพแว่วมาจากยอดเขาสั่นสะเทือนรอบทิศ พอจะเห็นได้รางๆ ว่าบนห้วงอากาศเหนือยอดเขามีทั้งฟ้าแลบฟ้าร้อง ห้วงอากาศกลายเป็นวังน้ำวน เผยปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านโลก
“พวกเจ้ามาแล้ว”
เงาร่างแก่ชราคล้ายไร้ตัวตนร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายคลื่นกฎระเบียบอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
นี่คือร่างแปลงของเจตจำนงแห่งเขาเทพไร้มรณะ เรียกตัวเองว่า ‘ข้ารับใช้วิญญาณ’
สมัยเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์พวกหลินสวินก็เคยพบอีกฝ่าย จึงไม่แปลกหน้ากัน
“นั่นก็คือช่องทางเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดน”
ข้ารับใช้วิญญาณชี้ไปบนห้วงอกาศเหนือยอดเขา ท่ามกลางอสนีบาตซัดสาด พอจะเห็นได้รางๆ ว่ามีประตูเงาแสงบานหนึ่งกำลังก่อตัวเป็นรูปร่าง
“พอเข้าไปในนั้นก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังสมรภูมิเก้าดินแดน เข้าร่วมการต่อสู้ห้ำหั่นระหว่างผู้แข็งแกร่งทั้งเก้าดินแดน”
“ภายในนั้นไม่ได้มีกฎให้พูดถึง ใครรักษาชีวิตได้ถึงท้ายที่สุด ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย”
“คิดว่าพวกเจ้าต่างรู้ดีแล้วว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน ดินแดนรกร้างโบราณปิดฉากลงด้วยความพ่ายแพ้ คราวนี้… หวังว่าพวกเจ้าจะรอดชีวิตกลับมา”
เสียงข้ารับใช้วิญญาณยังคงว่างเปล่าเหมือนในอดีต ไม่มีคลื่นอารมณ์หวั่นไหว
พูดถึงตรงนี้ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ป้ายคำสั่งที่มีแสงโลหะมันวาวห้าชิ้นปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกหลินสวินโดยพลัน
“ใส่เจตจำนงของตัวพวกเจ้าเองเข้าไปข้างใน ยามสมรภูมิเก้าดินแดนปิดลง หากถือป้ายคำสั่งนี้ย่อมถูกเคลื่อนย้ายกลับมาที่ดินแดนรกร้างโบราณได้ โดยมีเงื่อนไขว่าตอนนั้นพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
ข้ารับใช้วิญญาณเอ่ยช้าๆ “นอกจากนี้ป้ายคำสั่งนี้ยังแทนตัวตนของพวกเจ้าแต่ละคน มีประโยชน์สะสมผลงานรบที่สังหารศัตรูควบคู่ไปด้วย ยิ่งฆ่าศัตรูได้มาก ผลงานรบที่สะสมก็ยิ่งมาก”
“ผลงานรบมีประโยชน์อะไร”
เจ้าคางคกพูดแทรกอย่างอดไม่อยู่
“แลกกับโชควาสนาฟ้าประทาน”
ข้ารับใช้วิญญาณเอ่ย “ตอนนั้นพวกเจ้าเคยเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ก็คงรู้ดีว่าบนภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนี้มีพลังโชควาสนามหามรรคที่แท้จริงปกคลุมอยู่ หากพวกเจ้ารอดชีวิตกลับมา ด้วยผลงานรบที่สะสมมา สามารถแลกกับโชควาสนามหามรรคที่สัมพันธ์กันได้”
ถึงตอนนี้พวกหลินสวินถึงเข้าใจได้ทันที
ข้ารับใช้วิญญาณเอ่ยเตือน “แต่พวกเจ้าคงรู้ว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน ดินแดนรกร้างโบราณพ่ายแพ้ทั้งนั้น ผู้แข็งแกร่งที่กลับมาได้ไม่ถึงหนึ่งส่วน ดังนั้นผู้ที่สามารถแลกโชควาสนามหามรรคได้จึงน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย”
มีผู้แข็งแกร่งไม่ถึงหนึ่งส่วนรอดชีวิตกลับมา!
พวกหลินสวินต่างหวาดหวั่นในใจ
“ผู้อาวุโส พวกเรายังขาดป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่ง”
ระหว่างที่หลินสวินพูดอยู่ เสี่ยวอิ๋นก็เคลื่อนตัวออกมาจากห้วงนิมิตของเขาแล้ว
ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งก็มีป้ายคำสั่งอีกชิ้นปรากฏขึ้น มอบให้เสี่ยวอิ๋น
เปรี้ยง!
ก็ในตอนนี้เอง ท่ามกลางอสนีบาตถาโถมเหนือยอดเขานั้น ประตูเปล่งประกายเจิดจ้าดุจเงามายาลุ่มลึกบานหนึ่งก่อร่างโดยสมบูรณ์แล้ว
“ไปเถอะ” ข้ารับใช้วิญญาณเอ่ย
พวกหลินสวินพยักหน้า เคลื่อนตัวไปยังยอดเขา
ก่อนหน้านี้ถ้อยคำที่พวกเขาควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว เรื่องที่ควรกำชับก็กำชับไปทุกเรื่องแล้ว
ตอนนี้ต่างเคลื่อนไหวด้วยสภาพจิตใจแน่วแน่
“พี่ใหญ่ ข้าล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง!”
เจ้าคางคกรีบร้อนทนรอไม่ได้ พอพุ่งเข้าไปในประตูมายาว่างเปล่าบานนั้น เงาร่างก็หายลับไปในชั่วพริบตา
“ตาข้าแล้ว”
นกทมิฬตีปีกพึ่บพั่บตามติดไปอย่างร้อนใจ
“พี่ใหญ่ หรือเจ้าจะไปก่อน”
อาหลู่ทอดสายตามองไปที่หลินสวินด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น แต่กลับถูกหลินสวินใช้ขาข้างหนึ่งเตะเข้าไปในประตูมายาว่างเปล่านั้นเสียเลย
จากนั้นเขาก็ยิ้มพลางพูดกับจ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าหมอนี่ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ไม่รู้ว่าข้ายังอยากถือโอกาสตอนนี้พูดกับเจ้าอีก”
“มีอะไรที่พูดไม่ได้ ถึงต้องมาพูดเอาตอนนี้หรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนสางผมที่อยู่ข้างหู จ้องมองเขาครั้งหนึ่ง เพียงสายตาเดียวเท่านั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก นั่นเรียกว่าความสิเน่หามากล้น
“ก็ไม่มีอะไร คือว่า…”
หลินสวินกำลังจะพูดอะไร จ้าวจิ่งเซวียนคล้ายเดาได้แล้วจึงยิ้มตัดบท “วางใจได้ ถ้าข้าพบกับอันตรายจะติดต่อเจ้าทันที”
หลินสวินยิ้มเอ่ย “งั้นก็ดี เอาตามนี้ก็แล้วกัน เจ้าไปก่อน”
จ้าวจิ่งเซวียนส่ายหน้า “เจ้าก่อน”
หลินสวินก็ส่ายหน้า “เจ้าไปก่อนเถอะ”
จ้าวจิ่งเซวียนถลึงตา “ก็บอกว่าให้เจ้าไปก่อนไง!”
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งครั้ง พลันยกมือขึ้นจับสาบเสื้อของจ้าวจิ่งเซวียนเอาไว้ แล้วโยนนางเข้าไปในประตูมายาบานนั้น
จากนั้นหลินสวินก็หัวเราะเสียงดังเอ่ยว่า “คราวหลังไม่เชื่อฟังอีกก็จะโดนแบบนี้!”
จ้าวจิ่งเซวียนทั้งโกรธทั้งอายร้องเสียงดังว่า “คนแซ่หลิน อย่าให้ข้าจับเจ้าได้นะ!”
เสียงยังไม่ทันเงียบลงตัวนางก็หายลับไปแล้ว
มุมปากหลินสวินยกยิ้มสนุกสนาน จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วจึงก้าวไปข้างหน้า เหยียบย่างลงไปในประตูบานนั้น
พวกเขาจากไปไม่นานนัก ใกล้กับภูเขาเทพไร้มรณะก็มีเงาร่างของผู้แข็งแกร่งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าปรากฏตัว
เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ต้องการเข้าไปในสมรภูมิเก้าดินแดนเหมือนพวกหลินสวิน
ข้ารับใช้วิญญาณส่งป้ายคำสั่งให้คนละชิ้น ตามองส่งพวกเขาจากไปทีละคน
เรื่องทำนองเดียวกันดำเนินไปในพื้นที่ต่างๆ ของดินแดนรกร้างโบราณ อริยะของสำนักโบราณคนแล้วคนเล่า บุคคลขอบเขตมกุฎคนแล้วคนเล่า…
ต่างเข้าไปในสมรภูมิเก้าดินแดนจากช่องทางต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
เรื่องเช่นนี้ดำเนินอยู่ตลอดถึงสามวันเต็ม
‘แพ้หรือชนะก็อยู่ที่ศึกนี้!’
‘ต้องชนะให้ได้ ต้องทำให้ได้นะ…’
ศึกนี้กระทบจิตใจของผู้คนใต้หล้า พร้อมๆ กับที่ช่องทางสู่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดออก ผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณไม่รู้เท่าไรอวยพรให้ผู้แข็งแกร่งที่ออกศึกเหล่านั้นอยู่เงียบๆ ในใจ
……
สมรภูมิเก้าดินแดน
โลกสีโลหิตแห่งหนึ่งฉายสู่สายตา ฟ้าดินต่างย้อมสีเลือด เสียงลมสะอื้นไห้ เวิ้งว้างไปทั้งแถบ เผยกลิ่นอายน่าสลดใจออกมา
กรวดทรายหนาๆ ที่ปกคลุมอยู่บนพื้นชั้นหนึ่งเหมือนย้อมจากน้ำเลือดสีแดงสด ผ่านการกัดเซาะของกาลเวลาไร้สิ้นสุด ยังคงแดงสดงามตรม
วิ้ง!
เงาร่างของหลินสวินถูกเคลื่อนย้ายออกมาพร้อมกับคลื่นอากาศระลอกหนึ่ง เกิดเสียงดังปึง เท้าทั้งสองร่วงลงมาที่ผืนทรายสีแดงแห่งนั้น
ท่ามกลางธุลีทรายปลิวว่อน บนผืนดินกลับมีโครงกระดูกซากศพยับเยินมากมายเผยออกมา ล้วนเน่าเฟะผุพังไปแล้วทั้งนั้น
แต่ในห้วงนิมิตของหลินสวินกลับรู้สึกได้ถึงไอสังหารนองเลือดน่าหวาดหวั่นที่กระทบหน้าในชั่วพริบตา เสียงสู้รบดังขึ้นมาในโสตประสาท เสียงเข่นฆ่าของกลองสงครามเหิมฮึก
ในทัศนวิสัยตอนนี้ โลกสีเลือดแห่งนั้นเหมือนปรากฏภาพน่าหดหู่อย่างภูเขาศพทะเลเลือด กระดูกขาวกองพะเนินภาพแล้วภาพเล่า
หลินสวินพลันส่ายหน้า ปรากฏการณ์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าต่างสลายหายไป มีเพียงเสียงสะอื้นราวผีร้องครวญหดหู่ดังสะท้อนกลางฟ้าดิน ธุลีทรายสีเลือดอบอวล
ซ่า!
จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ขยาย ดูเหมือนราบเรียบราวเมฆไหลดังเดิม แต่ความจริงแล้วตัวเขาในชั่วพริบตานี้แปรเปลี่ยนเป็นระมัดระวังรอบคอบ ราวกับคันธนูใหญ่ที่ขึงจนตึงอยู่ก่อนแล้ว
ที่นี่ก็คือสมรภูมิเก้าดินแดน!
ตั้งแต่ชั่วขณะที่เข้ามานี้ก็ต้องระวังตัว
‘ท้องฟ้าสูงขึ้นไปหมื่นจั้งเต็มไปด้วยไอชั่วร้ายเต็มฟ้า ไม่เหมาะบินทะยาน’
‘กฎเกณฑ์มหามรรคที่นี่คลุมเครือและแปลกประหลาด หนักแน่นและแจ่มชัดยิ่งกว่าที่ดินแดนรกร้างโบราณ ในไอวิญญาณมีกลิ่นอายของเจตะปฐมกาลเป็นริ้วๆ มีประโยชน์เหลือประมาณต่อการฝึกปราณ’
‘แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นอายสกปรกที่ผสมปนเปกันมากมายกระจายอยู่กลางฟ้าดิน ยามฝึกปราณต้องระวังเรื่องธาตุไฟเข้าแทรก’
‘ขอบเขตการรับรู้ของจิตรับรู้คือหนึ่งพันสามร้อยจั้ง ไม่เหมาะจะเดินทางเต็มกำลัง’
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ด้วยการตรวจสอบของจิตรับรู้อันกว้างใหญ่ การรับรู้มากมายผุดขึ้นในจิตใจเหมือนน้ำไหล ทำให้เขาสามารถชี้ชัดสภาพแวดล้อมที่อยู่ตอนนี้ได้อย่างแม่นยำ
สำหรับหลินสวินแล้ว สมรภูมิเก้าดินแดนเป็นสถานที่ที่ไม่รู้จักโดยสิ้นเชิงแห่งหนึ่ง หากไม่รีบทำความคุ้นเคยกับทุกอย่างนี้ ในการเคลื่อนไหวต่อไปเป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดอันตรายเหนือความคาดหมายมากมาย
แต่หลินสวินไม่ถึงกับกังวลใจจนไม่กล้าทำอะไรเพราะเรื่องนี้
สมรภูมิเก้าดินแดนอาจมีภยันตรายที่ไม่อาจจินตนาการได้ แต่เขาคาดการณ์ถึงเรื่องดีและเรื่องร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว
การต่อสู้มานานปี การเคียวกรำด้วยบุกน้ำลุยไฟนับไม่ถ้วน ขัดเกลาสภาวะจิตและเจตจำนงของหลินสวินจนถึงขั้นเหนือจินตนาการไปนานแล้ว
การเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ หลินสวินถึงกับมีความปรารถนาอันฮึกเหิม จิตต่อสู้ถั่งโถม
เพราะเขาจำเป็นต้องเอาสงครามครั้งนี้เป็นเป้าหมาย เพื่อให้การบรรลุมกุฎอริยะเป็นจริง!