ชายเกราะทองนามว่าทั่วหุนกู่ มาจากเผ่าอสนีปีกดำของดินแดนโบราณอสูรดาว ตัวเขาเองก็เป็นมกุฎอริยะคนหนึ่ง
จังหวะที่ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าที เขาไม่ลังเลสักนิด ตั้งท่าจะบีบปีกส่งสารในมือให้แหลกละเอียด
สวบ!
แต่ที่ทำให้เขาตกใจคือ เงาร่างศัตรูยังไม่ทันมาถึง ปราณกระบี่สายหนึ่งก็เฉือนสังหารแหวกอากาศมาแล้ว เจตกระบี่อันกร้าวแกร่งไร้เทียมทานนั้น ผ่าห้วงอากาศออกเป็นสองท่อน!
แข็งแกร่งนัก!
ในใจทั่วหุนกู่ไหวสะท้าน ไม่อาจสนใจบีบปีกส่งสารแม้แต่น้อย ต้องเคลื่อนย้ายหลบหลีโดยพลัน เบี่ยงหลบไปด้านข้าง
ตูม!
ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่ตอนแรกถูกปราณกระบี่ผ่าแหวกออกเป็นแอ่งน้ำยาวพันจั้งสายหนึ่ง ปราณกระบี่คละคลุ้ง โขดหินใกล้เคียงล้วนแตกกระจุย
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ดินแดนรกร้างโบราณถึงกับปรากฏมกุฎอริยะเช่นนี้
แววตาทั่วหุนกู่มีประกายแสงวาบผ่าน ตกใจไม่หาย พลังของกระบี่เมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายกรีดกระดูกอย่างหนึ่ง
เพียงแต่ไม่รอให้เขาคิดมากความ กลางห้วงอากาศปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าหวีดร้อง เคลื่อนขวางตัดสลับ ผาดโผนดุจประกายอสนีแน่นขนัด บั่นสังหารมาเยือน
กระบี่แต่ละสายล้วนมีอานุภาพพิฆาตภูผาธารา ชะล้างจักรวาล!
ในที่สุดทั่วหุนกู่ก็หน้าเปลี่ยนสี ตัดสินใจเผ่นหนีโดยไม่ลังเลสักนิด
อีกฝ่ายไม่เพียงมีมกุฎอริยะสองคน หนำซ้ำพลังต่อสู้ยังน่ากลัวอย่างที่สุด ทำให้เขาไม่กล้าปะทะซึ่งหน้าสักนิด
“ตาย!”
แต่ทันทีที่ทั่วหุนกู่หันตัว เสียงราบเรียบสายหนึ่งก็ดังก้องอยู่ข้างโสต
วู้ม!
สิ่งที่ตามมาพร้อมกันยังมีดาบหักที่เจิดจ้าดุจธาราสายหนึ่ง ลำพังแค่กลิ่นอายอริยมรรคที่ไหลรินออกมาจากคมดาบ ก็ไพศาลดุจสมุทร เรืองรองไร้ที่สิ้นสุด
“นี่…”
ทั่วหุนกู่ตกใจจนหนังหัวชาหนึบ ส่งเสียงคำรามลั่นสุดแรง โคจรพลังทั่วร่างถึงขีดสุด ก็เห็นบนเกราะทองที่ปกคลุมร่างกายเขาพลันปรากฏลายมรรคประกายสายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่าออกมา แน่นขนัดเจิดจ้า
และในมือขวาของเขา กลับถือกระถางสมบัติสีเลือดใบหนึ่ง กระแทกไปทางดาบหักอย่างจัง
ปึง!
อึดใจเดียว กระถางสมบัติสีเลือดก็ถูกฟันกระเด็น
นี่ทำให้ริมฝีปากทั่วหุนกู่กระอักเลือด ไม่กล้าเชื่อ เขาก็เป็นมกุฎอริยะเช่นเดียวกัน แต่ภายใต้การเข่นฆ่าระดับนี้ ถึงกับมีความรู้สึกประหนึ่งเล็กจ้อยไร้แรงต้านทาน!
นี่เป็นไปได้อย่างไร
เจ้าหมอนั่นโผล่มาจากไหนกันแน่
ไม่รอให้ทั่วหุนกู่ตอบสนอง หลังจากซัดกระถางสมบัติสีเลือดกระเด็น พลังของดาบหักไม่ลดน้อย ฟันฉันลงไปอย่างแรง กระแทกเข้ากับลายอสนีเกราะทองนั่น
ปึงๆๆ!
เสียงกระแทกที่สะเทือนโสตจวนจะหูหนวกกึกก้องประหนึ่งฟ้าคำราม และทั่วหุนกู่ก็เหมือนถูกอสนีบาต ร่างกายถูกซัดสะเทือนซวนเซถอยกรูด
ทุกครั้งที่ถอยหนึ่งก้าว สีหน้าก็ซีดลงหนึ่งส่วน ลายอสนีเกราะทองที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็เริ่มแตกออก…
จนกระทั่งตอนที่ยืนอยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง เสียงระเบิดสนั่นดังตูมคราหนึ่ง เกราะทองที่ป้องกันอยู่เบื้องหน้าร่างกายเขาคล้ายหมดสภาพก็ไม่ปาน แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นละอองแสงสาดพรมทั่วฟ้า
พรูด!
ทั่วหุนกู่อดกระอักเลือดคำโตออกมาอีกครั้งไม่ได้ ร่างกายล้วนกระตุกเกร็งรุนแรงเพราะความเจ็บปวด
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
พลังของการโจมตีนี้แม้สุดท้ายจะถูกสลายไปได้ แต่กลับซัดกระถางสมบัติของเขาลอยกระเด็น ทำลายเกราะทองของเขา ยิ่งทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส!
และในเวลานี้ทั่วหุนกู่เพิ่งจะมองเห็นลักษณะของคนที่ลงมือได้ถนัดตา
เงาร่างสูงโปร่ง อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ หน้าตาหล่อเหล่า ผมสีดำปลิวไสวดูไร้หลุดพ้นดั่งเซียนจุติลงมา แต่อานุภาพของเขากลับเย้ยฟ้าประหนึ่งเทพมาร
“เจ้านี่ คงไม่ใช่ว่าเป็น…”
ชั่วอึดใจทั่วหุนกู่พลันฉุกคิดเรื่องใหญ่ที่สะเทือนสมรภูมิเก้าดินแดนเมื่อไม่นานมานี้ ตัวต้นเรื่องของเรื่องใหญ่ที่ว่านั่น คือมกุฎอริยะดินแดนรกร้างโบราณคนหนึ่งที่ชื่อหลินสวิน
เคยบุกสังหารสามหมื่นลี้เพียงลำพัง พลิกม้วนคลื่นลมในโลกมารโลหิต!
ซ้ำยังเคยปิดเมืองแห่งหนึ่งด้วยตัวคนเดียว!
สวบ!
ความคิดนี้เพิ่งแวบผ่านสมองของทั่วหุนกู่ การโจมตีของหลินสวินก็มาเยือนแล้ว
พร้อมๆ กับเสียงคำรามชัดก้องที่สะท้อนกระหึ่ม ดาบหักดุจมายา ใช้อานุภาพดุดันไร้ทัดเทียมบั่นหัวของทั่วหุนกู่จนลอยคว้างกลางอากาศ
ก่อนสิ้นใจ บนสีหน้ายังคงเจือความตระหนกตกใจอยู่
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าเหตุใดทั้งที่อยู่ระดับเดียวกัน ทว่าพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายกลับน่าสะพรึงเช่นนี้
ยิ่งไม่เข้าใจว่าตนที่เปรียบเสมือนนายเหนือหัวในสมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้ ถึงกับไม่อาจต้านการโจมตีเดียวเช่นนี้…
ปึง!
ครู่ต่อมาศีรษะของทั่วหุนกู่ก็แตกระเบิด พลังจิตล้วนถูกป่นแหลก
เพียงแต่เสี้ยวสุดท้ายก่อนสิ้นใจศพไร้หัวของเขาได้บีบปีกส่งสารที่กำแน่นอยู่ในมือ จากนั้นรุ้งเทพสายหนึ่งก็ส่งเสียงแสบหูออกมา พุ่งทะยานชั้นฟ้า
“นี่คือสมบัติส่งสาร เจ้าหมอนี่กำลังเตือนพวกพ้องของเขา! ดูจากจุดนี้ ในอาณาเขตแถวนี้จะต้องมีมกุฎอริยะมากกว่าหนึ่งคนแน่!”
เงาร่างของรั่วอู่โรยมาอยู่กลางลาน เนตรดาราปรากฏความเคร่งขรึม
สวบ!
หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เก็บเลือดและศพของคนผู้นี้เอาไว้
ขณะเดียวกันเขาเอาเศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือของทั่วหุนกู่ส่วนหนึ่งมอบให้กับเสี่ยวอิ๋น กล่าวว่า “ตรวจสอบที เจ้าหมอนี่รู้เรื่องของเจ้าคางคกกับอาหลู่หรือไม่”
เสี่ยวอิ๋นเองก็รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ไม่กล้าอืดอาด
“นายท่าน พวกเขากำลังล้อมจับองค์ชายเซ่าเฮ่า!”
ไม่ทันไรเสี่ยวอิ๋นก็ส่งเสียงตกใจออกมา
หลินสวินและรั่วอู่ต่างก็อึ้งไป เหตุใดถึงลามไปถึงเซ่าเฮ่าได้อีกกันเล่า
“ก่อนหน้านี้ไม่นานแดนลับนรกโลกันตร์ปิดม่าน ตอนที่ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณออกจากแดนลับนรกโลกันตร์ก็ถูกคุกคามจากแปดดินแดนอื่น องค์ชายเซ่าเฮ่าปรากฏตัวขึ้นในตอนนั้น ช่วยชีวิตผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณออกไปหนึ่งกลุ่มใหญ่”
“และเป็นในตอนนั้นที่องค์ชายเซ่าเฮ่าประสบการไล่ล่าสังหารของมกุฎอริยะจากแปดดินแดนทั้งกลุ่ม ตอนนี้ก็ถูกล้อมอยู่ในส่วนลึกของทะเลทรายแถบนี้”
จากนั้นเสี่ยวอิ๋นรีบเอ่ยทันที “ตอนนี้ละแวกพื้นที่แถบนี้ล้วนถูกกองกำลังแปดดินแดนปิดผนึกไว้แล้ว สันนิษฐานจากจุดนี้ เกรงว่าต่อให้องค์ชายเซ่าเฮ่าติดปีกก็ยากจะบินหนีแล้ว!”
หลินสวินและรั่วอู่ต่างสบสายตากันปราดหนึ่ง ล้วนเดาได้ถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง
หลังจากแดนลับนรกโลกันตร์ปิดม่าน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ประสบกับภัยคุมคาม แต่กลับถูกองค์ชายเซ่าเฮ่าที่ปรากฏตัวได้ทันเวลายื่นมือช่วยพาหนี
เพียงแต่ว่า ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้องค์ชายเซ่าเฮ่าถูกแปดดินแดนอื่นจับตามอง เห็นเขาเป็นเป้าหมายจำเป็นต้องฆ่า ไล่ล่าสังหารตลอดทางมาจนถึงที่แห่งนี้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็ลอบอุทานว่าท่าไม่ดี
หากเซ่าเฮ่าตาย ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณทั้งกลุ่มที่ถูกเขาช่วยพาหนีก็จะต้องประสบเคราะห์ด้วยเช่นกัน หากเจ้าคางคกกับอาหลู่ก็อยู่ในนั้นด้วย ย่อมไม่มีทางมีโอกาสรอดชีวิตอย่างแน่นอน
“เมื่อครู่เจ้าหมอนี่ยังเฝ้าอยู่ที่นี่ นี่ก็ยืนยันได้ว่าการล้อมสังหารของพวกเขาอาจจะยังไม่สำเร็จ พวกเรายังมีโอกาส”
รั่วอู่วิเคราะห์อย่างใจเย็น
“ไป!”
หลินสวินไม่กล้าล่าช้าอีกต่อไป กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนเป็นขึงขังหาใดเปรียบ ความร้ายแรงของสถานการณ์เหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้อย่างสิ้นเชิง ทำให้เขาเองก็ร้อนใจดุจไฟเผาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไอสังหารลุกโชน
…
ส่วนลึกของทะเลทรายที่ไพศาลดุจดั่งไร้ขอบเขต กลางฟ้าดินถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีม่วงอันยะเยือกเย็นชั้นหนึ่ง
ม่านแสงสีม่วงเจิดจรัสแวววาว คละคลุ้งด้วยระลอกคลื่นมหามรรคแห่งยุค
เมื่อมองอย่างละเอียด สิ่งที่ก่อขึ้นเป็นม่านแสงสีม่วงนี้ คืออักษรโบราณที่แน่นขนัดดุจกระแสน้ำหลากแถวแล้วแถวเล่านั่นเอง
อักษรแต่ละตัวล้วนใสวาวดั่งจินดา หนาหนักดุจมหามรรค ทุกขีดทุกเส้นล้วนเปี่ยมท่วงทำนองอัศจรรย์เร้นลับ
เสมือนว่านั่นไม่ใช่อักษร หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตเป็นๆ รวมตัวอยู่ด้วยกัน เบื้องบนเชื่อมฟ้า เบื้องล่างจรดดิน ร่ายระบำตลบม้วนไม่หยุด
เป็นภาพที่แปลกพิสดารสะท้านโลก!
บริเวณที่ม่านแสงสีม่วงอันงดงามปกคลุม องค์ชายเซ่าเฮ่านั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น เส้นผมปลิวไสว บนใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ทัดเทียมเปี่ยมด้วยแววซีดขาว
เหนือศีรษะของเขาปรากฏตำราฉบับหนึ่ง ตัวเล่มดุจดั่งสร้างขึ้นจากหยกสีม่วง หน้าตำราพลิกเปิดดังกรอบแกรบ ปลดปล่อยตัวอักษรที่ราวประดิษฐ์ขึ้นจากมหามรรคแถวแล้วแถวเล่า แหวกม่านแสงสีม่วงที่ประหนึ่งเชื่อมฟ้าดินแถบนี้ออกมา!
นอกม่านแสงมีเงาร่างมากมาย สี่ทิศแปดทางล้วนมีมกุฎอริยะสิบกว่าคนยืนอยู่
พวกเขามีทั้งชายหญิง บ้างก็แผ่นหลังงอกปีกสองข้าง บ้างก็ร่างกายสูงใหญ่ บ้างก็ทั่วร่างแห่ห้อมด้วยลายมรรคแสบตา บ้างก็ยืนตระหง่านอยู่เหนือเมฆมงคล…
แต่ละคนทั่วทั้งร่างล้วนส่องประกาย อานุภาพศักดิ์สิทธิ์ไพศาล เงาร่างกระจายตัวอยู่ตำแหน่งต่างกัน ปิดล้อมม่านแสงสีม่วงแถบนี้ไว้อย่างสมบูรณ์
ตูม!
ประทับใหญ่ กระถางเก่าแก่ ทวนศึก กระบี่เทพ ขวานยักษ์… สมบัติอริยะแต่ละชิ้นมีแสงหลากสีไหลเวียน ถูกมกุฎอริยะแต่ละคนควบคุม กระหน่ำโจมตีม่านแสงสีม่วง สาดแสงเรืองศักดิ์สิทธิ์ที่แสบตาเจิดจ้า เสียงกึกก้องกระหึ่มสะท้อนเก้าชั้นฟ้า
วิชามรรคที่อานุภาพสุดหยั่งมากมายตัดสลับอยู่กลางห้วงอากาศ ฉายลักษณ์ประหลาดสะท้านโลก บุกโจมตีควบคู่ไปกับสมบัติอริยะ
ภาพฉากระดับนี้ทำเอาฟ้าดินเปลี่ยนสี พาให้สถานที่ในละแวกพันลี้ล้วนถูกจมมิด!
และในการบุกพิฆาตระดับนี้ ม่านแสงสีม่วงที่ประหนึ่งเชื่อมฟ้าดินนั่นก็กำลังโคลงเคลงรุนแรง ส่งเสียงครวญดังวู้มๆ ไม่หยุด
“คิดไม่ถึง ในมือเจ้านี่ถึงกับควบคุมคัมภีร์สมบัติสูงสุดแห่งมรรคจักรพรรดิที่สมบูรณ์แบบเล่มหนึ่ง! รีบเร่งกำลังโจมตีเขา ฮุบสมบัตินี้เอาไว้เร็ว!”
มีคนสีหน้าเดือดคลั่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความละโมบ
คัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิ นี่เป็นถึงสมบัติที่เพียงพอจะทำให้คนใหญ่คนโตจำพวกราชันอริยะ กึ่งจักรพรรดิต่างน้ำลายไหล แต่ละเล่มสามารถสะท้อนอดีตสะเทือนปัจจุบัน ทำให้ปวงสวรรค์สั่นสะท้าน!
และมีเพียงคัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิ จึงจะมีลักษณะใหญ่โตเช่นนี้ได้ อาศัยแค่กลิ่นอายก็หยุดยั้งการบุกโจมตีของมกุฎอริยะสิบกว่าคนได้
“แม้จะเป็นในดินแดนโบราณต้าหลัวของข้า คัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิล้วนเรียกได้ว่าสะท้านโลก ถูกขุมอำนาจระดับจักรพรรดิที่อยู่เหนือสุดควบคุม แต่เซ่าเฮ่าคนนี้กลับใช้ประโยชน์จากคัมภีร์จักรพรรดิเล่มหนึ่งเพียงคนเดียว!”
และมีคนรู้สึกอิจฉา ริษยาหาใดเปรียบ
มกุฎอริยะแล้วอย่างไร ในแปดดินแดนก็หาใช่กลุ่มคนที่อยู่สูงที่สุด
สำหรับพวกเขาแล้ว คัมภีร์จักรพรรดิเล่มหนึ่งเรียกได้ว่ามูลค่ามหาศาลเช่นเดียวกัน ถึงขั้นไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะได้ครอบครอง!
แต่ตอนนี้บนตัวคนรุ่นเยาว์ของดินแดนรกร้างโบราณคนหนึ่ง กลับพกคัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิเล่มหนึ่งติดตัว จะไม่ให้พวกเขาริษยาได้อย่างไร
“ไม่จำเป็นต้องพูดพล่าม รอให้ฆ่าเขาเสร็จ พวกเราก็จะใช้ประโยชน์จากคัมภีร์จักรพรรดิเล่มนี้ร่วมกัน!”
มีคนตะโกนลั่น
ไม่นานพลานุภาพโจมตีของมกุฎอริยะทั้งกลุ่มนี้ก็ยิ่งดุดันขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนถูกความละโมบควบคุม ดึงประสิทธิภาพทั่วร่างออกมา
ม่านแสงสีม่วงที่อักษรมรรคไหลเวียนสั่นโคลงรุนแรงไม่หาย เริ่มส่อแววยืนหยัดไม่ไหว จวนจะแตกสลายแล้ว
“หากอยู่ในโลกภายนอก ไหนเลยจะเป็นเช่นนี้…”
ภายในม่านแสง องค์ชายเซ่าเฮ่าถอนหายใจเบาๆ
คัมภีร์จักรพรรดิเหนือศีรษะของเขา เป็นมรดกสูงสุดของเผ่าจักรพรรดิเร้นดารา
แม้จะเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่ง แต่กลับประทับกลิ่นอายมรรคจักรพรรดิ หากอยู่ในโลกภายนอก ต่อให้ราชันอริยะลงมือยังยากจะสั่นคลอนพลังของคัมภีร์นี้
ทว่าในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้ พลังของคัมภีร์จักรพรรดิเล่มนี้ก็ถูกสะกดควบคุมเช่นกัน ระลอกคลื่นกลิ่นอายที่สำแดงออกมาแม้จะแข็งแกร่ง แต่ท้ายที่สุดก็ยังห่างชั้นไกลลิบเมื่อเทียบกับโลกภายนอก
หนำซ้ำภายใต้การโจมตีไม่หยุดหย่อนของศัตรูภายนอก พลังของคัมภีร์จักรพรรดิกำลังถูกกร่อน จวนจะพังทลาย!
“ทุกท่าน เวลาไม่มากแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะรวบรวมพลังทั้งหมด เบิกเส้นทางโลหิตสายหนึ่งให้แก่ทุกคน ฉกฉวยโอกาสรอดสายหนึ่ง ต่อไปจะเป็นหรือตาย ก็อยู่ที่ชะตาของแต่ละคนแล้ว”
เซ่าเฮ่าสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สีหน้าเยือกเย็น หว่างคิ้วเจือแววผงาดกร้าว
เขาเอี้ยวหัวมองไปทางด้านหลัง
——