Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1551 ศึกใหญ่มาเยือน

เสียงไม่พอใจ คับแค้นและอัดอั้น เริ่มดังขึ้นในเผ่าต่างๆ ของโลกมารโลหิต

ใครเล่าจะลืมว่าตอนนั้นเจ้าคนที่ชื่อว่าหลินสวินนั่น เคยบุกสังหารตั้งแต่ส่วนลึกของป่าหลอมจิตมาถึงหน้าเมืองอารักษ์มรรค

แล้วใครเล่าจะลืมว่าเจ้าหมอนั่นคนเดียวก็ปิดเมืองแห่งหนึ่งได้ สังหารจนดินแดนโบราณมารโลหิตเสียหน้า ชื่อเสียงป่นปี้

แต่เซวี่ยชิงอี… ไม่เพียงไม่แก้แค้น กลับเลือกจะอดกลั้น!

ถึงขั้นยังถอนกำลังพลของดินแดนโบราณมารโลหิตที่บุกรุกโลกรกร้างโบราณกลับมาทั้งหมดด้วย!

เดิมทีเรื่องนี้ก็น่าอัปยศพออยู่แล้ว กลายเป็นตัวตลกของดินแดนอื่น แต่ตอนนี้ยามสบโอกาสดีที่สุดซึ่งสามารถเหยียบย่ำโลกรกร้างโบราณได้ เซวี่ยชิงอีก็อดกลั้นไว้อีกแล้ว

เขาถึงขั้นไม่คิดจะส่งทหารชั้นเลวออกไปสักคน!

เขาเซวี่ยชิงอียังเป็นหนึ่งในแปดยอดนภาครามอยู่หรือไม่ เป็นผู้นำของคนรุ่นเยาว์แห่งดินแดนโบราณมารโลหิตไม่ใช่หรือ

ทำไมเขาถึงยอมแพ้เช่นนี้เล่า

แต่ไม่ว่าจะคับแค้นอย่างไร ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนเจตนารมณ์ของเซวี่ยชิงอีได้ ในโลกมารโลหิตนี้ สุดท้ายก็มีแต่เซวี่ยชิงอีที่เป็นใหญ่

ต่อให้ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณมารโลหิตอัดอั้นและไม่พอใจแค่ไหน ก็ได้แต่ข่มกลั้น!

‘แต่ละดินแดนต่างมีมกุฎอริยะสิบคนและกำลังพลสามหมื่นออกเคลื่อนไหว รวมกันแล้วก็เป็นมกุฎอริยะเจ็ดสิบคนกับทัพใหญ่สองแสนหนึ่งหมื่น’

‘หากหลินสวินต้านไม่อยู่ ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณก็ต้องถูกกวาดล้างแน่’

‘แต่ถ้า… เขาหลินสวินต้านอยู่เล่า’

เซวี่ยชิงอียืนอยู่ในโถงใหญ่คนเดียว ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มเย็น

‘ครั้งก่อนดินแดนโบราณมารโลหิตของข้ามีมกุฎอริยะสามสิบคนล้มตายในมือหลินสวินนั่น ครั้งนี้หากเจ้าเพชฌฆาตหลินสวินนี่จะถึงฆาตก็ต้องลากคนกลุ่มหนึ่งให้ถูกฝังไปพร้อมกันแน่ แล้วทำไมดินแดนโบราณมารโลหิตของข้าต้องเสียสละอย่างไร้ความหมายเช่นนี้ด้วยเล่า’

‘คอยดูละครก็พอ ถ้าละครสนุกก็ดี… ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ สำหรับดินแดนโบราณมารโลหิตของข้าล้วนแต่มีประโยชน์ไม่เป็นภัย!’

เซวี่ยชิงอีสูดหายใจลึก อารมณ์ที่เดิมอึดอัดกลับสู่ความสงบ ราบเรียบไร้คลื่นลม

เมื่อการตัดสินใจของเซวี่ยชิงอีไปเข้าหูคุนเซ่าอวี่ ก็ทำเอาเขาอดชะงักไปไม่ได้ เจ้าหมอนี่… เปลี่ยนเป็นคนอดกลั้นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

และเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปสู่คนในเจ็ดดินแดนอื่น ก็ก่อให้เกิดเสียงหัวเราะไม่รู้เท่าไรดังขึ้นมาทันที

“เจ้าเซวี่ยชิงอีนี่ถูกเจ้าสวะแซ่หลินนั่นบุกสังหารจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วหรือ”

“ฮึ ข้าว่าเขาเซวี่ยชิงอีควรลบชื่อตัวเองออกจากแปดยอดนภาครามได้แล้ว ไม่มีความกล้าสักนิด”

“เซวี่ยชิงอีไม่ห่วงหรือว่าบารมีของตนจะเสื่อมเสีย”

“น่าขายหน้ายิ่งนัก เขาคิดอะไรอยู่กันแน่”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์อึกทึกครึกโครม ทำให้ดินแดนโบราณมารโลหิตตกเป็นเป้าหมายที่เจ็ดดินแดนอื่นหัวเราะเยาะในชั่วขณะเดียว

ไม่ว่าอย่างไรข่าวที่ขุมอำนาจทั้งเจ็ดในแปดดินแดนจะออกเคลื่อนพลไปโจมตีในวันที่หลินสวินสร้างเมืองพร้อมกัน ก็ยังชักนำให้เกิดความปั่นป่วนในสมรภูมิเก้าดินแดนอยู่ดี

และในสถานการณ์ปรวนแปรนี้ พายุฝนกำลังตั้งเค้าในบรรยากาศอันหนาวเหน็บเงียบเหงา

ค่ายชั่วคราวของโลกรกร้างโบราณช่วงนี้ กลับมีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณมากมายทยอยมาจากทั่วสารทิศไม่ขาดสาย

ค่ายชั่วคราวจึงคึกคักขึ้นมาในชั่วขณะเดียว

และหลินสวินก็ได้พบสหายเก่าที่คุ้นเคยมากมาย อย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน จี้ซิงเหยา หมีเหิงเจินเป็นต้น

แต่มีเพียงจ้าวจิ่งเซวียนที่รอไปก็ไม่พบ

นี่ทำให้หลินสวินทอดถอนใจ ตัดสินใจว่าหลังจากสร้างเมืองอารักษ์มรรคเสร็จแล้ว ก็จะมุ่งหน้าไปสืบค้นและเสาะหาข่าวคราวของจ้าวจิ่งเซวียน

ตามเวลาที่ล่วงเลย ในค่ายชั่วคราวมีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณประมาณห้าหมื่นมารวมกัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นราชันระดับอมตะธรรมดา

และมีอริยะแท้ส่วนหนึ่ง แต่พูดถึงพลังต่อสู้ทั้งหมดแล้วก็ยังต่างจากแปดดินแดนอื่นมากเกินไปจริงๆ

ต่อให้เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎ คนที่ก้าวสู่ระดับมกุฎอริยะจนถึงตอนนี้ก็มีแค่หลินสวิน เซ่าเฮ่า รั่วอู่สามคนเท่านั้น

พูดได้ว่าหากรวมขุมอำนาจทั้งหมด ดินแดนรกร้างโบราณก็ไม่มีสิทธิ์จะต่อต้านขุมอำนาจใดในแปดดินแดนอื่นอย่างสิ้นเชิง!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากข่าวที่ทั้งเจ็ดดินแดนจะร่วมมือกันมารุกรานในวันที่หลินสวินสร้างเมืองแพร่ออกไป ในค่ายชั่วคราวที่กว้างใหญ่นั้น บรรยากาศที่เดิมครึกครื้นก็เปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมา

ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณมากมาย ต่อให้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะร่วมมือกับหลินสวิน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังรู้สึกว้าวุ่นใจ

แตกต่างมากเกินไปแล้ว!

พวกเขาถึงขั้นมองไม่เห็นความหวังเท่าไร

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่เชื่อมั่นในตัวหลินสวินมากอย่างพวกรั่วอู่ เซ่าเฮ่าก็ยังอดรู้สึกหนักใจไม่ได้

หากสร้างเมืองได้สำเร็จ ต่อให้เสียสละมากแค่ไหนก็คุ้มค่า

แต่ถ้า…

ไม่สำเร็จล่ะ

เช่นนั้นคงพังพินาศทั้งกองทัพ ถูกล้างบางจนพบจุดจบน่าอนาถกันหมดแน่!

ยิ่งเวลาสร้างเมืองใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศในค่ายนานเข้าก็ยิ่งกดดัน ผู้แข็งแกร่งมากมายถึงขั้นรู้สึกกระสับกระส่าย

คนมากมายถึงขั้นนึกเสียใจอย่างอดไม่อยู่ โทษตัวเองที่ไม่ควรหัวร้อนจนบุ่มบ่ามมาที่นี่…

รั่วอู่และเซ่าเฮ่าเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ ศัตรูยังไม่มา ปณิธานต่อสู้ภายในใจของพวกเขาก็สั่นคลอนแล้ว นี่ดูท่าไม่ดีอยู่บ้าง

“ก็ไม่รู้ว่าเจ้าหลินสวินนี่กำลังคิดอะไรอยู่”

รั่วอู่พึมพำอย่างอดไม่ได้

หลายวันมานี้หลินสวินทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันๆ หยิบชีพจรปราณวิญญาณเส้นแล้วเส้นเล่าไปวางอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงต่างๆ นำทรายทองผลึกอากาศที่หลอมเสร็จแล้วไปก่อวางทีละก้อน

ไม่สนใจสถานการณ์อะไรในค่ายอย่างสิ้นเชิง

“มีใจสงบท่ามกลางวิกฤติ ยิ่งเขาทำอะไรตามใจและนิ่งสงบ ข้ากลับยิ่งมีความมั่นใจ หากเขาก็ว้าวุ่นและทอดถอนใจเหมือนคนอื่น ข้าว่าเมืองอารักษ์มรรคก็ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่แต่แรก ยอมแพ้ไปซะเลยดีกว่า”

เซ่าเฮ่ายิ้มกล่าว

“เจ้ายังยิ้มออกอีกหรือ”

รั่วอู่เหลือบมองเขาเล็กน้อย

เซ่าเฮ่าหัวเราะ “ก็แค่หาความสุขในความทุกข์เท่านั้น”

“หาความสุขในความทุกข์รึ ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าแค่ว่างจนไม่มีงานทำ”

เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น กลับเห็นหลินสวินเดินมาแต่ไกล ท่าทางแม้จะผ่อนคลาย แต่หว่างคิ้วกลับอ่อนเพลียยากปกปิด

หลายวันนี้มีเขาวางกระบวนค่ายกลเพียงลำพัง แค่การสลักลายมรรคที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเหมือนทะเล ก็ใช้สมาธิและแรงกายแรงใจของเขาไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

กระบวนค่ายกลอริยะขนาดใหญ่เช่นนี้คนอื่นก็ช่วยเขาไม่ได้ และจะเกิดข้อผิดพลาดแม้เศษเสี้ยวก็ไม่ได้

หลินสวินจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำอยู่คนเดียว

“ค่ายกลเสร็จแล้วรึ”

เซ่าเฮ่านัยน์ตาเป็นประกาย

หลินสวินพยักหน้า “ตอนนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกอย่าง”

“เรื่องใดหรือ”

“ถ้าต้องการสร้างเมืองแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมั่นคงยากทำลายจึงจะดี ซากศพและน้ำเลือดของศัตรูก็เป็นแค่สิ่งแต้มแต่ง หยัดรากฐานให้กับเมืองเท่านั้น ยังต้องใช้วัตถุดิบเทพเป็นหลักด้วย”

หลินสวินกล่าว “ดังนั้นข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าสองคนช่วยหลอมทรายทองผลึกอากาศจำนวนหนึ่ง ยิ่งมากยิ่งดี ทางที่ดีเอาให้มากพอจะสร้างเมืองแห่งหนึ่งได้จะดีที่สุด”

เซ่าเฮ่าและรั่วอู่สูดหายใจเย็นเยียบ “ใช้ทรายทองผลึกอากาศสร้างเมืองแห่งหนึ่งรึ”

ความคิดนี้ช่างบ้าระห่ำจริงๆ!

“ไม่ผิด ไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อทำแล้วอย่างน้อยก็ต้องสร้างเมืองอมตะที่ไม่มีใครทำลายได้ไว้ในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้!”

นัยน์ตาดำของหลินสวินส่องประกายวาววาบ วาจาเด็ดเดี่ยว “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในภายหน้าต่อให้เกิดการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนขึ้นอีกกี่ครั้ง ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณของเราก็ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีก ขอแค่พึ่งพาพลังของเมืองนี้ก็จะยืนหยัดไร้พ่ายได้!”

เซ่าเฮ่าและรั่วอู่ต่างไหวหวั่น

ตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจ ว่าแผนการสร้างเมืองของหลินสวินยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก พิจารณาจนล้ำลึกยากหยั่งถึง!

ครู่ใหญ่เซ่าเฮ่าก็กล่าวหยอกล้อ “ก่อนหน้านี้ข้ายังนึกว่าเจ้าคิดจะใช้ศพของศัตรูมาเป็นวัตถุดิบสร้างเมืองจริงๆ ที่แท้ก็ยังมีความคิดอื่นอีก”

หลินสวินยิ้มเล็กน้อย “วางใจเถอะ ซากศพของศัตรูจะต้องได้กองเต็มอิฐทุกก้อนในเมืองนี้แน่!”

ในช่วงเวลาต่อมาเซ่าเฮ่าและรั่วอู่ก็ยุ่งขึ้นมาทันที คนหนึ่งไปรวบรวมทรายทองผลึกอากาศ อีกคนก็นำอริยะแท้กลุ่มหนึ่งมาช่วยหลอมทรายทองผลึกอากาศมากมายเป็นก้อนอิฐขนาดมหึมาหลายก้อน

จากนั้นบนอิฐแต่ละก้อนก็จะถูกหลินสวินสลักลายมรรคต่างๆ ไว้

ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นในค่ายก็แบ่งงานกันทำ ช่วยกันแยกซากศพและน้ำเลือดใน ‘ภูเขาศพบ่อโลหิต’ นั้นออกมาหลอมเป็นวัตถุดิบสร้างเมือง

ใกล้วันสร้างเมืองเข้าไปทุกทีแล้ว

วันนี้เซ่าเฮ่ากลับมาที่ค่ายชั่วคราวอย่างรีบเร่ง พร้อมนำข่าวหนึ่งกลับมาด้วย

“กำลังพลของเจ็ดดินแดนใหญ่ เคลื่อนพลมาถึงชายแดนโลกรกร้างโบราณแล้ว!”

เพียงพริบตาบรรยากาศทั้งค่ายชั่วคราวก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที แต่ละคนต่างตึงเครียด พายุฝนกำลังมา ใครเล่าจะไม่ประหม่า

มีเพียงหลินสวินที่ผิดคาดอยู่บ้าง “ทำไมไม่มีกำลังพลของดินแดนโบราณมารโลหิต”

“เซวี่ยชิงอีตัดสินใจอดกลั้น ยามนี้จึงทำให้เขากลายเป็นตัวตลกของแปดดินแดนแล้ว ชื่อเสียงทั้งหมดดิ่งลงสู่ก้นเหว”

เซ่าเฮ่าสีหน้าพิกล

“เจ้าหมอนี่เป็นคนฉลาดจริงๆ”

หลินสวินชะงัก จากนั้นก็กล่าววิจารณ์ประโยคหนึ่ง

หลินสวินพูดพลางโฉบขึ้นไปกลางอากาศ ยืนตระหง่านอยู่ใต้เวิ้งฟ้า แผ่จิตรับรู้ออกไปมองรอบทิศ

ก็เห็นว่าในรัศมีร้อยลี้โดยมีค่ายชั่วคราวเป็นศูนย์กลาง ในแต่ละช่วงจะมีภูเขาหินสีทองสูงใหญ่ลูกหนึ่งตั้งตระหง่าน

ภูเขาทองพวกนี้ล้วนก่อขึ้นจากก้อนอิฐมหึมาที่หลอมจากทรายทองผลึกอากาศมากมาย

ด้วยเหตุนี้เซ่าเฮ่าจึงแทบจะย้ายทรายทองผลึกอากาศที่กระจายอยู่ในแดนลี้ลับแห่งนั้นออกมาจนหมด!

และด้านล่างของรัศมีร้อยลี้นี้ ในใต้ดินที่ไม่มีใครมองเห็นก็ปกคลุมด้วยค่ายกลลายมรรคมากมาย

ค่ายกลสลักอยู่บนวัตถุดิบของกระบวนค่ายกลใหญ่ ส่วนด้านล่างลงไปก็เป็นชีพจรปราณวิญญาณระดับอริยะหลากสายไขว้พาด มหึมาเหมือนเจียวหลงนอนขดอยู่!

หลินสวินที่เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา ในใจพลันปั่นป่วนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ‘เมื่อถึงตอนสร้างเมือง แน่นอนว่าต้องใช้เลือดสดๆ มาบูชายัญ…’

ผ่านไปสิบวัน

ห่างจากวันสร้างเมืองที่หลินสวินบอกแค่เจ็ดวัน แต่ในวันนี้เซ่าเฮ่าที่ลาดตระเวนอยู่ภายนอกได้กลับมายังค่ายชั่วคราวอีกครั้งด้วยความเร็วเต็มอัตรา

“ทุกคนเตรียมตัว ศัตรูบุกโจมตีแล้ว!”

เสียงตะโกนของเซ่าเฮ่าราวฟ้าผ่า ดังก้องบนท้องฟ้าเหนือค่ายชั่วคราว เพียงพริบตาผู้แข็งแกร่งทุกคนในค่ายต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่

ศัตรูถึงกับมาก่อนล่วงหน้าเจ็ดวัน!?

ฟุ่บ!

ขณะเดียวกันเงาร่างของหลินสวินทะยานสู่ฟากฟ้า ชุดสีขาวพระจันทร์ของเขาสะบัดโบก ใบหน้าหล่อเหลาราศีจับเปล่งประกาย นัยน์ตาดำล้ำลึกและวาววาบ

“ก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางโง่รอถึงวันสร้างเมืองแล้วค่อยมา!”

เสียงเยียบเย็นดังก้องไปทั้งค่าย ทำให้ทุกคนต่างอึ้งงัน ที่แท้หลินสวินก็คาดว่าจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรือ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของผู้แข็งแกร่งทุกคนก็ผ่อนคลายลงอย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้รับความมั่นใจจากคำพูดของหลินสวิน

“พี่หลิน ศึกใหญ่กำลังมา ไม่ทราบว่าเจ้ามีความมั่นใจแค่ไหนหรือ”

มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

สายตานับไม่ถ้วนพากันจับจ้องไปที่หลินสวินทันที บ้างกระวนกระวาย บ้างประหม่า และบ้างเฝ้ารอ

………

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset