ภูเขาม่วงสูงตระหง่านโดดเด่น บนเวิ้งฟ้าเมฆาเคราะห์แน่นหนา อสนีบาตร้อยถักเข้าด้วยกัน ส่งเสียงกัมปนาทดั่งกลองศึก
กลิ่นอายทำลายล้างชวนประหวั่น พาให้ฟ้าดินตกอยู่ในบรรยากาศกดดันที่ทำให้ผู้คนเหมือนจะหายใจไม่ออก
เจี้ยนชิงเฉินสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล สายตาทอดมองไปยังร่างงามสง่าที่ยืนอยู่เหนือยอดเขาสีม่วงนั้น ริมฝีปากระบายยิ้มเจือแววลึกลับ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเข้ามาในแดนลับนี้เดิมก็เพื่อเสาะหาวาสนาที่เกี่ยวข้องกับ ‘อริยมรรค’ มาพัฒนาวิชาแห่งตน
แต่ไม่คิดเลยว่าวาสนานี้กลับมีคนได้ไปแล้ว
จากนั้นเขาก็พบว่าเป็นหญิงสาวชุดม่วงประหนึ่งหยก งดงามเหมือนเซียนคนนี้
ด้วยสายตาของเจี้ยนชิงเฉิน มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าบนตัวหญิงสาวคนนี้มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์เฉพาะตัวอย่างหนึ่ง ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
‘สามารถนำประทับมหามรรคที่อยู่ในแดนลับนี้ไปได้ ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ต่างก็ทำได้ หากครั้งนี้เจ้าข้ามด่านเคราะห์สำเร็จจริง ข้าจะไม่ถือสาเอาชีวิตเจ้า’
เจี้ยนชิงเฉินพึมพำในใจ
เขาสวมเสื้อขนนก ใช้กระบี่บินเล่มหนึ่งปักมวยผม หน้าตาหล่อเหลาสุภาพ ดูไปแล้วก็เหมือนคุณชายหนุ่มชนชั้นสูงคนหนึ่ง ราศีจับไปทั้งตัว
“หืม?”
ทันใดนั้นเจี้ยนชิงเฉินก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หันหลังกลับไปมอง
พริบตานี้ในดวงตานิ่งสงบดุจทะเลสาบนั้นของเขาพลันส่องประกายวาววาบน่าพรั่นพรึง คล้ายมีกระบี่สวรรค์ส่องแสงระยับอยู่ในส่วนลึกของดวงตา สามารถเฉือนตัดสรรพสิ่ง บดทลายธารดารา!
“หืม?”
ทันใดนั้นเหนือยอดภูเขาม่วง จ้าวจิ่งเซวียนที่กำลังสงบใจรอข้ามด่านเคราะห์พลันก้มหน้า พริบตาก็มองเห็นเจี้ยนชิงเฉินที่ยืนอยู่บนหน้าผาที่ห่างออกไป
นัยน์ตากระจ่างคู่นั้นของนางหดรัดเล็กน้อย ในใจเครียดขมึง คิดไม่ถึงว่าต่อหน้าเภทภัยที่เกี่ยวเนื่องกับความสำเร็จของมหามรรคนี้ จะมีคนซุ่มซ่อมอยู่ใกล้ๆ!
ไม่ถูกสิ
นี่ไม่ใช่การซ่อนตัว หากแต่พลังปราณของอีกฝ่ายล้ำลึกเกินไป ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอย่างสิ้นเชิง แค่ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ ก็ทำให้ก่อนหน้านี้ตนไม่อาจสังเกตเห็น!
เมื่อตระหนักรู้ถึงจุดนี้จ้าวจิ่งเซวียนเม้มริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ พลันทอดถอนใจอยู่ภายในใจ
ตอนนั้นที่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดออก นางก็ถูกเคลื่อนย้ายมาในโลกลี้ลับที่เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งนี้
ด้วยหาทางออกไม่เจอ นางจึงได้แต่รออยู่ที่นี่
ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่านี้ นางตัวคนเดียวอาศัยอยู่ในเรือนไผ่เพียงลำพัง ฝึกปราณคนเดียว จัดดอกไม้คนเดียว คิดในใจอยู่คนเดียว…
กระทั่งไม่นานมานี้ยามสงบใจ นางได้หยั่งถึงประทับมหามรรคหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ได้รับ ‘การหยั่งรู้มหามรรค’ อย่างคาดไม่ถึง
และด้วยการหยั่งรู้มหามรรคนี้ ทำให้นางจับจุดเปลี่ยนบรรลุมกุฎอริยะได้ในคราเดียว!
วันนี้ก็คือเวลาที่นางจะข้ามด่านเคราะห์ ทั้งผ่านการตกตะกอนนานหนึ่งปี นางจึงเตรียมพร้อมเพื่อการนี้มานานแล้ว
ต่อให้เภทภัยบนเวิ้งฟ้าน่ากลัวแค่ไหน ในใจนางก็ไม่หวาดกลัว ราบเรียบไร้คลื่นลม
แต่เมื่อสังเกตเห็นเงาร่างของเจี้ยนชิงเฉิน ใจที่ราบเรียบไร้คลื่นลมนั้นของนาง ท้ายที่สุดก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดแรงกระเพื่อมเสี้ยวหนึ่ง!
การข้ามด่านเคราะห์ ข้อห้ามสำคัญก็คือการถูกรบกวนจากโลกภายนอก
และเคราะห์มกุฎอริยะนี้ก็น่ากลัวยิ่ง ถ้าจิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงนิด ก็จะถูกพลังของด่านเคราะห์ฉวยโอกาสบุกจู่โจมเข้าไป
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าน้ำผึ้งหยดเดียว!
ใจของจ้าวจิ่งเซวียนตกไปที่ตาตุ่มในชั่วขณะเดียว เร็วไม่มา ช้าไม่มา เจ้าตัวแปรยากควบคุมนี่จงใจจะให้ข้าประสบเคราะห์ยามบรรลุมกุฎอริยะหรืออย่างไร
ตูม!
ขณะที่ในหัวเพิ่งเกิดความคิดนี้ บนเวิ้งฟ้าส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ที่รวบรวมพลังมานานพลันเกิดเสียงอึกทึกสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ทั่วสารทิศสะท้านไหว สรรพสิ่งสั่นคลอน
จ้าวจิ่งเซวียนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
หากพูดว่าสภาวะจิตของนางก่อนหน้านี้ราบเรียบนิ่งสงบ เช่นนั้นตอนนี้แรงกระเพื่อมเสี้ยวหนึ่งที่เกิดจากการปรากฏตัวของเจี้ยนชิงเฉิน ก็เหมือนสิ่งที่แหวกผ่านสภาวะจิตของนาง ในช่วงเวลาที่ข้ามด่านเคราะห์นี้จึงกลายเป็นจุดอ่อนถึงชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย!
เพียงพริบตาสีหน้าของนางก็ทะมึนลงอย่างอดไม่ได้
แต่พร้อมกันนี้ก็พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น…
“จิ่งเซวียน เจ้าข้ามด่านเคราะห์ได้อย่างสบายใจ มีข้าอยู่!”
เสียงที่คุ้นเคยนั้น หนึ่งปีมานี้วนเวียนอยู่ในใจไม่รู้กี่ครั้ง ทำให้ตอนแรกจ้าวจิ่งเซวียนยังคิดว่าเป็นภาพหลอนที่เกิดจากสภาวะจิตบกพร่องของตน
แต่ไม่นานนางก็สังเกตเห็นว่าไม่ถูก
ด้วยในจุดที่ไกลออกไปมีเงาร่างคุ้นเคยหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมา
เขาสวมชุดสีขาวพระจันทร์ ผมดำพลิ้วไหว เงาร่างยังสูงตระหง่านและผึ่งผายเหมือนแต่ก่อน ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่อาจทำให้สันหลังของเขาโก่งงอได้!
‘เป็นเจ้าหมอนั่นจริงๆ…’
ในใจจ้าวจิ่งเซวียนสั่นสะท้าน นัยน์ตากระจ่างแวววาวเบิกโพลง ใบหน้างามที่เดิมถูกความอึมครึมสายหนึ่งเวียนวนนั้นพลันฉายแววอัศจรรย์แตกตื่น
‘มีข้าอยู่!’
‘มีข้าอยู่!’
น้ำเสียงราบเรียบแต่ดูเด็ดเดี่ยวนั้นยังสะท้อนอยู่กลางฟ้าดิน วนเวียนอยู่ข้างหู จ้าวจิ่งเซวียนเริ่มคัดจมูก เบ้าตาต่างแดงระเรื่อเล็กน้อย
นางสูดหายใจลึก เชิดคางขาวกระจ่างเรียบเนียนขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยท่าทีหยิ่งทะนงอย่างยิ่ง “พิบัติเคราะห์เช่นนี้ สำหรับข้าแล้วมีหรือจะคู่ควรให้กล่าวถึง”
เสียงใสไพเราะดุจเสียงจากธรรมชาติ เต็มไปด้วยมาดสง่างามของความปิติและมั่นใจ
การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะ…
เขามาแล้ว!
ห่างออกไปหลินสวินก็ยิ้มแล้ว แววตาเจือความอ่อนโยนอย่างยากจะได้เห็น
ตูม!
บนเวิ้งฟ้า อสนีเคราะห์เจิดจรัสแสบตาเหมือนมังกรหวือแหวกคำรามก้อง ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้ว
จ้าวจิ่งเซวียนชายเสื้อพลิ้วไหว เงาร่างทรงสง่าพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ หน้าตานางจดจ่อและนิ่งสงบ ใบหน้างามผุดผ่องเจือความหยิ่งผยอง
ในสภาวะจิตไม่มีระลอกคลื่นอีกเพียงเสี้ยว!
…
ขณะเดียวกันหลินสวินเหลือบสายตามองไปยังชายหนุ่มที่สวมเสื้อขนนก ยืนมือไพล่หลังคนนั้น
“เจี้ยนชิงเฉินหรือ” เขาเอ่ยถาม
เจี้ยนชิงเฉินพยักหน้า มองหลินสวินแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้แล้วกล่าวเหมือนคิดอะไรได้ “สามารถทะลวงการปิดล้อมของมกุฎอริยะทั้งหมดจนเข้ามาที่นี่ได้ ดูท่าแล้วเจ้าก็คือหลินสวินคนนั้นสินะ”
เขาท่าทางผ่อนคลาย ดูเหมือนสงบนิ่งยิ่งนัก ความจริงแล้วเป็นความอวดดีที่ซึบซาบถึงขีดสุด เผยมาดสง่างามของผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งออกมาได้อย่างสมบูรณ์
แม้แต่หลินสวินก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าเจี้ยนชิงเฉินที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในแปดยอดนภาคราม ทั้งถูกมองเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์แห่งดินแดนโบราณต้าหลัวนี้ ช่างต่างจากมกุฎอริยะคนอื่นจริงๆ
‘ในดินแดนรกร้างโบราณ บางทีอาจมีแค่ความสง่างามของอวิ๋นชิ่งไป๋ที่ขันแข่งกับคนผู้นี้ได้กระมัง’
หลินสวินนึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ขึ้นมา
เพียงแต่อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นอัจฉริยะมรรคกระบี่คนหนึ่งที่ไม่ปิดบังความแข็งแกร่งของตนแม้แต่น้อย ความหยิ่งทะนงและอวดดีของเขาก็ไม่เคยคิดจะปกปิด เหมือนกระบี่ไร้เทียมทานที่เจิดจรัสเล่มหนึ่ง คมกระบี่ดั่งดวงตะวันลอยเด่นอยู่บนเวิ้งฟ้า
แต่เจี้ยนชิงเฉินกลับเป็นอีกบุคลิกหนึ่ง พาให้คนรู้สึกว่าลุ่มลึกและแน่วนิ่งคล้ายกระบี่คมฝนฝัก ทำให้คนยากจะมองตื้นลึกหนาบางของเขาออก
“น่าสนใจ ถึงกับได้เจอเจ้าที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้มาเพื่อฆ่าข้า”
ขณะกล่าวเจี้ยนชิงเฉินเหลือบสายตามองจ้าวจิ่งเซวียนที่กำลังข้ามด่านเคราะห์อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย “เพื่อนางหรือ”
หลินสวินกล่าวเปิดเผย “ไม่ผิด ดังนั้น… เจ้าคิดจะจากไปเอง หรือจะให้ข้าส่งเจ้าลงนรก”
เจี้ยนชิงเฉินยิ้มหยัน “ทำไมต้องรีบร้อนเช่นนี้เล่า ข้ายังอยากรู้เรื่องเจ้าอีกมาก อาศัยโอกาสนี้พูดคุยกันหน่อยจะเป็นไร”
ยามทั้งสองพูดคุยกันก็เหมือนการพูดคุยธรรมดา แต่พื้นที่แถบนั้นที่ทั้งสองยืนอยู่ ถูกกลิ่นอายน่ากลัวไร้รูปอัดแน่นนานแล้ว
ภูเขาหินต้นไม้พวกนั้นล้วนกลายเป็นฝุ่นผงโดยไร้สุ้มเสียง!
บนเวิ้งฟ้าอสนีเคราะห์ส่งเสียงกัมปนาท สายฟ้าแลบเจิดจ้า ทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในความตะลึง แต่ทันทีที่กลิ่นอายของพิบัติเคราะห์นั้นเข้าใกล้พื้นที่แถบนี้ก็พลันหายไป
นี่คือการเผชิญหน้าที่ไร้สุ้มเสียง เป็นการประลองที่มองไม่เห็น ดูเหมือนพูดคุยทั่วไป ความจริงแล้วอันตรายและน่ากลัวกว่าการฆ่าฟันที่แท้จริง!
“ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าเจ้าจะดึงดันไม่ไปสินะ”
หลินสวินเลิกคิ้วเล็กน้อย
เจี้ยนชิงเฉินทอดถอนใจ สายตามองจ้าวจิ่งเซวียนที่ข้ามด่านเคราะห์อยู่ห่างออกไปกล่าว “น่าเสียดาย เดิมข้าคิดจะรอนางบรรลุมกุฎอริยะแล้วเก็บนางไว้ข้างกาย ภายหน้าจะได้ติดตามข้ากรำศึกในใต้หล้าด้วยกัน แต่ตอนนี้ดูท่าว่าหากคิดจะเก็บนางไว้ เกรงว่าคงต้องผ่านด่านเจ้าก่อนแล้ว”
หลินสวินกล่าว “นี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าชักช้าไม่ลงมือหรือ”
เจี้ยนชิงเฉินพยักหน้า “เจ้าดูไม่ออกหรือว่าในตัวแม่นางคนนี้มีสายเลือดเจินหลงไหลวนอยู่ หากนางข้ามด่านเคราะห์กลายเป็นมกุฎอริยะได้ ก็พอจะปลุกพลังพรสวรรค์ที่แท้จริงของเผ่าเจินหลงได้ มังกรสาวที่บรรลุมกุฎอริยะคนหนึ่ง… ต้องก่อให้เกิดแรงสะเทือนบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้แน่!”
“ถึงอย่างไรเดิมทีเผ่าเจินหลงก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่เหมือนตำนานเผ่าหนึ่ง พบเห็นได้น้อยยิ่งนัก… ยากจะได้เห็นยิ่งกว่าบุตรเทพและเทวบุตรโดยกำเนิดอะไรนั่นอีก”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย สายตามองไปยังจ้าวจิ่งเซวียนที่กำลังข้ามด่านเคราะห์อยู่ห่างออกไป นึกถึงคำพูดที่เยี่ยนจั่นชิวผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเคยกล่าวก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว
‘เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฐานะของศิษย์น้องจิ่งเซวียนสูงส่งแค่ไหน บนโลกนี้คนที่คู่ควรกับนางนั้นแทบจะมีไม่กี่คน แต่แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นเจ้า!’
ตอนนั้นหลินสวินยังคิดว่าสิ่งที่เยี่ยนจั่นชิวพูดเป็นวาจาที่ระบายความเดือดดาลและเกลียดชัง
แต่ตอนนี้ดูท่า เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนจั่นชิวก็รู้ว่าความเป็นมาของจ้าวจิ่งเซวียนไม่ธรรมดาอยู่ก่อนแล้ว
นี่เป็นเรื่องปกติ เล่าลือกันว่าฝ่ายมารดาของเยี่ยนจั่นชิวมีความสัมพันธ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนกับเผ่าเจินหลง สามารถมองเบื้องลึกบางอย่างของจ้าวจิ่งเซวียนออกก็สมเหตุผล
“เจ้าพูดไม่ผิด ทั้งจากมุมมองข้า นางยังเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง บนโลกมีคนอย่างนางแค่คนเดียวเท่านั้น”
หลินสวินกล่าวจริงจัง “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ลงมือก็ด้วยเกิดความละโมบ อยากจะได้ในสิ่งที่ไม่ควรครอบครอง ที่ข้าพูดถูกหรือไม่”
เจี้ยนชิงเฉินยิ้ม “นี่ไม่ใช่ความละโมบ หากแต่เป็นความเบิกบานเมื่อล่าสัตว์ ส่วนควรครอบครองหรือไม่ที่เจ้าพูดนั้นไม่นับ”
“ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าเจ้ายังไม่เลิกล้ม?”
สีหน้าหลินสวินนิ่งสงบเย็นชายิ่งกว่าเดิมแล้ว
“หากเจ้าตัดสินใจลงมือตอนนี้ ผลสุดท้ายจะมีแค่อย่างเดียว”
เจี้ยนชิงเฉินเก็บรอยยิ้มที่มุมปาก แววตานิ่งสงบจับจ้องหลินสวิน “หากไม่ใช่ข้าตาย ก็เป็นพวกเจ้าสองคนที่ตายพร้อมกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็เห็นว่าแม่นางคนนั้นที่เจ้าเป็นห่วงกำลังข้ามด่านเคราะห์อยู่ นี่เป็นถึงช่วงเวลาสำคัญของการบรรลุมกุฎอริยะ ถ้าสำเร็จจะกลายเป็นอริยะในก้าวเดียว หากล้มเหลวคงจะจิตล่องวิญญาณลอยเป็นแน่ เจ้าคิดว่าหากนางถูกรบกวน ฉากจบจะเป็นอย่างไร”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น เต็มไปด้วยประกายชวนประหวั่น กล่าวว่า “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนอย่างเจ้าจะไร้ยางอายเช่นนี้”
เจี้ยนชิงเฉินกล่าวราบเรียบ “หลินสวิน คนอย่างเจ้ากับข้า เดิมก็ไม่ใส่ใจคำวิจารณ์โจมตีและตัดสินอะไรอยู่แล้ว ข้าก็แค่อธิบายความเป็นจริงเท่านั้น”
ตั้งแต่ต้นจนจบเขายังอวดดีและนิ่งสงบ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด!
……………………..