จู่ๆ เสียงขลุ่ยคล้ายเสียงสวรรค์เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือทะเลกระดูกขาวอันพิสดารน่าสะพรึงกลัว ดูไม่เข้ากันเท่าไรนัก และดูแปลกประหลาดหาใดเทียบ
หลินสวินดวงตานิ่งขึง เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนที่รู้กันก่อนแล้ว เคลื่อนเข้าไปซ่อนในจิตรับรู้ของเขา
ด้านหลินสวินกำลังโคจรไอซวนหนีปกคลุมทั้งกาย ตัวเขาเหมือนหายลับไปในห้วงอากาศโดยสมบูรณ์
หลังจากเข้าใจนัยเร้นลับมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอย่างถ่องแท้โดยสมบูรณ์ พลังไอซวนหนีก็ถูกหลินสวินอนุมานถึงขั้นใหม่เอี่ยม
ตอนนี้นอกจากคนรุ่นเดียวกันที่ครอบครองวิชาลับด้านสัมผัสที่มีเอกลักษณ์แล้ว คนอื่นถึงกับไม่อาจรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของหลินสวิน
หลังจากเคลื่อนตามเสียงขลุ่ยห่างออกมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว หลินสวินได้เห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อภาพหนึ่งในทันใด
วิญญาณเซียนเหินที่ปรากฏตัวจากกองกระดูกฝูงหนึ่งมารวมตัวกันแล้วเคลื่อนออกไปไกลด้วยการชักนำของเสียงขลุ่ย
ไอพิฆาตโหดเหี้ยมบนตัวพวกมันยังอยู่เหมือนเดิม น่าสยดสยองถึงที่สุดทั้งนั้น แต่เสียงขลุ่ยนั้นราวกับมีพลังมารอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้พวกมันต่างเชื่อฟังการร้องเรียกโดยมิได้นัดหมาย!
‘มรรคแห่งศาสตร์ดนตรีที่ร้ายกาจนัก!’
ในใจหลินสวินยังตกตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ควรรู้ว่าพลังต่อสู้วิญญาณเซียนเหินแต่ละตนนั้นไม่อ่อนแอกว่ามกุฎอริยะเลย แต่กลับไม่อาจต้านทานการควบคุมของขลุ่ยนั้น ประหนึ่งสัตว์ที่ถูกทำให้เชื่อง
ทว่าเมื่อเสียงขลุ่ยนี้เข้าหูหลินสวิน กลับไม่ได้มีพลังคุกคามอะไร ฟังแล้วไพเราะเสนาะหูยิ่ง ทำให้จิตใจปลอดโปร่งเสียด้วยซ้ำ
นี่ทำให้เขาตัดสินได้ในชั่วพริบตาว่าวิชาลับศาสตร์ดนตรีนี้น่าจะสร้างขึ้นเพื่อสัตว์ร้ายอย่างวิญญาณเซียนเหิน!
หลินสวินครุ่นคิดพลางเดินหน้าต่ออย่างเงียบเชียบ เขาชักอยากไปดูเสียหน่อยว่าคนที่เป่าขลุ่ยนี้เป็นอริยเทพจากไหน
‘สิบตน สามสิบตน ห้าสิบตน…’
ตลอดทางหลินสวินพบว่าจำนวนวิญญาณเซียนเหินที่ถูกเสียงขลุ่ยควบคุมยิ่งมากขึ้น
ทว่าเมื่อมีจำนวนถึงเก้าสิบเก้าตน จู่ๆ เสียงขลุ่ยก็เปลี่ยนจากเสียงสูงเป็นทุ้มต่ำ แปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองดนตรีใหม่
ทันใดนั้นหลินสวินก็เห็นว่าวิญญาณเซียนเหินเก้าสิบเก้าตนนั้นต่างเริ่มบินท่องรวมกลุ่มก้อนกัน ไอพิฆาตถาโถม เคลื่อนกวาดออกไป
แล้วก็เป็นตอนนี้เองที่หลินสวินเห็นเงาร่างร่างหนึ่ง
คนผู้นั้นเป็นเด็กสาวที่เปลือยขาขาวกระจ่างทั้งสองข้างคนหนึ่ง สวมชุดคลุมหนังสัตว์ บนหัวประดับด้วยมงกุฎหนาม รูปร่างสูงโปร่งผอมเพรียว เต็มไปด้วยความดิบเถื่อน
มือนางถือขลุ่ยที่เจียรขึ้นจากกระดูกขาวเลาหนึ่ง ก้าวย่างไปในห้วงอากาศพลางเป่าขลุ่ย กลิ่นอายยากจับต้องเก่าแก่ราวพงไพรตลบอบอวลรอบกาย
วิญญาณเซียนเหินกลุ่มนั้นตามอยู่เบื้องหลังนาง
‘กลิ่นอายของดินแดนโบราณจิ่วหลี!’
ประกายเย็นชาฉายวาบในส่วนลึกของดวงตาหลินสวิน
บนตัวผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในสมรภูมิเก้าดินแดนทุกคน ต่างมีป้ายคำสั่งที่มาจากดินแดนของตนชิ้นหนึ่ง
มีเพียงอาศัยป้ายคำสั่งนี้ ถึงสามารถเก็บผลงานมหามรรคได้ และอาศัยป้ายคำสั่งนี้กลับไปยังดินแดนของตนยามการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนปิดฉากลง
อย่างบนตัวหลินสวินก็มีป้ายคำสั่งรกร้างโบราณชิ้นหนึ่ง
ก็เพราะการมีอยู่ของป้ายคำสั่งนี้ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาใดๆ ก็ถูกศัตรูสังเกตที่มาที่ไปของเขาได้ในทันที
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวที่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงหนังสัตว์ หัวประดับมงกุฎหนามคนนี้มาจากดินแดนโบราณจิ่วหลี ดินแดนที่ร่ำลือว่ายังคงรักษารูปลักษณ์เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ไว้ดังเดิม
“หืม?”
ทันใดนั้นเด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์ที่อยู่ไกลออกไปคนนั้นคล้ายสังเกตอะไรได้ หันหน้ากลับมามองครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันเสียงขลุ่ยก็กระจายออกมาดั่งวงคลื่น
‘ปฏิกิริยาฉับไวนัก’
หลินสวินตื่นตะลึงในใจ เขาหลบออกไปไกลๆ ทันที
ในที่สุดเด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์คนนั้นก็ไม่พบอะไรผิดปกติ หันตัวเดินหน้าต่อไป
แต่หลินสวินแน่ใจแล้วว่าเด็กสาวคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ต่อให้เป็นมกุฎอริยะทั่วไปยังไม่มีทางเทียบนางได้
‘ก็จริง คนที่สามารถครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหินเข้ามาที่นี่ได้ ล้วนเป็นผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดในแต่ละดินแดน เด็กสาวคนนี้มีปฏิกิริยาเฉียบคมปานนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก…’
หลินสวินครุ่นคิด
เขาไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เดินตามต่อไป
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์คนนี้คุ้นเคยกับทะเลทิ้งกระดูกอย่างยิ่ง ตลอดทางดูคล่องแคล่วรู้ทางดี ยามเคลื่อนไหวก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด
อีกทั้งพอเสียงขลุ่ยของนางกระจายออกไป ตลอดทางนี้ถึงกับไม่มีวิญญาณเซียนเหินปรากฏขึ้นอีกสักตน
‘ดูท่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนอื่นเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดในสมรภูมิเซียนเหินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งไปแล้ว ดังนั้นถึงได้ทำให้ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนอย่างเด็กสาวคนนี้ หลังจากมาถึงสมรภูมิเซียนเหินคราวนี้ก็ได้เปรียบไปหมด’
หลินสวินทอดถอนใจในใจ
เทียบกับแปดดินแดนแล้ว ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณไม่เพียงขาดพลังต่อสู้ ที่หนักกว่ายังมีระยะห่างด้านรากฐานพลังด้วย
หนึ่งก้านธูปผ่านไป
ไกลออกไปทัศนียภาพแปรเปลี่ยนฉับพลัน ทิวเขาสูงตระหง่านแผ่ตัวยืดขยายสูงต่ำแถบหนึ่งปรากฏขึ้น หมู่ยอดเขาดั่งทวน แทรกตัวเข้าไปในเมฆา เติบโตงอกงามไร้ที่สิ้นสุด
กลิ่นอายโบราณปฐมกาลราวดึกดำบรรพ์ตีกระทบหน้าตามมาด้วย
‘เขาตัดหมอก!’
ในสมองหลินสวินมีชื่อสถานที่หนึ่งปรากฏขึ้น ที่นี่คือสถานที่อันมีชื่อเสียงอย่างยิ่งแห่งหนึ่งในสมรภูมิเซียนเหิน
เทือกเขาแห่งนี้มีอาณาเขตแสนกว่าลี้ ภายในหมอกหนาทึบ ยอดเขาตั้งตระหง่านดั่งต้นไม้ในพงไพร สัตว์อันตรายซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย
แต่เช่นเดียวกัน ในเขานี้ก็ไม่ขาดวัตถุดิบเทพและของล้ำค่าที่มีน้อยนิดในโลกภายนอกบางประการ
ตามที่หลินสวินรู้มา ข่าวลือบอกว่าสมัยการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่หนึ่ง เคยมีมกุฎอริยะจากดินแดนโบราณเพลิงสวรรค์ผู้หนึ่งเด็ดเถาศุภโชคหยินหยางต้นหนึ่งไปจากที่นี่!
สิ่งนี้เป็นต้นไม้เทพชั้นหนึ่งในฟ้าดิน สามารถให้กำเนิด ‘ดอกตูมหยินหยาง’ ที่เป็นดั่งสมบัติอริยะดอกแล้วดอกเล่า
ดอกตูมหยินหยางแต่ละดอกล้วนเป็นวัตถุดิบหายากในการหลอมสมบัติอริยะอย่างหนึ่ง!
ถึงขั้นที่หากรอให้เถาศุภโชคหยินหยางมีลายมรรคธรรมชาติเกิดขึ้น กระทั่งรวมตัวเป็นน้ำเต้าศุภโชคได้ สิ่งนั้นจะเป็นถึงสมบัติอริยะฟ้าประทาน!
ทว่าเถาศุภโชคหยินหยางนี้เดิมทีก็หายากหาใดเทียบอยู่แล้ว ที่มีลายมรรคธรรมชาติเกิดขึ้นได้ก็ยิ่งพบเห็นได้น้อย ส่วนน้ำเต้าศุภโชคก็ไม่ต่างอะไรกับตำนาน
นอกจากเถาศุภโชคหยินหยาง เขาตัดหมอกแห่งนี้ก็ไม่ขาดวัตถุดิบเทพอื่น แต่โดยมากต่างมาพร้อมอันตราย ถึงอย่างไรส่วนลึกของเทือกเขานั้นก็มีวิญญาณเซียนเหินมากมายดำรงอยู่
เด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์เป่าขลุ่ยกระดูกอยู่จึงเข้าไปในเทือกเขาได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักทิวทัศน์ในครรลองสายตาเปิดกว้าง สะท้อนภาพหุบเขาราบเรียบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ตอนนี้ในหุบเขาแห่งนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว
หัวหน้าคือชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำผิดธรรมดา หนวดเคราทั้งยาวทั้งแข็งดั่งทวน ใบหน้าหยาบกระด้าง มีดวงตาสีม่วงคู่หนึ่ง
เขายืนไพล่มือตรงนั้นก็มีท่าทางกดข่มราวกับทะลวงฟ้าเทียมดิน โอหังเหนือใคร ทำให้คนอื่นที่อยู่ข้างเขาต่างดูหม่นแสงลงไม่น้อย
คนผู้นี้ก็คือชืออู๋ซู่ ระดับผู้นำของค่ายทัพดินแดนโบราณจิ่วหลี!
ชื่อของเขาเอาความหมายมาจาก ‘ไม่อาจอภัย’ มีกลิ่นอายอหังการเหมือนเจ้าตัว
“อวิ๋นอี เจ้ากลับมาแล้ว!”
พอเห็นหญิงสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์คนนั้นนำวิญญาณเซียนเหินเก้าสิบเก้าตนกลับมา ดวงตาสีม่วงของชืออู๋ซู่เปล่งประกาย เข้าไปต้อนรับ
“พี่ชือ ภารกิจลุล่วง”
เด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์ที่ถูกเรียกว่าอวิ๋นอีพยักหน้า
“พวกเรากำราบวิญญาณเซียนเหินได้เก้าสิบเก้าตัวแล้ว ก็ได้เวลาไปรวมตัวกับพวกคุนเซ่าอวี่แล้ว”
ชืออู๋ซู่ยิ้มเอ่ย
“เขา คุนเซ่าอวี่ จะเอาวิญญาณเซียนเหินมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร”
อวิ๋นอีเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่ใช่คุนเซ่าอวี่ จู๋อิ้งคงต่างหากที่ต้องการ เจ้าหมอนี่คิดจะวาง ‘กระบวนค่ายกลพันผี’ กระบวนหนึ่ง ยิ่งวิญญาณเซียนเหินที่จับมาได้มีมากเท่าไร พลังของกระบวนค่ายกลก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่จะใช้ต่อกรเจ้าสวะตัวจ้อยหลินสวินนั่น”
ชืออู๋ซู่ก็ไม่ปิดบัง เอ่ยตอบมา
อวิ๋นอีจึงตะลึงงัน พูดว่า “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”
“ห่างจากที่นี่ไม่ถึงหมื่นลี้”
ชืออู๋ซู่ชี้ไปไกลๆ ที่ส่วนลึกของเขาตัดหมอก
“แต่ต่อให้เป็นการวางกระบวนค่ายกล จู๋อิ้งคงมีวิธีอะไรที่ทำให้หลินสวินคนนี้ออกมาติดกับเองหรือ”
อวิ๋นอีนิ่วหน้าพูด
ชืออู๋ซู่หัวเราะร่า “ล่อให้ศัตรูเข้าไปติดจนออกไม่ได้ก็พอแล้ว นิสัยเจ้าหมอนั่นดุดันหาใดเทียบ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนร่วมกันลงมือครั้งแรก หรือศึกทะเลผาดำ เขายังกล้าต้านทานด้วยพลังของตัวเองคนเดียว”
“ถ้าเขารู้ที่ซ่อนตัวของพวกเรา เขาจะทนไหวได้อย่างไร”
พอฟังจนจบอวิ๋นอีก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “ดูท่าพี่ชือกับพวกคุนเซ่าอวี่จะวางแผนการรบไว้พร้อมสรรพ เข้าใจเบื้องลึกของหลินสวินนั่นกันดีแล้ว เช่นนี้ก็ดี ทุ่มแรงทั้งหมดให้สำเร็จในครั้งเดียว รอฆ่าเขาแล้ว ข้าจะต้องไปหาชะตามรรคผลงานรบดีๆ”
“ไป ตอนนี้พวกเราจะออกเดินทางกัน”
ชืออู๋ซู่โบกมือเอ่ย
คราวนี้เขานำมกุฎอริยะดินแดนโบราณจิ่วหลีอย่างอวิ๋นอีมาด้วยกันแปดคน ก็เพื่อจับวิญญาณเซียนเหิน
ตอนนี้ภารกิจสำเร็จแล้ว ก็ได้เวลาจากไปแล้ว
เสียงขลุ่ยสูงต่ำระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้นอีกครั้ง อวิ๋นอีเป่าขลุ่ยกระดูกตามหลังชืออู๋ซู่ ทว่าก็ในตอนที่พวกเขากำลังเตรียมเคลื่อนไหวนี้เอง ความเปลี่ยนแปลงผิดธรรมดาพลันเกิดขึ้น
โฮก!
จู่ๆ ในหมู่วิญญาณเซียนเหินเก้าสิบเก้าตัวนั้นก็มีตัวหนึ่งไม่รู้ไปถูกอะไรกระตุ้นเข้า พลันส่งเสียงคำรามดั่งสายฟ้า พุ่งกระโจนออกไป
เสียงขลุ่ยสูงต่ำนั้นถูกเสียงคำรามขัดขวาง
ที่ตามมาติดๆ คือวิญญาณเซียนเหินตัวอื่นที่เดิมถูกควบคุมไว้กระสับกระส่ายขึ้นมาทันใด กลับไปดุร้าย พลันจู่โจมไปทางพวกชืออู๋ซู่
ชั่วขณะเดียวที่นั่นโกลาหลขึ้นมาทันใด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“บัดซบ!”
อวิ๋นอีสีหน้าถมึงทึง กำลังเตรียมจะเป่าขลุ่ยกระดูกต่อ จู่ๆ ไอหนาวสะท้านอันตรายผุดขึ้นมาในหัวใจ ทำให้นางเคลื่อนตัวหลบหนีทันทีโดยไม่ลังเล
ฉึบ!
เงากระบี่ราวว่างเปล่าสายหนึ่งเคลื่อนผ่านตำแหน่งเดิมที่นางอยู่ ฝ่ายหลังที่เป็นเงากระบี่ก็คือเงาร่างของเสี่ยวอิ๋น
เพียงแต่ไม่ทันรอให้อวิ๋นอีถอนหายใจโล่งอก ผีเสื้อสีดำหม่นที่งดงามแจ่มจรัสหาใดเทียบตัวหนึ่งกระพือปีกเบาๆ
จากนั้นพลังเฉียบคมหาใดเทียบคู่หนึ่งที่ตัดห้วงอากาศขาดโฉบพุ่งออกไปอย่างรุนแรง
แย่แล้ว!
นางหน้าเปลี่ยนสีทันที พลันโบกขลุ่ยกระดูกในมือเพื่อต่อต้าน
ท่ามกลางเสียงคำรามลั่นอันน่ากลัว แม้พูดได้ว่าท้ายที่สุดการลอบโจมตีที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้ถูกอวิ๋นอีรับไว้ได้ แต่กลับทำให้ไหล่ของนางถูกฟันบาดเจ็บ ขลุ่ยกระดูกในมือแทบจะถูกซัดกระเด็นออกไป
“ศัตรูจู่โจม!”
อวิ๋นอีส่งเสียงร้องแหลมขุ่นเคือง
ความจริงแล้วไม่ต้องให้นางเตือนสักนิด ที่นั่นในตอนนี้โกลาหลถึงที่สุด
หลังจากวิญญาณเซียนเหินเก้าสิบเก้าตนสูญเสียการควบคุมไป ก็เหมือนมกุฎอริยะเก้าสิบเก้าคนร่วมกันออกโจมตีโดยแท้ ส่งผลให้พวกชืออู๋ซู่ตกอยู่ในการต่อสู้ทันที
ชั่วขณะเดียวที่นี่มีแสงเทพระเบิด เสียงโครมครามดั่งอสนี เสียงก่นด่าสาปแช่งคำรามดาลเดือดดังขึ้นไม่ขาดสาย
ใครก็คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเข้าสมรภูมิเซียนเหินมาไม่ถึงสองชั่วยาม ก็ประสบกับโจมตีดุเดือดที่มาโดยกะทันหัน
นี่ทำให้สีหน้าพวกเขาดูไม่น่าดูนัก
ไกลออกไปหลินสวินมองดูภาพนี้ สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว การต่อสู้ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นฝีมือของเขา
——