ประสบการณ์ตลอดทาง ทำให้หลินสวินตระหนักได้เป็นครั้งแรกว่า พวกสัตว์ร้ายในสมรภูมิเซียนเหินไม่เพียงแค่ศักยภาพไม่ด้อยกว่ามกุฎอริยะ พวกตัวตนน่าสะพรึงกลัวบางส่วนในนั้น น่ากลัวยิ่งกว่ามกุฎอริยะ!
อย่างเช่น ‘ยักษ์สีเลือด’ ที่รวมตัวจากโครงกระดูกทับซ้อนนับไม่ถ้วนในทะเลทิ้งกระดูก
หรืออย่างร่างที่มีเกราะหนักซึ่งแปลงมาจากภูเขาลูกใหญ่สูงตระหง่านลูกหนึ่ง
แต่ละตนน่ากลัวกว่าอีกตน ทำเอาหลินสวินรู้สึกถึงอันตรายอย่างที่สุด
“นายท่าน หลังจากสังหารอวิ๋นอีนั่น ป้ายคำสั่งเซียนเหินในมือข้าพลันมีชะตามรรคผลงานรบสองร้อยสิบแปดสายเพิ่มขึ้นมา”
เสี่ยวอิ๋นพูดอย่างตื่นเต้น “ดูเหมือนว่าข่าวจะเป็นจริง ในสมรภูมิเซียนเหินแห่งนี้ เมื่อโจมตีสังหารผู้แข็งแกร่งที่มีป้ายคำสั่งเซียนเหิน จะสามารถช่วงชิงชะตามรรคผลงานรบทั้งหมดของอีกฝ่าย!”
ว่าแล้วเขาก็ยื่นป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน “นี่คือป้ายคำสั่งเซียนเหินที่ได้จากอวิ๋นอีหลังจากสังหารนาง แต่ตอนนี้ว่างเปล่าแล้ว”
หลินสวินวางลงลวกๆ ขบคิดแล้วเอ่ย “การต่อสู้ในสมรภูมิเซียนเหินมีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น ตอนนี้ในมือพวกเรามีป้ายคำสั่งเซียนเหินสี่ชิ้น ต้องทำเวลารวบรวมชะตามรรคผลงานรบให้มากพอก่อนที่สมรภูมิเซียนเหินจะสิ้นสุดลง”
“นายท่าน นั่นเถาวัลย์หยกนภาค่ำ!”
เสี่ยวเทียนที่นิสัยเย็นชามาโดยตลอดตื่นเต้นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลินสวินเงยหน้ามองไป ก็เห็นว่าในกองหินที่อยู่ไม่ไกลนักมีเถาวัลย์ที่ขาวหิมะดั่งหยกต้นหนึ่งงอกออกมา ใบปรากฏสีขาวงดงาม
ทว่าอากาศเหนือเถาวัลย์กลับปกคลุมด้วยม่านรัตติกาลชั้นหนึ่ง ปรากฏสีสันที่มืดมนลึกล้ำอย่างหนึ่ง มองจากระยะไกลราวกับเถาวัลย์ที่กางม่านฟ้ารัตติกาลออกมา!
“เป็นสมบัตินี้จริงๆ ด้วย!”
เสี่ยวอิ๋นเองก็ตาเป็นประกาย “ในคำเล่าลือ เถาวัลย์นี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ฟ้าประทาน มีลายมรรคแปลกประหลาดตามธรรมชาติ หลังจากเด็ดมาหลอมในยา ฝึกปราณวันเดียวก็สามารถได้ผลลัพธ์ราวกับฝึกร้อยวัน!”
“ไม่ผิด กลืนยานี้ลงไป กายใจประหนึ่งเข้าสู่ท้องฟ้ารัตติกาลอันไพศาล สามารถทำให้พลังสภาวะจิตของผู้ฝึกปราณถูกกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณหรือการหยั่งมรรคก็ให้ผลน่าทึ่ง”
หลินสวินเองก็เคยได้ยินชื่อสมบัตินี้ เพียงแต่ในโลกภายนอกไม่มีอยู่นานแล้ว ไม่คิดว่าจะมาเจอในสมรภูมิเซียนเหินแห่งนี้
‘หากสามารถกลืนโอสถนี้ได้ บางทีพลังปราณของข้าอาจจะสามารถยกระดับไปอีกก้าว…’
ตอนที่หลินสวินใคร่ครวญก็ขยับเข้าใกล้เถาวัลย์หยกนภาค่ำแล้ว
เพียงแต่ตอนที่เขาจะลงมือเด็ด กลับสังเกตเห็นในทันที ว่าบนส่วนรากของเถาวัลย์นี้กลับประทับกระบวนค่ายกลลายมรรคที่เก่าแก่ แปรเป็นกระบวนผนึกอย่างหนึ่งปกป้องเถาวัลย์นี้เอาไว้
หลินสวินหรี่ตาสัมผัสอย่างละเอียด ก็ตัดสินได้ว่ากระบวนผนึกนี้ถูกวางตั้งแต่แปดพันปีก่อนแล้ว!
ในประวัติศาสตร์ของเก้าดินแดน สมรภูมิเก้าดินแดนปรากฏทั้งหมดสามครั้ง ครั้งแรกปรากฏตอนที่ยุคดึกดำบรรพ์ สิ้นสุดลง
ครั้งที่สองปรากฏในยุคบรรพกาล
ครั้งที่สามคือตอนนี้
แต่แปดพันปีก่อนไม่ใช่ปลายของสมัยบรรพกาลด้วยซ้ำ นับได้ว่าเป็นยุคปัจจุบัน!
แต่เมื่อแปดพันปีก่อนสมรภูมิเก้าดินแดนไม่ได้ปรากฏในเก้าดินแดน ย่อมไม่มีทางที่จะมีคนเข้าสู่สมรภูมิเซียนเหินแห่งนี้
ทว่าเถาวัลย์หยกนภาค่ำต้นนี้กลับถูกคนวางกระบวนผนึกไว้ชั้นหนึ่งเมื่อแปดพันปีที่แล้ว นี่น่าตะลึงเกินไปแล้ว!
‘หรือยังมีคนสามารถเข้าสู่สมรภูมิเซียนเหินแห่งนี้ได้ตามอำเภอใจ’
หลินสวินสายตาวูบไหว
‘ลายมรรคยอดเยี่ยมมาก!’
ไม่นานหลินสวินก็ค้นพบสิ่งใหม่ กระบวนผนึกลายมรรคแห่งนี้ดูเหมือนมีแค่กระบวนค่ายกลเดียว แต่ลายมรรคที่ประกอบเป็นกระบวนค่ายกลนี้กลับไม่ธรรมดาเลย
ด้วยความเชี่ยวชาญในวิถีสลักรอยวิญญาณของหลินสวิน ถึงกับไม่สามารถมองทะลุนัยเร้นลับของมันได้ในทันที
‘นี่คงจะเป็นฝีมือของปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนหนึ่ง หากสลายด้วยวิธีรุนแรง พลังกระบวนค่ายกลนี้ก็จะทำลายเถาวัลย์หยกนภาค่ำนี้ในทันที ถ้าเช่นนี้ก็จะเปล่าประโยชน์’
หลินสวินขมวดคิ้ว รู้สึกรางๆ ว่านี่ไม่เหมือนวิชาของคนในเก้าดินแดน
ผู้แข็งแกร่งเก้าดินแดนเข้าสู่สมรภูมิเซียนเหินเพื่อเก็บชะตามรรคผลงานรบ และมีเวลาเพียงสิบวัน
แต่เมื่อการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสิ้นสุดลง สมรภูมิเก้าดินแดนครั้งต่อไปไม่รู้จะมาเยือนเมื่อไหร่ ใครจะทุ่มเทความพยายาม วางกระบวนผนึกลายมรรคไว้เพื่อปกป้องการเติบโตของโอสถเทพต้นหนึ่ง
ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด!
‘หรือนี่คือการกระทำของผู้ฝึกปราณนอกเก้าดินแดน พวกเขาครอบครองวิธีเข้าออกสมรภูมิเซียนเหิน มองเขาตัดหมอกแห่งนี้เป็น ‘สวนโอสถ’ ตามธรรมชาติ’
ในหัวหลินสวินปรากฏการคาดเดาอย่างใจกล้า
เช่นว่าเมื่อแปดพันปีที่แล้วยามเถาวัลย์หยกนภาค่ำต้นนี้ถูกคนค้นพบยังเป็นต้นอ่อนอยู่ จึงวางกระบวนผนึกป้องกัน รอเพียงตอนที่มันเติบโต คนที่วางกระบวนผนึกก็จะมาเก็บไป
“นายท่าน ค่ายกลนี้สลายได้หรือไม่”
เสี่ยวอิ๋นอดถามไม่ได้
หลินสวินสลัดความคิดว้าวุ่นออกไปทันใด พยักหน้าแล้วเริ่มรวบรวมสมาธิ
หลังจากหนึ่งชั่วยามเต็ม ในที่สุดหลินสวินที่นิ่งไม่ขยับก็เคลื่อนไหว เขาสะบัดแขนเสื้อ ละอองแสงสีใสมากมายพวยพุ่งออกมา ไหลเข้ากระบวนผนึกที่สลักบนหินไปตามวิถีโคจรแปลกประหลาด
ทันใดนั้นกระบวนผนึกนั่นราวกับหิมะที่หลอมละลาย ค่อยๆ หายไป
ในเวลาเดียวกันแสงรัตติกาลที่ดำสนิทราวกับหมึกสายหนึ่งโฉบขึ้นมาจากบนเถาวัลย์หยกนภาค่ำ พุ่งตรงขึ้นบนอากาศ ราวกับม่านรัตติกาลปกคลุมฟ้า!
เมื่อหันมองเถาวัลย์หยกนภาค่ำอีกคราก็แตกต่างจากก่อนหน้านี้แล้ว ละอองแสงล่องลอยไปทั่ว กลิ่นหอมคละคลุ้ง พื้นผิวขาวหิมะดุจหยกกะพริบจุดแสงประหนึ่งดวงดาวมากมาย
นี่ต่างหากจึงจะเป็นลักษณะแท้จริงของเถาวัลย์หยกนภาค่ำ!
เพียงแต่ตอนแรกถูกพลังกระบวนผนึกนั่นปกคลุมไว้
หลินสวินเด็ดมันโดยไม่เกรงใจสักนิด
เพียงแต่ในใจยังคงมีความสงสัยเสี้ยวหนึ่ง กระบวนผนึกนี้… ใครเป็นคนวางกันแน่
พวกเขาไม่ได้เสียเวลา เดินหน้าต่ออย่างระมัดระวัง
เขาตัดหมอกแห่งนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ สันเขาทับซ้อน หมู่เขาเรียงราย ทะลวงผ่านภายในมีหมอกบดบังท้องฟ้า ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายดึกดำบรรพ์ที่ไม่สลายหายไป
ระหว่างทางหลินสวินก็ตั้งใจสำรวจรอบๆ พยายามค้นหาสมบัติหายากที่คล้ายเถาวัลย์หยกนภาค่ำ และคอยดูว่าบริเวณรอบๆ ยังมีกระบวนผนึกลายมรรคหรือไม่
ที่น่าเสียดายคือระหว่างทางไม่เจออีกเลย แต่โอสถเทพล้ำค่าและวัตถุดิบวิญญาณหลายอย่างก็ถูกเขาเก็บไปไม่น้อย
โอสถเทพหลายอย่างในนั้นถึงขั้นสามารถทำให้อริยะอิจฉา
ทว่าหากพูดถึงความหายากและมหัศจรรย์ ล้วนด้อยกว่าเถาวัลย์หยกนภาค่ำนั่นไปขั้นใหญ่
‘ก็ถูก โอสถเทพระดับนี้เป็นสมบัติจากธรรมชาติชั้นหนึ่ง พบเจอได้แต่ไม่อาจครอบครอง ย่อมไม่มีทางเจอได้ง่ายๆ…’
สุดท้ายหลินสวินเองก็ปล่อยวางแล้ว
สองชั่วยามหลังจากนั้น
หลินสวินยืนอยู่บนยอดเขาพันจั้งที่สูงใหญ่ หมอกบริเวณรอบๆ พลิกตลบ แม้แต่ลมภูเขายังพัดไม่ไป
“น่าสนใจ”
รอบข้างว่างเปล่า แต่หลินสวินกลับเหมือนสังเกตถึงอะไรบางอย่าง แววตาละเอียดอ่อน
ในบริเวณที่ห่างจากที่แห่งนี้หลายหมื่นลี้ ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนอย่างพวกคุนเซ่าอวี่ ชืออู๋ซู่กำลังลงมือเล่นงานวิญญาณเซียนเหินกลุ่มหนึ่งพร้อมกัน
แต่ตอนนี้เองในใจจู๋อิ้งคงฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ ตรงหน้าปรากฏคันฉ่องสำริดที่สลักลายบุปผาปักษามัจฉาแมลงบานหนึ่ง
ในกระจกปรากฏเงาร่างที่สูงโปร่งสง่างาม ยืนอยู่บนยอดเขาถูกหมอกปกคลุม ทำให้เงาร่างของเขาไม่ชัดเจนนัก
“รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องดำเนินการสำรวจอย่างลับๆ ล่อๆ”
มุมปากของจู๋อิ้งคงยกโค้งเย็นยะเยือก จากนั้นยิ้มพูดว่า “ทุกท่าน เหยื่อติดแหแล้ว ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เจ้าหมอนั่นไม่สามารถหนีจากเขาตัดหมอกได้อีก!”
พวกคุนเซ่าอวี่ต่างรวมตัวกัน ตอนที่เห็นเงาร่างผ่าเผยนั้นในคันฉ่องสำริด พวกเซวี่ยชิงอี ชืออู๋ซู่ต่างอดเผยสีหน้าเคียดแค้นออกมาไม่ได้
หลินสวิน!
พวกเขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไร
“พี่จู๋ จะเก็บแหได้เมื่อไหร่”
ชืออู๋ซู่อดถามไม่ได้
“ไม่รีบ เขาตกหลุมพรางไปแล้ว รอพวกเราจับวิญญาณเซียนเหินได้มากพอก็ได้เวลาเก็บแหแล้ว”
จู๋อิ้งคงสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ
กระบวนผนึกลายมรรคที่เขาวางในครั้งนี้ ก็เป็นมรดกชั้นสูงของเผ่าจู๋หลง อย่าว่าแต่นักสลักลายมรรคทั่วไป แม้เป็นปฐมาจารย์สลักลายมรรคหลงเข้าไปก็ยากจะหลุดพ้น!
“พี่จู๋ เจ้าเองก็รู้ดีว่าหลินสวินนั่นก็เชี่ยวชาญการวางกระบวนค่ายกลเช่นกัน อย่าประมาทเด็ดขาด”
เซวี่ยชิงอีเตือน
เขามีความรู้สึกหวาดกลัวหลินสวินอย่างบอกไม่ถูกมาโดยตลอด
จู๋อิ้งคงเอ่ย “ก็เพราะข้าปฏิบัติต่อเขาอย่างศัตรูที่ยิ่งใหญ่ซึ่งยากจะเจอในชีวิตนี้ จึงทุ่มเททุกวิถีทางวางกระบวนผนึกลายมรรคที่นี่ แต่ที่พี่เซวี่ยเตือนก็ถูก เผชิญหน้ากับเจ้าหมอนี่ ระวังแค่ไหนก็ไม่ถือว่าเกินไป”
ยามพูดเขาเก็บคันฉ่องสำริดลงไป
คล้ายไม่มีใครสังเกตเห็นว่าชั่วขณะที่จู๋อิ้งคงเก็บคันฉ่องสำริด หลินสวินที่เอามือไพล่หลังหันหลังให้พวกเขามาโดยตลอดแอบหันมา ดวงตาดำลึกล้ำ สีหน้าครุ่นคิด
‘ได้ยินว่าพลังมรดกที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าจู๋หลงก็คือมรรคสลักวิญญาณ จู๋อิ้งคงนี่คิดจะเอากระบวนผนึกลายมรรคมาเล่นงานข้าหรือ’
บนยอดเขาสูงชันนั่น หลินสวินยิ้มแล้ว หว่างคิ้วเผยความดูถูก
การประชันในวิถีสลักรอยสลักวิญญาณ เขาไม่เคยกลัวอยู่แล้ว!
อย่างเช่นตอนนี้ เหตุใดเขาจึงเลือกจะหยุดอยู่ที่นี่
ง่ายมาก เพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกระบวนผนึกลายมรรค!
หากจู๋อิ้งคงคิดว่าตนเหมือนปลาที่ถูกล่อเข้าไปในแห ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ นั่นก็ผิดมหันต์แล้ว
ทว่าหลินสวินก็ต้องยอมรับว่าวิธีของจู๋อิ้งคงสุดยอดมาก กระบวนผนึกลายมรรคที่วาง หลอมเข้าสู่ธรรมชาติโดยสมบูรณ์
ทอดสายตามองไป เทือกเขาที่ราวกับทวนแต่ละลูกสูงเสียดฟ้า หมอกที่พลิกม้วนบนท้องฟ้า รวมทั้งต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดในบริเวณนั้นล้วนหลอมเข้าไปในพลังกระบวนผนึกอย่างไม่มียกเว้น
อย่าว่าแต่คนทั่วไป แม้นักสลักลายมรรคมาเยือนก็ยากจะสังเกตเห็นความผิดปกติอย่างแน่นอน
นี่คือคู่ต่อสู้รุ่นเดียวกันที่แข็งแกร่งที่สุดบนมรรครอยสลักวิญญาณเท่าที่หลินสวินเคยเจอตั้งแต่ฝึกปราณมา ทำให้หลินสวินเองยังอดมีความรู้สึก ‘ยินดีที่ได้เห็นผู้อื่นทำเช่นเดียวกับตน’ ขึ้นมาไม่ได้
‘จู๋อิ้งคงมาจากดินแดนโบราณยอดหยิน ก็ไม่รู้ว่าเขาเคยได้ยินชื่อกึ่งจักรพรรดิปาฉีหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้หากมีโอกาสจับเป็นเขา จะต้องสอบสวนดีๆ สักหน่อย…’
หลินสวินนึกถึงตัวการสำคัญที่หลบอยู่หลังอวิ๋นชิ่งไป๋มาโดยตลอด สายตาพลันเย็นเยียบขึ้นมา
อวิ๋นชิ่งไป๋ก็คือตัวหมากที่ชีวิตดั่งโศกนาฏกรรม ไม่เคยได้กำหนดชะตาตนเอง ถูกกึ่งจักรพรรดิปาฉีคนนั้นควบคุม
พูดอย่างเคร่งครัด ปาฉีคนนี้ต่างหากที่เป็นตัวการเบื้องหลังที่ทำให้เกิดคดีนองเลือดของตระกูลหลิน!
‘นายท่าน ต่อไปพวกเราควรทำอย่างไร’
เสี่ยวอิ๋นอดถามไม่ได้ เขารับรู้จากการสื่อสารในจิตวิญญาณแล้วว่า ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในกระบวนผนึกลายมรรคที่จู๋อิ้งคงเป็นคนวางแล้ว
หลินสวินใคร่ครวญ ริมฝีปากเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาเบาๆ “แผนซ้อนแผน ลักฟ้าแลกตะวัน”
……………