ในกระบวนค่ายกล หลินสวินเห็นท่าทางร้อนรนของพวกระดับผู้นำแปดดินแดนเหล่านั้นแล้วอดเผยสีหน้าเยาะเย้ยไม่ได้
พรสวรรค์จะน่าทึ่งเพียงใด รากฐานพลังจะแข็งแกร่งเพียงใด พลังจะน่ากลัวแค่ไหนแล้วอย่างไร
ตอนที่ถูกขังก็ยากจะเลี่ยงอาการร้อนรนลนลานทำอะไรไม่ถูก!
“อ๊าก…!”
ในที่นั้นเสียงโหยหวนรุนแรงดังขึ้น
ภายใต้การกดดันของพลังแห่งฟ้าดิน ชายหนุ่มชุดขนสัตว์สวมเกี้ยวประดับสูงคนหนึ่งถูกวิญญาณเซียนเหินตนหนึ่งลอบโจมตี ร่างกายถูกฉีกออกทันใด ฝนเลือดสาดพุ่ง
ร่างที่ฉีกขาดยังไม่ทันตกถึงพื้นก็ถูกวิญญาณเซียนเหินกลุ่มหนึ่งเหยียบย่ำกลายเป็นกองเลือด สภาพการตายน่าอนาถอย่างที่สุด
สีหน้าของพวกคุนเซ่าอวี่เปลี่ยนไป ตึงเครียดอย่างยิ่ง ต่างสลัดความคิดฟุ้งซ่าน เริ่มสู้สุดชีวิต
ตูม!
ชั่วขณะเดียวในที่นั้นวิชามรรคทะลวงฟ้า สมบัติอริยะราวกับกระแสน้ำ แสงพร่างพราวลุกโชน สะเทือนพื้นที่แปดทิศ ทำให้ห้วงอากาศทรุดทลาย
เพียงแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว พร้อมๆ กับการโคจรเต็มกำลังของกระบวนค่ายกลพันผี พลังผนึกทั้งสามอย่าง ‘วงกลมกักพื้นที่’ ‘ปราบผีดังใจ’ และ ‘จักรวาลร่วมแรง’ พวยพุ่งเต็มกำลัง
อานุภาพระดับนี้แม้แต่หลินสวินยังไม่วายรู้สึกตะลึง
คิดๆ แล้วหากทีแรกตนไม่ได้สังเกตถึงอันตราย คนที่จะประสบเคราะห์และถูกขังอยู่ในกระบวนค่ายกลก็คือตน!
สามารถดูออกว่าเพื่อสังหารตนแล้ว พวกคุนเซ่าอวี่ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ ที่น่าเสียหายคือสุดท้ายกลับล้มเหลว
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ในที่นั้นพวกคุนเซ่าอวี่กดดันขึ้นเป็นทวีเท่า อานุภาพแต่ละคนราวกับเทพ ตวัดกวาดล้างทั่วทิศ ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาเรียกได้ว่าตะลึงโลก โดดเด่นเหนือฝูงชน
หลินสวินขบคิดว่าหากต่อสู้กันซึ่งหน้า ตอนที่เจอเหล่าบุคคลร้ายกาจที่โดนเด่นเช่นนี้ล้อมโจมตี เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้
ถึงขั้นที่อาจไม่สามารถหลบเลี่ยงอันตรายนี้ไปได้!
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายไม่เพียงจำนวนมาก พลังต่อสู้ของแต่ละคนยังถือเป็นบุคคลชั้นยอดในหมู่มกุฎอริยะ เมื่อรวมพลังกันจะน่ากลัวเพียงใด
นอกจากตาจะไร้คู่ต่อสู้ในระดับมกุฎอริยะแท้อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นหลินสวินเองก็ทำได้เพียงเลือกจะถอยหนี รอคอยโอกาสเหมาะในการต่อสู้
นี่น่าเสียดายคือพวกคุนเซ่าอวี่ในตอนนี้หาเรื่องใส่ตัว ถูกขังอยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองวางเอาไว้ สภาพการณ์อันตรายอย่างยิ่ง!
หลินสวินไม่ลังเล ควบคุมมุกอริยะกำราบสมุทร ใช้พลังกระบวนค่ายกลเริ่มสังหาร
วู้ม!
กลางอากาศ พลังฟ้าดินสายหนึ่งรวมตัว หลอมเข้าไปในกระบวนค่ายกลลายมรรคแน่นขนัด ควบรวมเป็นกระบี่ฟ้าที่สว่างไสวแสบตา
กระบี่นี้เป็นตัวแทนของเจตจำนงอันยิ่งยงแห่งฟ้าดิน เต็มไปด้วยพลังกระบวนค่ายกล ใช้อานุภาพแห่งภูผาธาราหมื่นลี้ ความรุนแรงของอานุภาพประหนึ่งนายเหนือหัว!
“หลบเร็ว!”
คุนเซ่าอวี่นัยน์ตาหดรัด ตะโกนออกมา
ตูม!
เสียงกึกก้องสะเทือนหูดังขึ้น กระบี่ฟ้าเมื่อฟันออกไปห้วงอากาศหมื่นจั้งขาดเป็นทางยาวราวกับผ้าภาพวาด กลิ่นอายปานทำลายล้างระดับนั้นทำเอาสีหน้าของเหล่าผู้นำทุกคนต่างเปลี่ยนไป
แม้บอกว่าคุนเซ่าอวี่ได้เตือนแล้ว ทว่ายามกระบี่นี้ฟันลงมาก็ยังมีคนที่ไม่สามารถหลบได้อยู่
ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่สามารถ!
ฉัวะๆๆ!
ทุกที่ที่กระบี่ฟ้ามาเยือน คมกระบี่พร่างพราวกวาดผ่าน พลันมีมกุฎอริยะสามคน เป็นชายสองหญิงหนึ่งถูกฟันสังหาร ร่างและวิญญาณแตกสลายภายใต้ปราณกระบี่ที่เจิดจ้าบาดตา ห้อทะยานดั่งกระแสน้ำหลากนี้
ทุกคนล้วนตัวสั่น
และตอนนี้เองพวกเขาจึงตระหนักได้ว่า พลังของกระบวนค่ายกลที่จู๋อิ้งคงวางไว้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด เพียงแต่เดิมทีนี่เตรียมไว้สำหรับหลินสวิน
แต่ตอนนี้กลับเป็นพวกเขาที่ต้องประสบเคราะห์
จิตใจของจู๋อิ้งคงข่มขื่น อัดอั้นและเดือดดาลที่สุด มีเพียงเขาที่รู้ดีว่าเมื่อกระบวนค่ายกลนี้โคจรถึงขีดสุดแ แม้เป็นระดับมหาอริยะยังยากจะหนีพ้น!
และแต่แรกหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ควรเป็นเขาที่ควบคุมกระบวนค่ายกลสังหารหลินสวินในนี้ น่าเสียดายที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว…
วู้ม…
ในห้วงอากาศพลังแห่งฟ้าดินรวมตัวอีกครั้ง ลมเมฆแปดด้านพัดขึ้นควบรวมเป็นกระบี่ฟ้า ฟันเฉือนห้วงอากาศหมื่นจั้งราวกับเทพมาเยือนโลก
ปัง!
ชืออู๋ซู่ตวาด เรียกวัชระหยกที่ประกายแดงไหลเวียนด้ามหนึ่งออกมา นี่คือสมบัติอริยะที่ศักดิ์สิทธิ์และแข็งแกร่งชิ้นหนึ่ง อานุภาพน่าสะพรึง
ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็ถูกกระบี่ฟ้าที่ฟันพาดขวางมาตัดขาด ประกายแสงสลัวลง ถูกทำลายโดยตรง
นี่นอกจากทำให้ชืออู๋ซู่เจ็บตัวแล้ว ในใจก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ พลังของกระบวนค่ายกลระดับนี้น่ากลัวเกินไปจริงๆ
และตอนที่กระบี่ฟ้าร่วงลง ในที่นั้นมีคนถูกฆ่าอีกสองคน แม้เป็นอริยะแล้วอย่างไร ตอนนี้ก็ถูกเด็ดชีพราวกับใบหญ้า!
ภาพฉากนองเลือดแต่ละภาพ ทำให้สีหน้าพวกคุนเซ่าอวี่ยิ่งตึงเครียด
ตอนนี้พวกเขาถูกขังในกระบวนค่ายกล เผชิญหน้ากับแรงกดดันสามอย่าง
อย่างแรกคือการล้อมโจมตีจากวิญญาณเซียนเหิน แม้พวกเขาไม่กลัว แต่ก็น่าจนใจเพราะจำนวนของอีกฝ่ายมากเกินไปจริงๆ
อย่างที่สองคือการกดดันจากพลังแห่งฟ้าดิน ตอนที่กระบวนค่ายกลระดับนี้โคจร รวบรวมพลังแห่งภูผาธาราจักรวาลหมื่นลี้ สามารถทำให้เทพผีต่างตะลึง
อย่างที่สามคือถูกหลินสวินควบคุม ด้วยอานุภาพที่รวมตัวกัน การสังหารที่ใช้พลังซึ่งรวมเข้าด้วยกันนั่น เหมือนกระบี่ฟ้าที่ร่วงมาจากห้วงอากาศ ดุจดั่งการลงทัฑณ์แห่งเทพ
อันตรายทั้งสามระดับทับซ้อนกัน ทำให้พวกคุนเซ่าอวี่สัมผัสได้ถึงแรงคุกคามรุนแรง ร่างแต่ละคนแข็งทื่อ จิตใจกดดดัน
“ฟัน!”
ส่วนหลินสวินที่ยืนอยู่ในกระบวนค่ายกลใหญ่สยบฟ้ากำราบมหาสมุทรไม่มีความคิดจะออมมือสักนิด เปิดฉากสังหารต่อ
การต่อสู้ในสมรภูมิเซียนเหินครั้งนี้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะสังหารอีกฝ่ายให้หมด ถึงอย่างไรก็มีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น และอีกฝ่ายมีคนมากพลังมาก ไม่มีทางจะนอนรอความตาย
ใครจะคิดว่าจู๋อิ้งคงกลับสร้างเรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่ให้ตน ทำให้หลินสวินได้ฉกฉวยโอกาส มีความเป็นไปได้ว่าจะกวาดล้างอีกฝ่ายจนสิ้นซาก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หลินสวินจะออมมือได้อย่างไร
ก็เห็นบนท้องฟ้ากระบี่ฟ้าเรืองรองดุจนายเหนือหัวแห่งฟ้าดิน ทุกที่ที่คมกระบี่พาดผ่าน สรรพสิ่งล้วนถูกฟันเฉือนไม่มีข้อยกเว้น
ชั่วขณะเดียวในกระบวนค่ายกลโกลาหลวุ่นวาย ไม่มีใครกล้าฝืนปะทะ แม้แต่ระดับผู้นำอย่างพวกคุนเซ่าอวี่ก็ไม่กล้าสู้
เพียงแต่ยามหลบหนี พวกเขายังคงถูกวิญญาณเซียนเหินปิดล้อมและแบกรับแรงกดข่มจากอานุภาพแห่งฟ้าดิน หากไม่ระวังก็จะถูกกระบี่ฟ้าสังหารสิ้น
อันที่จริงการบาดเจ็บล้มตายยังคงดำเนินอยู่!
เหมือนเช่นตอนแรกที่จู๋อิ้งคงมั่นใจว่าจะไร้คู่ต่อสู้ในกระบวนค่ายกลนี้ ครองอานุภาพปานนายเหนือหัว หลินสวินในตอนนี้ก็ประหนึ่งไร้คู่ต่อสู้เช่นกัน เพียงความคิดขยับไหว ก็ชักนำเคราะห์สังหารออกมาเป็นระลอก
ปัง!
สมบัติอริยะถูกทำลายชิ้นแล้วชิ้นแล้ว กระแทกลอยกลับไป ส่งเสียงดังกังวานสะเทือนหู วิชามรรคแต่ละอย่างถูกบดขยี้ง่ายดาย เปลี่ยนเป็นละอองแสงสาดกระเซ็น
พรวด!
ในเวลาเดียวกันมีเสียงโหยหวนดังขึ้น มีเลือดสาดกระเซ็น กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นย้อมท้องฟ้าจนแดงฉาน
เพียงแค่สิบลมหายใจเท่านั้น
มีคนทยอยถูกฆ่าเก้าคนแล้ว ร่างสลายจิตดับสิ้น
ตอนที่มีชีวิตอยู่พวกเขาเป็นผู้กล้าที่ชื่อเสียงสะเทือนดินแดนแห่งหนึ่ง ยืนอยู่ในปลายยอด ยิ้มเย้ยผู้ชน มีอนาคตที่สดใสสะดุดตาอย่างที่สุด
แต่หลังจากตาย ถึงขั้นที่แม้แต่กระดูกยังยากจะอยู่ครบ ชื่อเสียง มรรควิถี สิ่งที่แสวงหาทั้งชีวิต สุดท้ายก็ถูกลมพายุพัดพาไป!
นี่หากถูกผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนเห็นเข้า จะต้องตะลึงและหวาดหวั่นอย่างแน่นอน
และหากแพร่กลับไปยังแปดดินแดน คงสามารถทำให้สำนักโบราณและผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตื่นตะลึง!
ควรรู้ว่าผู้กล้าที่เรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคทุกคน ล้วนเป็นอัจฉริยะ ปีศาจ หรือวีรบุรุษที่ชื่อเสียงสะเทือนอดีตและปัจจุบัน หนึ่งในหมื่นยังหาไม่เจอ ถือกำเนิดขึ้นพร้อมโชควาสนา
ทุกครั้งที่สูญเสียไปหนึ่งคน ล้วนสร้างแรงสะเทือนหนักหน่วงอย่างที่สุด!
อย่างน้อยหลังจากต้นกล้าชั้นดีที่มีความหวังจะป่ายปีนสู่ระดับมหาจักรพรรดิเหล่านี้ถูกสังหาร บนเส้นทางบรรลุจักรพรรดิในอนาคตของค่ายทัพแปดดินแดน ก็ถูกกำหนดให้หม่นแสงลงไม่น้อย!
ส่วนหลินสวินในตอนนี้เหมือนเพชฌฆาตที่สังหารผู้กล้าพลิกฟ้า
หากครั้งนี้สามารถกำจัดอีกฝ่ายได้ในคราเดียว สุดท้ายก็จะได้รับชัยชนะในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ และสามารถทำให้ดินแดนรกร้างโบราณมีโอกาสลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ช่วงหนึ่ง!
คำว่าสังหารอย่างไร้ปรานีก็เป็นเช่นนี้แหละ
“จู๋อิ้งคง เจ้าเป็นคนวางกระบวนค่ายกลนี้ ไม่มีวิธีสลายเลยหรือ”
ในที่นั้นเสียงคำรามเดือดดาลของคุนเซ่าอวี่ดังขึ้น
เขาโกรธจนตาแดงแล้ว เดือดดาลราวกับคนคลั่ง
ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ฝั่งพวกเขาก็มีคนถูกฆ่ายี่สิบกว่าคนแล้ว ความสูญเสียระดับนี้ทำเอาใจเขายังหลั่งเลือด
“ทุกคนทนอีกหน่อย ตอนที่ค่ายกลนี้โคจรเต็มกำลัง ไม่เกินหนึ่งเค่อก็จะใช้พลังภูผาธาราหมื่นลี้หมด ถึงตอนนั้นกระบวนค่ายกลนี้จะสลายไปเอง!”
จู๋อิ้งคงพูดเสียงขรึม
เวลาหนึ่งเค่อหรือ
หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ เวลาเพียงเท่านี้ก็เหมือนแค่ชั่วดีดนิ้วเท่านั้น ทว่าอยู่ในสภาพเข่นฆ่าเช่นนี้ กลับผ่านไปอย่างยากลำบากราวกับเป็นปี เห็นได้ชัดว่ายาวนานและทรมานอย่างที่สุด
ยามนี้หลายคนลอบนึกเสียใจหลายหลัง หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก ไปล้อมสังหารหลินสวินโดยตรงยังแข็งแกร่งกว่าวางกระบวนค่ายกลมากนัก!
อย่างน้อยในการเผชิญหน้ากัน ด้วยพลังของพวกเขาก็สามารถกำราบอีกฝ่ายได้อย่างมั่นคง
ที่น่าเสียดายคือ ตอนแรกพวกเขาต่างหวาดกลัวหลินสวินมาก โดยเฉพาะภายใต้คำเตือนของเซวี่ยชิงอี ทำให้พวกเขาล้วนระมัดระวังอย่างที่สุด
คิดไปเองว่าการวางกระบวนค่ายกลสังหารศัตรูจึงจะเป็นวิธีที่มั่นคงที่สุด
แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องหว่านแหจับตัวเองเช่นนี้!
ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ในกระบวนค่ายกลตอนนี้การสังหารก็ยังดำเนินอยู่
สำหรับหลินสวิน การสังหารศัตรูครั้งนี้ไม่ได้ยากลำบากอย่างที่จินตนาการ ถึงขั้นผ่อนคลายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพียงชั่วพริบตาก็สังหารบุคคลผู้โดดเด่นคนแล้วคนเล่า
การต่อสู้ที่เด็ดขาดและสมใจเช่นนี้ นับได้ว่าพบเจอได้แต่ไม่อาจครอบครอง หากไม่มีจู๋อิ้งคงมอบ ‘ของขวัญชิ้นใหญ่’ เช่นนี้ให้ ก็ไม่มีทางเป็นจริงได้
พรวดๆๆ!
ในกระบวนค่ายกลความสูญเสียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พวกพ้องคนแล้วคนเล่าตายไปภายใต้สายตาของพวกคุนเซ่าอวี่
เสียงโหยหวนน่าอนาถก่อนตาย ท่าทางที่ไม่จำยอม ภาพนองเลือดเหล่านั้นทำให้หัวใจของพวกคุนเซ่าอวี่เกร็งกระตุก สีหน้าคล้ำเขียว โกรธจัดจนผมตั้งชัน แค้นจนกัดฟันแทบแหลกแล้ว
“หลินสวิน เจ้ากล้าออกมาสู้หรือไม่!”
ทันใดนั้นชืออู๋ซู่รับแรงโจมตีเช่นนี้ไม่ไหวอีกต่อไป ส่งเสียงตะคอกที่ดังราวกับสายฟ้าฟาดออกมา
นี่เหมือนการระบายอย่างหนึ่ง
ไม่มีใครที่โง่จนคิดว่าในสถานการณ์ที่ได้เปรียบเช่นนี้ หลินสวินจะกระโดดออกมาสู้กับพวกชืออู๋ซู่อย่างโง่เขลา
ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน ชั่วขณะนี้หลินสวินตอบรับแล้ว!
ฟุ่บ!
เขาไม่ได้พูดไร้สาระใดๆ เงาร่างกะพริบวาบเคลื่อนออกจากกระบวนค่ายกลใหญ่สยบฟ้ากำราบมหาสมุทรมาอยู่ตรงหน้าชืออู๋ซู่
เร็วจนเหลือเชื่อ!
แม้เป็นชืออู๋ซู่ที่เป็นคนท้าทายยังรู้สึกไม่ทันตั้งตัว ราวกับคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะตอบรับเช่นนี้
ตูม!
ในฐานะผู้นำของดินแดนหนึ่ง การตอบสนองของชืออู๋ซู่เองก็ไวมาก กวัดแกว่งทวนศึกกระดูกขาวในฝ่ามืออย่างไม่ลังเลสักนิด แทงออกไปอย่างเดือดดาล
ห้วงอากาศยังยุบทลายในชั่วขณะ ถูกทวนแทงทะลุ พลังกฎเกณฑ์แสงมรรคที่น่ากลัวราวกับมหาสมุทรโหมกระหน่ำ พวยพุ่งออกมา
นี่คือการโจมตีด้วยความเดือดดาล ไม่ออมมือเลยสักนิด น่ากลัวอย่างไม่อาจประเมินได้!
แต่หลินสวินที่พุ่งสังหารมาก่อนแล้วเพียงชูหมัดขึ้นแล้วต่อยออกไป เรียบง่ายตรงไปตรงมา ทว่ากลับมีอานุภาพเผด็จการที่ปะทะหน้าเข้าไป!
——