ในห้องโถงใหญ่ ท่านเมี่ยวเสวียนก็ทอดถอนใจ กล่าวเจือแววขอโทษ “สหายน้อย ครั้งนี้โทษที่ข้าทำเสียเรื่อง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้เสียได้”
กล่าวพลางค้อมกายไปทางหลินสวิน
ท่วงท่าสุภาพ เห็นได้ชัดว่าไม่มีการเพิกเฉย
หลินสวินรีบเบี่ยงตัวหลบ ไม่กล้ารับการคารวะเต็มพิธีเช่นนี้ กล่าวว่า “ผู้อาวุโส นี่เป็นแค่ความขัดแย้งระหว่างข้ากับอ๋าวเจิ้นเทียนคนนั้น หาได้เกี่ยวกับท่าน”
ท่านเมี่ยวเสวียนระบายยิ้ม เชิญให้หลินสวินนั่งลงแล้วกล่าวเสียงขรึม “สหายน้อย เรื่องอ๋าวเจิ้นเทียนนี่ช่วยฟังคำพูดตาเฒ่าสักหน่อยได้หรือไม่”
หลินสวินกล่าว “ผู้อาวุโสเชิญว่ามาได้เลย”
ท่านเมี่ยวเสวียนขบคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าว “หากเจ้าเป็นห่วงแม่นางจิ่งเซวียนผู้นั้นจริงๆ ก็ให้นางกลับเผ่าเจินหลงไปพร้อมกับอ๋าวเจิ้นเทียน”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลง ค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง
“ละทิ้งอคติที่มีต่ออ๋าวเจิ้นเทียน หากแม่นางจิ่งเซวียนผู้นั้นสามารถเข้าร่วม ‘งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกร’ ได้ ย่อมต้องทำให้พรสวรรค์สายเลือดของนางได้รับผลประโยชน์แบบคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน”
ท่านเมี่ยวเสวียนกล่าวอธิบาย “สิ่งนี้มีประโยชน์สำคัญต่อการฝึกปราณในอนาคตของนาง ถึงอย่างไรงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรนี่หลายหมื่นปีจึงจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ในเผ่าเจินหลงใช่ว่าใครๆ ล้วนมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานได้”
“เท่าที่ข้ารู้ หากไม่ใช่ทายาทสายตรงเจินหลง รากฐานพลังไม่โดดเด่น ไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จะมีโอกาสเข้าร่วมงานชุมนุมระดับนี้”
“และไม่ว่าทายาทเจินหลงคนใดก็ตามที่เข้าร่วมงานชุมนุมระดับนี้ ล้วนมีโอกาสไปไขว่คว้า ‘เลือดแท้บรรพชนมังกร’! นี่เป็นถึงพลังสายเลือดที่ปฐมบรรพชนเจินหลงเหลือทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยแรกก่อกำเนิด ขอเพียงหลอมมันได้ ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง ‘ย้อนกำเนิด’ อันมหัศจรรย์!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่มีความหมายอย่างไรกับทายาทเจินหลง”
ไม่รอให้หลินสวินตอบ ริมฝีปากท่านเมี่ยวเสวียนก็เอ่ยสี่คำออกมาเบาๆ “คุณสมบัติมหาจักรพรรดิ!”
ในใจหลินสวินไหวสะท้าน สูดหายใจเฮือก
เขาคล้ายยากจะเชื่อ เอ่ยว่า “มีแต่ต้องหลอมพลังส่วนนี้เท่านั้นจึงจะสามารถครองคุณสมบัติบรรลุสู่ระดับมหาจักรพรรดิหรือ”
ท่านเมี่ยวเสวียนพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “การขึ้นเป็นจักรพรรดิย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น แต่ว่าการได้ครอบครองคุณสมบัติบรรลุจักรพรรดิก็น่าทึ่งสุดยอดแล้ว ผู้แข็งแกร่งกึ่งจักรพรรดิบางคน ตลอดชีวิตยังไม่สามารถครอบครองคุณสมบัติระดับนี้ได้เลยด้วยซ้ำ!”
คราวนี้หลินสวินเข้าใจในทันที มิน่าท่านเมี่ยวเสวียนถึงให้คำแนะนำเช่นนี้ ลำพังแค่ ‘เลือดแท้บรรพชนมังกร’ นี่ก็สามารถทำให้ทายาทเจินหลงคนใดไม่อาจต้านทานได้แล้ว
“รากฐานของเผ่าเจินหลงนี้น่าสะพรึงจนชวนตกใจจริงๆ” เขาอดปลงตกไม่ได้
ท่านเมี่ยวเสวียนเองก็กล่าวเบาๆ “เจินหลง หงส์เซียน… นี่เป็นถึงเผ่าเทพที่ได้รับการปกปักจากสรวงสวรรค์ในตำนาน ไม่ว่าเป็นใคร และไม่ว่าจะเป็นทางเดินโบราณฟ้าดาราหรือทั่วทั้งเก้าแดน ล้วนไม่อาจปฏิเสธความแข็งแกร่งของพวกเขาได้”
“เหมือนอย่างอ๋าวเจิ้นเทียนนั่น อย่าเห็นว่าตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่คุณสมบัติของเขากลับเรียกได้ว่าพลิกฟ้า งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรครั้งนี้ก็จัดขึ้นเพื่อเขา ไม่ต้องกังขาสักนิด หลังจากเขาหลอมพลังเลือดแท้บรรพชนมังกร จะสามารถสร้าง ‘ร่างมรรคเจินหลง’ เป็นรากฐานสู่การบรรลุจักรพรรดิอย่างแน่นอน!”
หลินสวินนิ่งเงียบเนิ่นนาน สุดท้ายกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องถามความคิดเห็นของจิ่งเซวียนก่อน หากนางเต็มใจไป ข้าย่อมไม่ขัดขวางเด็ดขาด”
ความหมายในคำพูดชัดเจนยิ่ง หากจ้าวจิ่งเซวียนไม่เต็มใจ มีเขาหลินสวินอยู่ ใครก็ไม่อาจพาไปได้!
ท่านเมี่ยวเสวียนพยักหน้า
และในวันนั้นเอง หลินสวินเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ บนนั้นประทับมหามรรคของตนเอาไว้และยื่นให้ท่านเมี่ยวเสวียน ฝากเขาช่วยใช้เส้นทางผ่านหอฤทธิ์เทพ ส่งไปยังทะเลหมากดารา
……
และพร้อมกันนั้นอิ๋นฮวนก็กำลังพูดคุยกับอ๋าวเจิ้นเทียน
“คุณชายอ๋าว ครั้งนี้พวกเราประมาทเอง ในความคิดข้า หลินสวินนี่ต่อให้อยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา อาศัยพลังต่อสู้ของเขาก็เพียงพอจะไต่เต้าสู่ร้อยอันดับแรกในกระดานอริยะแท้ฟ้าดาราแน่นอน”
อิ๋นฮวนเอ่ยพูดเบาๆ ปลอบเตือนอ๋าวเจิ้นเทียน
“แต่ว่าเขาก็มีจุดบอดอยู่ นั่นก็คือหากไม่มีวิธีพิเศษ ก่อนขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาย่อมไม่สามารถเข้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราได้เด็ดขาด”
นิ่งไปพักหนึ่งนางกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเองก็รู้ดี เมื่อเทียบกับเก้าดินแดน ทางเดินโบราณฟ้าดาราต่างหากที่เป็นโลกฝึกปราณที่แท้จริง เป็นต้นกำเนิดหมื่นมรรค รากฐานแรกกำเนิด ซ้ำยังเป็นหอบรรพจารย์ของสำนักลัทธิทั้งมวลทั้งบนล่าง!”
หอบรรพจารย์!
ไม่กี่คำสั้นๆ แต่ความหมายแฝงของมันเพียงพอจะทำให้ผู้บำเพ็ญมรรคคนใดก็ตามในโลกใจสะท้านได้
“ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าข้าแพ้อย่างไร้น้ำยา!”
เวลานี้อ๋าวเจิ้นเทียนสงบอารมณ์ลงแล้ว กล่าวอย่างขมขื่นว่า “เจ้าดูหลินสวินนั่น ลำพังฝึกปราณแค่ในดินแดนรกร้างโบราณยังสามารถโจมตีข้าให้พ่ายแพ้ได้ง่ายๆ หากให้เขาฝึกปราณบนทางเดินโบราณฟ้าดาราตั้งแต่แรก รากฐานและพลังต่อสู้ที่มีทั้งหมดจะไม่ยิ่งน่าสะพรึงกว่านี้หรือ”
กล่าวถึงตรงนี้เขาอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ข้าจับตามองแค่พวกสุริยันผู้กล้าบนกระดานอริยะแท้ฟ้าดาราเท่านั้น แต่ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าข้าโลกแคบเกินไป”
อิ๋นฮวนอดกังวลเล็กน้อยไม่ได้ อ๋าวเจิ้นเทียนถูกโจมตีรุนแรงจนสั่นคลอนความเชื่อมั่นในจิตใจไปแล้วใช่หรือไม่
“อิ๋นฮวน เจ้าวางใจ การแพ้ยับครั้งนี้กลับทำให้ข้ามีสติอย่างสิ้นเชิง ต่อไปย่อมไม่อาจเลอะเลือนเช่นนี้อีกแล้ว”
อ๋าวเจิ้นเทียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หว่างคิ้วเปี่ยมแววหนักแน่น
อิ๋นฮวนเห็นเช่นนี้จึงโล่งใจไม่น้อย
“สิ่งเดียวที่ข้ากังวลใจตอนนี้ คือข้าจะพาญาติผู้น้องของข้าที่ไม่เคยพบหน้ากันกลับเผ่าได้อย่างไร เจ้าเองก็รู้ การมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณครั้งนี้เป็นคำสั่งจากท่านปู่ข้า หากไม่สามารถทำเรื่องนี้สำเร็จ ท่านปู่ต้องตำหนิข้าแน่”
อ๋าวเจิ้นเทียนทอดถอนใจยาว
อิ๋นฮวนขบคิดครู่หนึ่งกล่าวว่า “หรือไม่… ข้าไปขอร้องอาจารย์อาเมี่ยวเสวียนอีกครั้ง ให้เขาช่วยเกลี้ยกล่อมหลินสวินหน่อย”
อ๋าวเจิ้นเทียนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าไปหาเอาเองก็สิ้นเรื่อง”
จะให้อิ๋นฮวนก้มหัวเพราะเรื่องของตนหรือ
เขาอ๋าวเจิ้นเทียนทำไม่ได้หรอก
……
ในคืนวันนั้นจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งจากทะเลหมากดารากลับสู่หอฤทธิ์เทพ
หลินสวินฉีกเปิดจดหมายออกอ่าน บนนั้นเขียนอักษรหนึ่งบรรทัดสั้นๆ ‘ความคิดท่านคือความคิดข้า เรื่องนี้ยกให้ท่านตัดสินใจ’
หลินสวินรู้สึกจับใจอยู่บ้าง เข้าใจในทันที
ดูเหมือนว่าจิ่งเซวียนเองก็หวั่นไหวกับ ‘เลือดแท้บรรพชนมังกร’ อย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่นางให้ความสำคัญกับความเห็นของตนมากกว่า ดังนั้นจึงให้ตนเป็นฝ่ายตัดสินใจ
จากนั้นหลินสวินจึงไปหาท่านเมี่ยวเสวียนแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ขอให้ท่านช่วยบอกอ๋าวเจิ้นเทียนนั่นได้หรือไม่ ว่าเรื่องนี้รอให้ข้ากลับมาจากสนามรบแนวหน้าแล้วค่อยตัดสินใจ”
ท่านเมี่ยวเสวียนคลี่ยิ้มละไม “ได้”
และเมื่อท่านเมี่ยวเสวียนนำประโยคนี้ไปบอกอ๋าวเจิ้นเทียน ฝ่ายหลังกลับอึ้งไป
เจ้าหมอนี่หมายความว่าอย่างไร
อิ๋นฮวนเข้าใจในทันที กล่าวว่า “ยังจะหมายความว่าอะไรได้อีก เขาต้องไม่วางใจให้เจ้าพาแม่นางจิ่งเซวียนผู้นั้นไปในตอนนี้ ทั้งไม่อยากให้แม่นางจิ่งเซวียนผู้นั้นพลาดวาสนาของงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรด้วย ดังนั้นจึงตัดสินใจออกมาเช่นนี้”
อ๋าวเจิ้นเทียนอดแค่นเสียงเย็นไม่ได้ “เขาคิดว่าข้าจะทำร้ายญาติผู้น้องตัวเองหรืออย่างไร”
อิ๋นฮวนส่ายหน้าเอ่ยว่า “เปล่า นี่มีแต่พิสูจน์ได้ว่าความสัมพันธ์ของหลินสวินกับญาติผู้น้องของคุณชายอ๋าวไม่ธรรมดา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเป็นคู่บำเพ็ญกัน”
นัยน์ตาอ๋าวเจิ้นเทียนหดรัด กล่าวว่า “ญาติผู้น้องนางไม่รู้เชียวหรือ ว่าทายาทเผ่าเราไม่ว่าชายหญิง หากหมายจะผูกสัมพันธ์คู่บำเพ็ญกับคนนอกเผ่า ล้วนต้องได้รับความยินยอมจากผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสก่อน”
อิ๋นฮวนเองก็ไม่รู้ฉุกคิดอะไรขึ้นมา อดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้
อ๋าวเจิ้นเทียนรีบร้อนกล่าว “อิ๋นฮวน เรื่องของพวกเราสองคนต้องไม่เป็นปัญหาแน่ รอให้งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรปิดม่าน ข้าจะเอ่ยกับท่านพ่อตั้งแต่จังหวะแรก!”
อิ๋นฮวนร้องอืมคราหนึ่ง แววตาเหนียมอาย ไหวเคลื่อนด้วยความนุ่มนวล
หากหลินสวินอยู่ตรงนี้ ต้องไม่เชื่อแน่ว่าโฉมงามภูเขาน้ำแข็งที่หยิ่งผยองเย็นชาอย่างอิ๋นฮวน จะถึงกับมีด้านที่อ่อนโยนเขินอายด้วย
ชั่วขณะนั้นอ๋าวเจิ้นเทียนก็อดมองตาค้างไม่ได้
โฉมสะคราญปานภาพวาด ดุจกาพย์กวี ดั่งสุราเมามาย
เมื่อลิ้มรส น่าหลงใหล ชวนติดใจ
ท้ายที่สุดอ๋าวเจิ้นเทียนก็ตกปากรับคำว่าจะรออีกสักระยะ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
ภายในพื้นที่ลึกลับที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของหอฤทธิ์เทพ ที่แห่งนี้มีแท่นบูชาสีดำเก่าแก่แท่นหนึ่ง
ด้านข้างแท่นบูชา ชายชราร่างซูบผอมหนวดผมบางคนหนึ่งยืนอยู่ เขาคลุมเสื้อฟาง ศีรษะสวมงอบราวกับคนหาปลาคนหนึ่ง
เมื่อท่านเมี่ยวเสวียนพาหลินสวินมาถึงที่นี่ก็ค้อมกายน้อยๆ ให้กับชายชราเสื้อฟางคนนั้นก่อน แล้วกล่าวว่า “สหายน้อยผู้นี้นามหลินสวิน หมายจะมุ่งหน้าไปสนามรบแนวหน้า รบกวนผู้เฒ่าอิ๋นแล้ว”
ชายชราที่เหมือนคนหาปลาเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่งก่อนพยักหน้า
ไม่ได้พูดอะไรสักประโยค
ท่านเมี่ยวเสวียนหันไปพูดกับหลินสวิน “ท่านผู้นี้คือผู้เฒ่าอิ๋น ตลอดการเดินทางจะมีผู้เฒ่าอย่างเขาพาเจ้าไปสนามรบแนวหน้า จงจำไว้ว่าระหว่างทางไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นต้องเชื่อฟังผู้เฒ่าอิ๋น”
หลินสวินพยักหน้า
กลิ่นอายผู้เฒ่าอิ๋นแสนธรรมดายิ่ง ดูไม่ออกถึงปราณใดๆ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้หลินสวินไม่กล้าดูเบา
“รอหลังจากไปถึงแนวหน้า ฝากสหายน้อยนำจดหมายฉบับนี้ไปมอบให้ศิษย์พี่ข้าด้วย”
ท่านเมี่ยวเสวียนล้วงม้วนหยกปิดผนึกแน่นออกมายื่นให้หลินสวิน
หลินสวินรับไว้อย่างระมัดระวัง แล้วเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาสีดำนั่นพร้อมกับผู้เฒ่าอิ๋น
วู้ม…
เมื่อเสียงก้องกระหึ่มแปลกพิกลดังขึ้น เงาร่างของหลินสวินและผู้เฒ่าอิ๋นพลันอันตรธานหายลับไป
“ยังดีที่มีผู้เฒ่าอิ๋นอยู่ หาไม่ลำพังแค่เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศก็อาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดมากมายได้ง่ายๆ แล้ว…”
ท่านเมี่ยวเสวียนทอดถอนใจยาว
……
ดาราเคลื่อนคล้อย ภาพเบื้องหน้าพลันแปรผัน
ระหว่างทะลวงข้าม จู่ๆ หลินสวินก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง เสมือนข้ามผ่านโลกที่แตกสลายแหลกลาญนับไม่ถ้วน ตลอดทางเปี่ยมด้วยภาพอัศจรรย์พันลึก
ข้างกาย ผู้เฒ่าอิ๋นบังคับเรือไม้บุโรทั่งลำหนึ่ง บรรทุกหลินสวินข้ามผ่านห้วงอากาศ แสงสีสันที่วิวัฒน์มาจากกระแสห้วงอากาศว่างเปล่าที่ไหลเคลื่อนสาดพรมออกจากสี่ทิศของเรือไม้ ฉูดฉาดตระการตา งดงามอย่างที่สุด
แต่หลินสวินรู้ดี ทันทีที่ถูกแสงสีสายแล้วสายเล่าเปื้อนย้อมเข้า ต่อให้ตนเป็นมกุฎอริยะแล้ว ก็ยังอาจถูกพลังห้วงอากาศว่างเปล่าที่น่าสะพรึงบดขยี้ได้ในพริบตา!
เพราะนี่คือการเคลื่อนผ่านห้วงอากาศ พลังแห่งห้วงอากาศนั้นเป็นพลังกฎระเบียบที่สร้างขึ้นระหว่างห้วงอากาศ!
ตลอดทางผู้เฒ่าอิ๋นยืนตรงหัวเรือ เงาร่างค่อมลง สวมเสื้อฟางงอบสานราวกับคนหาปลา ทอดสายตาไกลออกไปไม่พูดไม่จา
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รบกวน สงบจิตมองสำรวจรอบบริเวณ
เล่าขานกันว่าสนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณมีกำแพงเมืองยาวเชื่อมฟ้าทอดสู่ผืนดินแห่งหนึ่ง กว้างใหญ่ไพศาล สร้างขึ้นจากดวงดาราที่แท้จริงมากมาย
เมืองนี้ถูกเรียกว่า ‘กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ’ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จวบจนบัดนี้ ป้องกันการรุกรานของศัตรูภายนอกไม่รู้เท่าไหร่ ปกปักดินแดนรกร้างโบราณให้อยู่รอดปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้
ทั้งภายในและภายนอกกำแพงเมืองไพศาลนั่น ที่ย้อมลงไปมีแต่เลือดนับไม่ถ้วน!
เรื่องเหล่านี้ไม่ค่อยเป็นที่กล่าวถึงในดินแดนรกร้างโบราณ หลินสวินเองก็รู้ข่าวเกี่ยวกับสนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณบางส่วนจากปากท่านเมี่ยวเสวียนเช่นกัน
ที่ทำให้หลินสวินสะเทือนอารมณ์มากที่สุดคือ กำแพงเมืองด่านจักรพรรดินั่นมีชื่อก้องเกรียงไกรว่า ‘ปราการฟ้าด่านแรกดินแดนรกร้างโบราณ สถานที่หยุดเท้าของจอมจักรพรรดิ’!
…………………