Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1660 ศิษย์พี่เสวี่ยหยา

หลังจากสงบจิตใจลง หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจวว่าข้าจะสามารถหา ‘ผู้อาวุโส’ ที่เจ้าพูดเจอ”

สีหน้าของหญิงกระโปรงแดงเผยแววประหลาด “เพราะจักจั่นทองเคยบอกข้าว่า สหายน้อยมาจากคีรีดวงกมล”

คีรีดวงกมล!

ดวงตาดำขลับของหลินสวินวูบไหว เอ่ยว่า “เจ้าว่าต่อ”

จักจั่นทองสามารถดูออกว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักคีรีดวงกมลนั้นไม่แปลก ที่แปลกคือเหตุใดเขาจึงต้องบอกดอกกระบี่พันปีก

หญิงกระโปรงแดงสูดหายใจลึกอีกครั้ง คล้ายพยายามทำให้ตนสงบ จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ผู้อาวุโสที่ถ่ายทอดวิชามรรคให้ข้าก็มาจากคีรีดวงกมล ฉายามรรค ‘เสวี่ยหยา’ จัดอยู่ในอันดับที่สิบเก้าของผู้สืบทอดคีรีดวงกมล”

“เขา… น่าจะเป็นศิษย์พี่ของสหายน้อย!”

สิ้นเสียง แม้แต่หลินสวินยังอดอึ้งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ ผู้อาวุโสที่เบิกสติปัญญาและถ่ายทอดวิชามรรคให้ดอกกระบี่พันปีก ดันเป็นศิษย์พี่สิบเก้าของตนหรือ

คิดๆ ไปแล้ว ดอกกระบี่พันปีกในตอนนี้ครอบครองรากฐานพลังที่จะบรรลุจักรพรรดิแล้ว!

เช่นนั้นพลังปราณของศิษย์พี่สิบเก้าของตนจะสูงแค่ไหน

‘ศิษย์พี่เสวียนคงบอกว่าข้าได้รับเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด ทั้งครอบครอง ‘มรรคคาถา’ ฉบับนั้น ก็เท่ากับเป็นผู้สืบทอดที่ได้รับการยอมรับจากเจ้าแห่งคีรีดวงกมลแล้ว จัดอยู่ในลำดับที่ห้าสิบ แต่ประเด็นคือ… จนตอนนี้ข้าเคยเจอแค่ศิษย์พี่เสวียนคงเท่านั้น… อย่าว่าแต่เจ้าแห่งคีรีดวงกมล แม้แต่คีรีดวงกมลอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้…’

หลินสวินจมสู่ห้วงความคิดไปชั่วขณะ

ศิษย์พี่เสวียนคงก็คือราชันผีเสวียนคง ยามอยู่ในเมืองมรณะของแดนธรรมสถูปที่แดนมกุฎ เป็นราชันผีเสวียนคงที่บอกเล่าเรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับคีรีดวงกมลให้หลินสวินฟัง

เพียงแต่ในประสบการณ์ฝึกปราณหลายปีมานี้ น้อยครั้งมากที่หลินสวินจะได้สัมผัสกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคีรีดวงกมล

นี่ทำให้พอจู่ๆ เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘เสวี่ยหยา’ ผู้เป็นศิษย์พี่สิบเก้าในตอนนี้ จึงมีความรู้สึกไม่ทันตั้งตัวอย่างอดไม่ได้

แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าหญิงกระโปรงแดงมั่นใจแล้วว่าเขาเป็นศิษย์น้องของเสวี่ยหยา ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล

“หลังจากหาศิษย์พี่เสวี่ยหยาเจอ เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร”

ครู่ใหญ่กว่าหลินสวินจะเอ่ยถาม ไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่ตัดไม่ขาดกับคีรีดวงกมลแล้ว

เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดในมือเขา ก็คือสมบัติพิทักษ์สำนักของคีรีดวงกมล

วิชาอริยะยุทธ์ที่เขาฝึกตอนนี้ ก็คือหนึ่งใน ‘เก้าวิชา’ พิทักษ์สำนักของคีรีดวงกมล!

หญิงกระโปรงแดงหยิบกระบี่ไผ่ที่ยาวเพียงเจ็ดชุ่น กว้างหนึ่งนิ้วเล่มหนึ่งออกมา

กระบี่ไผ่เป็นสีเหลืองหม่น เผยกลิ่นอายเก่าแก่ บนนั้นสลักอักษรโบราณว่า ‘สดับหิมะ’ ที่ลึกล้ำงดงาม

มือทั้งคู่ของหญิงกระโปรงแดงประคองกระบี่นี้ หว่างคิ้วแฝงความเลื่อมใส พูดอย่างจริงจัง “ข้าอยากคืนกระบี่นี้ให้กับผู้อาวุโสเสวี่ยหยา ผู้อาวุโสเสวี่ยหยาเคยบอกว่า หากวันหน้ามีวาสนาได้พบกันอีก กระบี่นี้จะเป็นหลักฐานยืนยัน”

กระบี่ไผ่สดับหิมะ!

ความจริงในใจหญิงกระโปรงแดงอาลัยอาวรณ์มาก

นางยังจำได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อหนึ่งแสนหกหมื่นปีก่อน นางยังเป็นแค่ภูตต้นหญ้าที่อ่อนแอและไร้สติปัญญาต้นหนึ่ง

ขี้ขลาด หวาดกลัว โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง

ได้แต่หลบอยู่ในร่องหิน แอบกินประกายแสงดื่มน้ำค้าง ต้องตระหนกตกใจและหวาดกลัวอยู่ทุกครั้งมาเนิ่นนาน เพราะขอเพียงแค่มีสัตว์ปีศาจอสูรมารเข้าใกล้ก็จะมองนางเป็นอาหาร

ใช้ชีวิตเช่นนี้อยู่หลายปี ในค่ำคืนที่ฟ้าร้องคำรามสายฟ้าฟาดและฝนตกกระหน่ำ เรื่องที่นางกังวลที่สุดก็เกิดขึ้น

อสูรมารอสรพิษลายจุดเงินทองปรากฏตัวกะทันหัน ร่างใหญ่โตนั่นเหมือนกับเทือกเขา อยู่ในรัตติกาลที่สายฟ้าวาบไหวแล้วดูสยดสยองและชั่วร้ายยิ่ง

นางยังไม่ทันหลบก็ถูกอสูรมารตัวนี้มองเห็นเข้า

จวบจนตอนนี้นางยังจำได้ว่าตอนนั้นตนสิ้นหวัง สับสนและไร้ที่พึ่งเพียงใด ราวกับเงาดำแห่งความตายได้ปกคลุมลงมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น

ระหว่างความเป็นความตาย มีความหวาดกลัวยิ่งยวด

ตอนนั้นนางสาบานว่าครั้งนี้หากใครสามารถช่วยตนไว้ได้ ชาตินี้ทั้งชาติจะตอบแทนบุญคุณด้วยชีวิต ไม่เสียใจทั้งชีวิต!

ราวกับได้ยินเสียงในใจนาง และอาจจะเพราะกลิ่นอายของอสูรมารนั่นแรงกล้าและดุร้ายเกินไป จึงดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณคนหนึ่งที่ผ่านทางมา

นั่นเป็นชายในชุดบัณฑิตแขนกว้าง สวมหมวกสูง ถือตำราม้วนหนึ่ง ดูเหมือนบัณฑิตคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในรัตติกาลซึ่งฝนตกกระหน่ำและสายฟ้าฟาด

อิริยาบถของเขาสง่างาม แววตาอบอุ่นเป็นประกาย

ชั่วพริบตานั้นนางพลันรู้สึกว่าความสิ้นหวัง ไร้ทางช่วย และห่อเหี่ยวในใจหายไปทั้งหมด ราวกับมองเห็นแสงตะวันเสี้ยวหนึ่ง ฉีกทึ้งพายุฝนยามค่ำคืนแล้วสาดส่องเข้ามาในรัตติกาลนิรันดร์ นำพาความอบอุ่นและแสงสว่างที่บอกไม่ถูกมาให้

หลังจากนั้นอสูรมารอสรพิษตัวนั้นถูกเขาใช้มือบีบไว้ ส่ายหน้ายิ้มพูด ‘อุปนิสัยดุดันจนคลั่ง จะก้าวสู่มรรคที่ถูกต้องแห่งอสูรมารบำเพ็ญได้อย่างไร ขอแนะนำเจ้าตั้งสติในใจหน่อย จึงจะมีโอกาสแจ้งมรรค’

อสูรมารอสรพิษแปลงเป็นร่างมนุษย์ คุกเข่าคำนับสามครั้งคล้ายกำลังแสดงการขอบคุณ จากนั้นก็หายไปในรัตติกาล

ชายหนุ่มคุกเข่าลง สายตาอ่อนโยน มองนางพร้อมพูดว่า ‘ดอกไม้น้อยอย่างเจ้าก็ช่างน่าสงสารจริงๆ ที่หายากคือแม้ไร้สติปัญญา กลับมีใจมุ่งมรรค เอาเถอะ ในเมื่อถูกข้าเจอเข้า ก็จะเบิกปัญญาตื่นรู้ให้เจ้า ถ่ายทอดวิชามรรค ทำให้นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่ต้องหวาดกลัวอีก’

เสียงนั้นเหมือนดั่งน้ำในลำธารไหลแทรกซึมเข้ามาในใจ ทำให้ทั้งชาตินางก็ไม่สามารถลืมเลือนได้ จนกระทั่งตอนนี้ยังเชื่อมั่นว่านี่เป็นเสียงที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่ตนเคยได้ยินมาทั้งชีวิต

จากนั้นชายหนุ่มจากไป ก่อนไปได้หยิบไผ่ธรรมดาท่อนหนึ่งออกมา เฉือนเป็นกระบี่ สลักคำว่า ‘สดับหิมะ’ ลงไป…

กระบี่ไผ่สดับหิมะเล่มนี้ ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่หญิงสาวกระโปรงแดงให้ความสำคัญที่สุดในกาลเวลาอันไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ รักษาไว้ราวกับเป็นก้อนเนื้อในอก

ภายหลังนางถึงได้รู้ว่า ชายหนุ่มชุดบัณฑิตที่อ่อนโยน ผ่าเผย และสง่างามคนนั้น ก็คือผู้สืบทอดคนที่สิบเก้าแห่งคีรีดวงกมล…

เสวี่ยหยา!

……

หลินสวินจับจ้องหญิงสาวกระโปรงแดงครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับกระบี่ไผ่มาพินิจคร่าวๆ แล้วกล่าวว่า

“ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเจอศิษย์พี่สิบเก้าหรือไม่ แต่ขอเพียงแค่เจอก็จะมอบสิ่งนี้ในเขาแน่”

หญิงสาวกระโปรงแดงพูดอย่างตื่นเต้น “เช่นนี้ก็ดีแล้ว เช่นนี้ก็ดีแล้ว!”

นางในตอนนี้ได้เป็นตัวตนขอบเขตมกุฎที่อยู่ใต้ระดับจักรพรรดิแล้ว รากฐานพลังและความแข็งแกร่งสามารถทำให้ทุกคนในโลกสั่นไหว

ทว่านางในตอนนี้กลับดีใจจนกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กสาวคนหนึ่ง

“สหายน้อย ข้านามว่าหลิงอวี่ ต่อไปข้าจะตอบแทนบุญคุณของเจ้า”

หญิงสาวกระโปรงแดงสูดหายใจลึกคราหนึ่ง กดความตื่นเต้นในใจพูดอย่างจริงจัง

หลินสวินเอ่ย “ไม่ขอให้เจ้าตอบแทนบุญคุณ หวังเพียงว่าในช่วงที่เจ้าอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแห่งนี้อย่าได้ก่อเรื่องอีก”

หญิงกระโปรงแดงที่นามว่าหลิงอวี่พยักหน้าอย่างไม่ลังเล

……

วันนี้ท่านเซิ่นไปส่งหลินสวิน ก่อนไปเขาอดถามไม่ได้ “สหายน้อย หลังจากกลับไปเจ้ามีแผนอย่างไร”

หลินสวินใจกระตุก กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าด้วยพลังของข้าในตอนนี้ มุ่งหน้าไปหุบเขาตะวันคล้อยสักรอบจะเสี่ยงไปหรือไม่”

เขาคิดจะไปช่วยวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารกลับมา!

เพียงแต่หุบเขาตะวันคล้อยนั่นอย่างไรก็เป็นรังของเผ่าอีกาทอง ทำให้หลินสวินเองก็ไม่กล้าดูถูก

ท่านเซิ่นสีหน้าซับซ้อน คล้ายเดาออกว่าหลินสวินไปคราวนี้ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนแน่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นการแก้แค้น

คิดๆ แล้วท่านเซิ่นก็กล่าวว่า “ผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิของเผ่าอีกาทอง ตอนนี้ก็อุทิศตนอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิเช่นกัน แต่ตามการคาดเดาของข้า ในหุบเขาตะวันคล้อยจะต้องมีราชันอริยะดูแลอยู่แน่ ด้วยพลังในตอนนี้ของเจ้า นอกจากก้าวสู่ระดับมกุฎมหาอริยะ จึงอาจจะไม่ต้องเกรงกลัวเผ่าอีกาทอง”

นัยน์ตาดำของหลินสวินวูบไหว พยักหน้าน้อยๆ

“สหายน้อย เผ่าอีกาทองแม้จะชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่ถึงอย่างไรก็นับเป็นกำลังที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในดินแดนรกร้างโบราณของพวกเรา และในเผ่านี้เคยมีบุคคลระดับจักรพรรดิจำนวนหนึ่ง ปัจจุบันล้วนฝึกปราณอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา หากเจ้าเป็นศัตรูกับพวกเขา…”

ไม่รอท่านเซิ่นพูดจบ หลินสวินก็ยิ้มพูด “ผู้อาวุโสวางใจ ข้าเพียงไปช่วย ‘สหาย’ คนหนึ่งที่ถูกกำราบอยู่ในหุบเขาตะวันคล้อยเท่านั้น”

ท่านเซิ่นถอนหายใจในใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าด้วยความโหดเหี้ยมและบ้าระห่ำของเผ่าอีกาทอง มีหรือจะปล่อย ‘สหาย’ คนนั้นของหลินสวินง่ายๆ

ทว่าเรื่องนี้เขาก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้เท่าไร

ไม่นานค่ายกลเคลื่อนย้ายใหญ่แห่งหนึ่งเปิดออกในด่านตะวัน คนที่มาส่งหลินสวินไม่เพียงแค่ท่านเซิ่น ยังมีเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อด้วย

หลิงอวี่หญิงสาวกระโปรงแดงเองก็อยู่ด้วย

“ผู้อาวุโสทุกท่าน ขอลา!”

หลินสวินยืนอยู่ในค่ายกลใหญ่ ประสานมือคารวะ

“เจ้าหนู รักษาตัว!”

“ต่อไปหากมีโอกาสก็มาเยี่ยมพวกข้าบ่อยๆ”

“สหายน้อย เจอกันครั้งหน้าพวกเรามาประชันกันอีกรอบ”

พวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อต่างยิ้มพูด

วู้ม…

พร้อมกับคลื่นแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง เงาร่างของหลินสวินพลันหายไปจากภายในค่ายกลใหญ่

ชั่วขณะหนึ่งในใจทุกคนต่างเกิดระลอกคลื่นอยู่บ้าง

หลินสวินเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิไม่ถึงสามเดือน กลับนำพาความประหลาดใจและตื่นตะลึงให้พวกเขามากเกินไปแล้ว

ใครก็รู้ดีว่าคนหนุ่มเช่นนี้ ขอเพียงแค่ไม่ประสบเคราะห์ ความสำเร็จบนมรรคาในอนาคตย่อมต้องอยู่เหนือพวกเขา!

“อย่ากังวลว่าหนทางเบื้องหน้าไร้มิตรรู้ใจ ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดมิรู้จักท่าน”

ท่านเซิ่นเอามือไพล่หลัง เอ่ยพูดเนิบๆ

วันนี้ หลินสวินผู้ที่ในช่วงที่ผ่านมาชื่อเสียงสะเทือนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ได้ก้าวสู่หนทางหวนกลับดินแดนรกร้างโบราณ และจากไปเช่นนี้

ถึงขั้นมีคนแอบฉลอง ราวกับส่งเทพแห่งโรคระบาดคนหนึ่งออกไปได้ เพราะหลังจากหลินสวินมาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิก็เกิดเรื่องนองเลือดและสั่นคลอนมากเกินไป

บุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิอย่างพวกนักพรตซิวถูกฆ่า แม้แต่กู่เหลียงฉวี่ยังถูกกำราบหนึ่งหมื่นปี ทั้งหมดนี้น่าขนลุกเกินไปจริงๆ

วันนี้ในที่สุดคนรุ่นหลังที่เป็นเหมือน ‘เทพแห่งโรคระบาด’ คนนี้ก็จากไป ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ราวกับว่าหากให้หลินสวินอยู่ต่อไป จะต้องเกิดมหัตภัยครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น…

……

หอฤทธิ์เทพ ดินแดนรกร้างโบราณ

วู้ม…

พร้อมกับระลอกคลื่นแปลกประหลาดที่คลุมเครือ เงาร่างของหลินสวินปรากฏบนแท่นบูชาในแดนลับแห่งหนึ่งของหอฤทธิ์เทพ

ในพริบตาเดียวหลินสวินก็มองเห็นผู้เฒ่าอิ๋นที่ร่างคลุมด้วยเสื้อฟาง บนศีรษะสวมงอบ นั่งขัดสมาธิหลับตาบำรุงจิตอยู่ไกลๆ

“ผู้อาวุโส”

หลินสวินเดินลงจากแท่นบูชาพลางเอ่ยด้วยเสียงเคารพ

มาเยือนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิครั้งนี้ ทำให้เขาได้เห็นความองอาจของบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิมากมาย เทียบกันแล้วยิ่งตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า พลังปราณของผู้เฒ่าอิ๋นที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ลึกล้ำสุดจะคาดเดาเพียงใด เป็นบุคคลชั้นยอดผู้หนึ่งอย่างแน่นอน!

ผู้เฒ่าอิ๋นไม่ได้ส่งเสียง แววตาอ้างว้าง ราวกับรูปปั้นแกะสลัก ไม่มีปฏิกิริยาเลยสักนิด

หลินสวินเห็นจนชินแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น หมุนตัวเดินห่างออกไป

จวบจนเงาร่างของเขาลับตาไป ในใจของผู้เฒ่าอิ๋นที่หลับตานั่งนิ่งมาโดยตลอดก็ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ‘เส้นทางของเจ้าหนุ่มนี่เต็มไปด้วยเคราะห์สังหาร ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านการเคี่ยวกรำอีกเท่าไรจึงจะสามารถทะยานสู่ระดับจักรพรรดิ ก้าวสู่มรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน…’

——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset