วันนี้ชายฝั่งทะเลหมากดารายังมีเงาร่างของผู้ฝึกปราณมากมายปรากฏอยู่เหมือนเดิม
มีผู้ฝึกปราณอิสระที่พาดกระบี่มา มีลูกหลานตระกูลที่ขี่นกวิญญาณ และมีผู้สืบทอดสำนักที่เกาะกลุ่มร่วมทางกันมาสั่งสมประสบการณ์
คนพวกนี้เกือบทั้งหมดล้วนมาพบอริยะ แค่มาชื่นชมแหล่งพำนักของมหาอริยะหลินสวินบุคคลในตำนาน ว่าเป็นแดนพิสุทธิ์มงคลระดับใดกันแน่
แต่ส่วนมากกลับเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ติดตามผู้อาวุโสบิดามารดามา คนที่อายุมากก็สิบห้าสิบหกปี คนที่อายุน้อยยังเป็นเด็กเล็กผมกระเซิงห้าหกขวบ
คนพวกนี้มาครานี้ ก็ด้วยหวังว่าคนรุ่นเยาว์ตระกูลตนจะสามารถกราบเป็นศิษย์ฝึกตนในสำนักของหลินสวินได้!
แน่นอนว่าความหวังช่างริบหรี่
ด้วยหลายวันมานี้ไม่รู้ว่ามีลูกหลานตระกูลที่มีความคิดจะฝากตนเป็นศิษย์มาที่นี่เท่าไร แต่สุดท้ายอย่าว่าแต่ฝากตนเป็นศิษย์ แม้แต่หน้าของหลินสวินก็ยังไม่ได้พบ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ยังคงต้านผู้ฝึกปราณแต่ละสายที่มีความคิดหวังจะเห็น ‘บุตรชายกลายเป็นมังกร บุตรสาวกลายเป็นหงส์’ ให้มาที่นี่ไม่ได้
ภายในนั้นไม่ขาดลูกหลานบางส่วนที่เกิดในเผ่าที่มีชื่อเสียงเด่นดัง สำนักใหญ่โต ไม่ว่าพรสวรรค์หรือคุณสมบัติล้วนเรียกได้ว่าคัดสรรมาอย่างดี
เท่านี้ก็รู้แล้วว่า ชื่อเสียงของหลินสวินในดินแดนรกร้างโบราณยามนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน!
พูดอย่างไม่เกินจริง ในใจของผู้ฝึกปราณที่อยู่ใต้ระดับอริยะ หลินสวินราวกับเป็นตัวตนที่เหมือนดั่งเทพไท้บนสวรรค์แล้ว
ตัวคนเดียวก็สู้ขุมอำนาจโบราณแห่งหนึ่งได้!
ทั้งหลินสวินยังเป็นมกุฎมหาอริยะเพียงคนเดียวของดินแดนรกร้างโบราณบนโลกปัจจุบันด้วย!
หากกราบหลินสวินเป็นอาจารย์ได้ ภายหน้ามีหรือจะต้องกังวลว่าจะไม่บรรลุมหามรรค
ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ จึงเห็นว่าทุกหนแห่งใกล้ทะเลหมากดารามีผู้ฝึกปราณที่มาจากทั่วสารทิศ ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำพาคนรุ่นเยาว์ตระกูลตนมาด้วย ดูยิ่งใหญ่อลังการนัก
ต่อให้ตอนนี้ยังไม่มีใครได้พบหน้าหลินสวินสักคน แต่ใครจะยอมแพ้ด้วยเรื่องแค่นี้เล่า
ความหวัง ท้ายที่สุดก็ยังมีอยู่ ถ้าโชคดีล่ะ
ใช่แล้ว ถ้ามีวาสนาถูกหลินสวินหมายตาขึ้นมา คนรุ่นเยาว์ตระกูลตนจะไม่กางปีกบินสู่ฟากฟ้า ทะยานขึ้นเหนือเมฆด้วยประการฉะนี้หรือ
ด้วยมีความคิดเช่นนี้ ต่อให้รู้ว่าความหวังริบหรี่ก็ยังมีผู้ฝึกปราณมากมายมาเสี่ยงโชค แม้จะฉุดก็ยั้งหยุดไม่อยู่ ทำให้ใกล้ๆ ทะเลหมากดาราเปลี่ยนเป็นคึกคักหาใดเปรียบ
ทะเลหมากดาราปกคลุมด้วยหมอกควันที่ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตา เหมือนมีม่านปริศนาปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
บนชายฝั่งผู้ฝึกปราณมากมายกำลังเฝ้ารอ ชะเง้อคอมอง
“เฮ้อ พวกเรามาจากเมืองจรัสแสงแห่งแดนกาฬทักษิณ ตลอดทางห้อตะบึงมาหลายแสนลี้ เฝ้าตรากตรำอยู่ที่นี่มาสี่สิบเก้าวันแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีโอกาสได้เจอผู้อาวุโสหลินสวินเลย”
ชายวัยกลางคนที่แต่งกายหรูหราคนหนึ่งทอดถอนใจ
ข้างกายเขามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งตามมาด้วย ท่าทางสง่างามไม่ธรรมดา ความสามารถโดดเด่นเหนือใคร
“หึ สี่สิบเก้าวันนับเป็นอะไร ข้ารออยู่ที่นี่มาสามเดือนแล้ว ขอแค่หลานชายคนนั้นของข้าได้มีหวังกราบเป็นศิษย์ฝึกตนในสำนักของผู้อาวุโสหลินสวินเสี้ยวหนึ่ง ต่อให้ข้าต้องรออยู่ที่นี่อีกสามปีห้าปีก็คุ้มค่า”
ชายชราชุดม่วงคนหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่ามั่งคั่งร่ำรวยยิ้มหยันกล่าว ข้างกายเขายังมีบ่าวรับใช้ที่ทรงพลังมากมายติดตามมาด้วย ทั้งมีเด็กอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ
“ไม่ผิด ผู้อาวุโสหลินสวินเหมือนเทพบนสวรรค์ คิดจะฝากตนเป็นศิษย์ในสำนักของผู้อาวุโสหลินสวินมีหรือจะเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนั้น พวกเราก็รออยู่เงียบๆ เถอะ มีเพียงเช่นนี้จึงจะสะท้อนให้เห็นถึงความจริงใจของพวกเราได้”
ผู้คนไม่น้อยพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของชายชราชุดม่วงยิ่งนัก
“แต่นี่เป็นแค่ความคิดของพวกเราฝ่ายเดียว ถ้าหาก… ผู้อาวุโสหลินสวินไม่มีความคิดจะรับศิษย์เล่าควรทำอย่างไร”
มีคนกล่าวขึ้นมาทันใด
ประโยคเดียวทำเอาทุกคนมองหน้ากันไปมา เงียบกริบแล้ว
“แต่ถ้าถูกผู้อาวุโสหลินสวินหมายตาล่ะ”
และมีคนอดกล่าวไม่ได้
ถ้าหาก!
คำนี้ก็เหมือนความหวังที่เลือนรางหาใดเปรียบ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็สามารถดึงดูดผู้คนมากมายให้พยายาม ไม่ยอมแพ้
เพียงพริบตาทุกคนในที่นั้นล้วนมีความคิดมากมาย
การรอคอยทำให้คนทรมาน แต่จะยอมแพ้แค่นี้ใครก็ไม่ยินยอม
เหล่าผู้ฝึกปราณ ณ ที่นั้น ไม่ขาดแคลนบุคคลสำคัญที่ชื่อเสียงสะเทือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฐานะสูงส่ง อำนาจล้นฟ้า สามารถสร้างคลื่นลมได้
แต่บนชายฝั่งทะเลหมากดารานี้กลับได้แค่เฝ้ารอแต่โดยดี ไม่มีใครกล้าหุนหันพลันแล่น ทั้งไม่มีใครกล้าล่วงล้ำ
เปรียบเทียบกับหลินสวินแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่มดปลวกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น!
ความเข้าใจนี้ ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างรู้ดี
ไม่เห็นหรือว่าเผ่าอีกาทองแข็งแกร่งระดับใด แต่ผู้อาวุโสหลินสวินบอกจะทำลายก็ทำลายได้แล้ว
“ซูไป๋ ทำไมเจ้าไม่เดินล่ะ”
ห่างออกไปเด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามเพื่อนร่วมทางที่หยุดเดินไม่ก้าวไปข้างหน้า
เด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีพื้น มวยผมยาวสีม่วงอ่อนไว้สองข้าง ปล่อยปลายยาวไว้ข้างหูเล็กเรียบเนียน นัยน์ตาดั่งคลื่นใบไม้ร่วงใสสะอาดบริสุทธิ์ หน้าตางดงามไร้เดียงสา
ขณะกล่าวมือหยกขาวของนางไพล่หลัง เอวที่เล็กบางเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ทำให้ดูน่ารักมีชีวิตชีวา
เพื่อนร่วมทางของเด็กสาวเป็นเด็กหนุ่มชุดเทาสวมรองเท้าฟางคนหนึ่ง แค่มองก็รู้ว่ายากจน แต่เสื้อผ้ากลับซักล้างจนสะอาดเอี่ยม ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนเรียบง่าย
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางมองห่างออกไป กล่าวเหมือนเป็นกังวล “คนมากขนาดนั้น แต่ละคนล้วนดูท่าจะแข็งแกร่งกว่าข้ามาก ข้าไม่มั่นใจเลย พี่เสี่ยวฉง พวกเรา… กลับกันดีกว่าไหม”
เด็กสาวตบบ่าของเด็กชายเหมือนไม่ได้ดั่งใจ กล่าวว่า “ซูไป๋ เจ้ามีปณิธานหน่อยได้ไหม”
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางวงหน้าแดงก่ำกล่าว “พี่เสี่ยวฉง ข้าจะเชื่อฟังท่าน”
เด็กสาวเผยรอยยิ้มร่าเริงพริ้งเพรา ปลายผมสีม่วงพลิ้วไหว กล่าวเหมือนจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งที่น่ารักคึกคักเป็นอย่างยิ่ง “ต้องอย่างนี้สิ บางทีพรสวรรค์อาจสู้คนอื่นไม่ได้ แต่แน่นอนว่าเจ้าชิงลงมือก่อนได้”
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางสูดหายใจลึก กล่าวเด็ดเดี่ยว “เริ่มลงมือก่อนหรือไม่ไม่สำคัญ แต่แน่นอนว่าข้าจะพยายามต่อไป!”
ขณะพูดคุยกัน ทั้งสองคนก็มาถึงบริเวณที่ฝูงชนรวมตัวกันแล้ว
เด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมคนหนึ่งกล่าวเยาะหยันทันที “ไม่มีพรสวรรค์ ต่อให้พยายามไปก็เปล่าประโยชน์ บนโลกนี้ไม่เคยขาดพวกอ่อนหัดที่ตั้งปณิธานไว้สูงส่ง แต่ละคนล้วนคิดว่าความขยันสามารถซ่อมเสริมจุดบกพร่อง สวรรค์ย่อมตอบแทนคนหมั่นเพียร แต่สุดท้ายก็ยังดับมอดกลางหมู่ชน ไม่อาจเปรียบเทียบกับผู้ฝึกปราณคนอื่นได้อยู่โข นี่ก็คือมหามรรค แต่ไหนแต่ไรมาล้วนโหดร้ายเช่นนี้ พวกทึ่มทื่อที่คิดจะพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิต แน่นอนว่าได้แต่ละเมอเพ้อพก”
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางอึ้งงัน รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังเหน็บแนมตน เขาไม่ได้โต้แย้ง เพียงแต่แววตากลับมืดมนไปบ้างเล็กน้อย
ว่ากันตามจริงสุดท้ายก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่อายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง ทั้งยังเกิดมายากจน ต่อให้จิตใจแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไม่แยแสคำเหน็บแนมได้
คนส่วนใหญ่แค่เหลือบมองเด็กหนุ่มรองเท้าฟางเล็กน้อย ก็เหลือบสายตาไปยังเด็กสาวชุดสีพื้นคนนั้น ในดวงตาต่างฉายแววประหลาดอย่างอดไม่อยู่
เป็นเด็กสาวที่รูปโฉมงดงาม บุคลิกโดดเด่นจริงๆ!
เด็กหนุ่มไม่น้อยต่างเผยความรู้สึกสนใจ สายตากวาดมองเด็กสาวชุดสีพื้นตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูกำเริบเสิบสาน
ผู้สูงศักดิ์ร่ำรวย คนตระกูลชนชั้นสูงที่ชื่อเสียงสะเทือนโลกฟากหนึ่งในที่นั้นมีมากมาย เคยเห็นหญิงงามบนโลกมาก็มาก
แต่รูปโฉมงดงามของเด็กสาวชุดสีพื้นก็ยังทำให้พวกเขาดวงตาวาววาบ
“ไม่ผิดจากที่คาด น่าจะเป็นทายาทของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว เผ่าพันธุ์นี้มีเสน่ห์โดยกำเนิด แต่ละคนล้วนเป็นยอดหญิงงามสามารถล่มเมืองได้ หากเด็กสาวคนนี้ฝึกปราณสำเร็จ เสน่ห์ที่แผ่ออกมาก็สามารถทำให้จิตใจของอริยะไหวสั่น ยากจะควบคุม”
มีคนใหญ่คนโตแววตาเปล่งประกาย มองความเป็นมาของเด็กสาวชุดสีพื้นออก
ประโยคเดียวก็ชักนำให้เกิดเสียงประหลาดใจขึ้นในที่นั้นไม่น้อย สายตาที่มองไปยังเด็กสาวชุดสีพื้นต่างออกไปยิ่งกว่าเดิมแล้ว ไม่ขาดความโลภร้อนแรง
เด็กสาวชุดสีพื้นสีหน้าราบเรียบ เหมือนเคยชินกับสายตาประหลาดเช่นนี้นานแล้ว นางแค่พาเด็กหนุ่มรองเท้าฟางมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ชายฝั่งทะเลหมากดารา
ก้าวเดินไปพลางกำชับเสียงเบาไปด้วย “ซูไป๋ เจ้าร่าเริงหน่อย ปีนั้นพี่หลินสวินก็เหมือนเจ้า ไร้ที่พึ่งพิงเช่นกัน โดดเดี่ยวตัวคนเดียว ไม่มีใครรู้จัก แต่ตอนนี้เจ้าดูในดินแดนรกร้างโบราณนี่สิ ใครไม่รู้จักชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเขาบ้าง”
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางกล่าวเสียงเบา “พี่เสี่ยวฉง ข้าไม่อาจเทียบผู้อาวุโสหลินสวินได้หรอก”
“นับว่าคนอ่อนหัดอย่างเจ้ารู้จักประมาณตน ไม่ถือว่าโง่เกินเยียวยา”
เด็กหนุ่มชุดผ้าไหมคนนั้นกล่าวเยาะหยันอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะชอบเย้ยหยันและเหน็บแนมยิ่งนัก ฝีปากค่อนข้างร้ายกาจพอตัว
แต่กลับไม่มีใครกล้าไปตำหนิเขา
ด้วยสายตาของคนใหญ่คนโตในที่นั้นร้ายกาจระดับใด จำเด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมคนนี้ได้นานแล้ว ว่าเป็นเซวียหย่ง ทายาทสายตรงตระกูลเซวีย ตระกูลใหญ่ที่ถูกเรียกขานว่าเป็น ‘ตระกูลอริยมรรค’ แห่งแดนชัยบูรพา
อย่าเห็นว่าเซวียหย่งอายุแค่สิบห้าสิบหกปี ความจริงแล้วพรสวรรค์ล้ำเลิศ สติปัญญาเฉียบแหลม ถูกมองเป็นบุตรกิเลนของตระกูลเซวีย
ลือกันว่าเคยมีสำนักเก่าแก่ไม่น้อยต้องการรับเซวียหย่งไปเป็นผู้สืบทอด แต่ล้วนถูกปฏิเสธโดยไม่มีข้อยกเว้น เพียงพริบตาก็กลายเป็นเรื่องน่าชื่นชมเรื่องหนึ่งที่ผู้คนกล่าวถึงอย่างเพลิดเพลิน
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางกำสองหมัดแน่น ในแววตาความโกรธเข้าแผ่คลุม แต่ถูกเขาข่มกลั้นเอาไว้
เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าตนเป็นเด็กยากจนคนหนึ่งที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง มีชีวิตอยู่รอดมาได้ก็ไม่ง่ายแล้ว ไม่มีสิทธิ์จะบันดาลโทสะแต่แรก มิฉะนั้นจะนำมหันตภัยใหญ่มาสู่ตน
เด็กสาวชุดสีพื้นมุ่นคิ้วเหลือบมองเซวียหย่งที่อยู่ในชุดผ้าไหมเล็กน้อย ทั้งมองเด็กหนุ่มรองเท้าฟางที่อยู่ข้างกาย ก่อนลอบถอนใจโดยไม่รู้ตัว
นางสื่อจิตกล่าวกับเด็กหนุ่มรองเท้าฟางด้วยเสียงทุ้มต่ำ ‘ซูไป๋ เจ้าเลือกจะอดกลั้นนั้นถูกแล้ว เดิมทีเจ้าก็อ่อนแอเป็นอย่างมาก นี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ แต่เจ้าต้องจำไว้ ถ้าอยากถูกคนให้ความสำคัญ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่น ถึงตอนนั้นพวกเขาจะได้แต่อิจฉาเจ้า ยำเกรงเจ้า เคารพเจ้า!’
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางพยักหน้าหนักแน่น นัยน์ตาวาววาบขึ้นไม่น้อยกล่าว “พี่เสี่ยวฉง ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
เด็กสาวชุดสีพื้นตบบ่าของเด็กหนุ่มรองเท้าฟาง ยิ้มกล่าว “อย่าทำให้ตัวเจ้าในภายหน้าผิดหวังในตัวเจ้าตอนนี้ก็พอ”
เซวียหย่งเห็นภาพนี้แล้วแค่นเสียงหัวเราะ กล่าวเนิบช้า “แม่นาง เจ้าทุ่มเทกายใจให้คนอ่อนหัดนี่ก็ดีอยู่หรอก แต่จากมุมมองข้า ชีวิตนี้ของเขาตอกฝาโลงไปนานแล้ว ถูกลิขิตให้ไม่มีหวังจะเด่นผงาดบนหนทางแห่งมหามรรค หากจะทำเช่นนี้ ไม่สู้บอกให้เขายอมแพ้บนเส้นทางนี้เสียยังดีกว่า จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ปุถุชนให้ผ่านไปได้บ้าง”
คำพูดนี้แม้จะเสียดหู แต่ทุกคนได้ยินแล้วต่างเห็นด้วยยิ่งนัก
พวกสามัญชนหัวขี้เลื่อยมีความทะเยอทะยานไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่หากไม่มีความสามารถที่คู่ควรกับความทะเยอทะยาน นั่นเป็นเรื่องร้ายไม่ใช่ดี มีแต่จะทำลายตัวเอง!
ความเป็นจริงซึ่งชโลมเลือดนับไม่ถ้วนบนโลกนี้ได้พิสูจน์ประเด็นนี้มานานแล้ว ไม่เห็นหรือว่าบนหนทางสู่มรรคฝังความทะเยอทะยานและซากกระดูกแห้งมาเท่าไหร่
เพี๊ยะ!
เซวียหย่งตบหน้าผาก เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ในชั่วขณะ สีหน้าพิกลกล่าวประหลาดใจ “แม่นาง ข้าพลันนึกขึ้นมาได้ เจ้าคงไม่คิดจะพาเจ้าอ่อนหัดนี่มากราบอาจารย์กระมัง”
เขาพูดพลางอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เหมือนรู้สึกว่าไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง “ผู้อาวุโสหลินสวินเป็นบุคคลระดับใด มีหรือจะถูกใจพวกอ่อนหัดเช่นนี้”
เขาขึ้นเสียงสูงเจือความโอ้อวด
ผู้คนไม่น้อยที่อยู่ใกล้เคียงต่างหัวเราะขึ้นมา สีหน้าเย้ยหยัน
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางก้มหน้า ใบหน้าอัดอั้นจนแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่ากำลังข่มโทสะในใจอย่างเต็มที่
เด็กสาวชุดสีพื้นสีหน้าเย็นชาลงมาเล็กน้อย
…………………