คนใหญ่คนโตบางส่วนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในใจพลันนึกกลัว
ก่อนหน้านี้พวกเขาละโมบในความงามของซย่าเสี่ยวฉง เกิดความคิดเลยเถิด ในใจวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าควรพาตัวสาวงามตัวน้อยของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวคนนี้มาอย่างไร
แต่ใครจะคาดคิด ว่าสาวงามคนนี้จะมีความสัมพันธ์กับหลินสวินไม่น้อย!
หลินสวินเป็นมกุฎมหาอริยะก็จริง แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นบุคคลร้ายกาจแห่งยุคคนหนึ่งที่สังหารเด็ดขาด เคยเปิดฉากฝนโลหิตคาววายุมานับไม่ถ้วน
ความคิดที่กล้าทำร้ายคนข้างกายของเขา นั่นไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!
ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ติดตามผู้อาวุโสมาพวกนั้น ยามมองไปที่ซย่าเสี่ยวฉง ท่าทีก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ดูถูก เหยียดหยัน และมองข้ามเหมือนก่อนหน้านี้อีก
ในใจกลับมีความริษยาและอิจฉาก่อตัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ด้วยเหตุนี้ท่าทีของผู้ฝึกปราณตรงนั้นที่มีต่อเด็กหนุ่มรองเท้าฟางจึงเผยแววพิกลและซับซ้อน
เด็กหนุ่มยากจนที่ดูอ่อนหัดคนหนึ่งเช่นนี้ กลับโชคดีได้เจอวาสนายิ่งใหญ่ เดินทางมาพร้อมกับซย่าเสี่ยวฉงนั่น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มีหรือจะไม่ได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสหลินสวิน
“วันนี้ไม่ได้มีแค่แม่นางอาหูที่มา ข้ายังได้เจอเสี่ยวฉงอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันนาน พูดได้ว่าเป็นโชคสองชั้น ไป พวกเราเข้าไปพูดคุยกัน”
หลินสวินยิ้มกล่าว
“นางหนูของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวมีรูปงามแต่กำเนิดดังคาด รอให้ก้าวสู่ระดับอริยะ เสน่ห์ของนางคงสามารถเย้ายวนสรรพชีวิต ทำให้ใต้หล้าตกตะลึง”
อาหูยิ้มกล่าวประโยคหนึ่ง
หลินสวินหัวเราะ “นางหนูนี่เป็นแค่หนอนน้อยไม่รู้ความตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ”
เขาพูดพลางกวักมือเรียกซย่าเสี่ยวฉง “มัวตะลึงทำอะไร รีบมาเร็วเข้า”
ซย่าเสี่ยวฉงร้องอ้อคราหนึ่งอย่างงงๆ ไม่นานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ลากแขนเสื้อของเด็กหนุ่มรองเท้าฟางที่อยู่ข้างๆ มากล่าว “ยังมีเขาด้วย นี่เพื่อนของข้า ไปด้วยกันได้ไหม”
สายตาหลินสวินเหลือบมองเด็กหนุ่มรองเท้าฟางเล็กน้อย
พริบตานี้ในใจของเด็กหนุ่มรองเท้าฟางทั้งตื่นเต้นทั้งว้าวุ่นใจ ประหม่าจนไม่รู้จะวางมือไว้ที่ไหน ในหัวมีความรู้สึกมึนงง
เขามีหรือจะไม่รู้จักชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของหลินสวิน
ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว สิ่งที่เขาชอบที่สุดก็คือการเข้าไปในเมือง หาโรงน้ำชาที่มีนักเล่าเรื่องแห่งหนึ่ง ฟังข่าวลือและเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับหลินสวินโดยเฉพาะ
ในใจของเด็กหนุ่มรองเท้าฟาง หลินสวินช่างเหมือนตัวตนที่ราวกับทวยเทพ เป็นตำนานที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า!
เพียงแต่เขาเองก็คิดไม่ถึง ว่าทันทีที่มาถึงทะเลหมากดาราก็ได้เห็นหลินสวินด้วยตาตนเอง บุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ร้ายกาจที่สุด น่าอัศจรรย์ที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดในใจเขา
โดยเฉพาะยามที่หลินสวินเหลือบสายตามองมา เด็กหนุ่มรองเท้าฟางก็มึนงงเข้าจริงๆ อารมณ์ปั่นป่วนเหมือนคลื่นยักษ์กระทบฝั่ง
“เช่นนั้นก็มาด้วยกัน”
หลินสวินยิ้มแล้วถอนสายตากลับ
ด้วยประสบการณ์ของเขาตอนนี้ มองปราดเดียวก็รู้รายละเอียดมากมายแล้ว แค่เขาไม่ได้ถามอะไรมากความเท่านั้น
“พี่หลินสวิน ท่านเยี่ยมที่สุดเหมือนปีนั้นเลย ตอนแรกข้ายังคิดว่าท่านจะเปลี่ยนไปแล้ว ทำเอาข้ากังวลไปเปล่าๆ”
รอยยิ้มของซย่าเสี่ยวฉงบริสุทธิ์เจิดจ้า พาเด็กหนุ่มรองเท้าฟางมายืนข้างหลินสวินด้วยกัน
หลินสวินลูบหัวของเด็กสาวกล่าว “คนเราล้วนเปลี่ยนกันได้ ขอแค่ใจไม่เปลี่ยนไปก็พอ ไปกันเถอะ”
หลินสวินพูดพลางกำลังจะพาอาหู ซย่าเสี่ยวฉงและเด็กหนุ่มรองเท้าฟางจากไป
“ผู้อาวุโสหลินสวิน!”
เซวียหย่งพลันส่งเสียงตะโกน “ผู้น้อยเฝ้ารออยู่ที่นี่อย่างยากลำบากมาหลายวัน ขอแค่ได้ติดตามฝึกปราณข้างกายท่าน หวังว่าท่านจะเมตตาให้ผู้น้อยสมปรารถนา”
เขาพูดพลางคุกเข่าลงกับพื้นดังสนั่น โขกศีรษะไม่หยุด
เด็กหนุ่มที่หยิ่งทะนงและอวดดี ถูกมองเป็น ‘บุตรกิเลน’ ของตระกูลอริยะอย่างตระกูลเซวียคนนี้ ยามนี้ไม่สนใจหน้าตาและศักดิ์ศรีอะไรแล้ว โขกศีรษะลงกับพื้นด้วยความวิงวอน
เหตุการณ์นี้ทำให้ในใจของเด็กหนุ่มรองเท้าฟางถูกทำให้ตกตะลึงอีกครั้ง
ซย่าเสี่ยวฉงเผยความรังเกียจให้เห็น เดิมคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังอดกลั้น ถ้าเรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องบอกพี่หลินสวิน จะไม่ใช่ว่านางซย่าเสี่ยวฉงยังไร้น้ำยาเหมือนปีนั้นอยู่หรือ
ไม่ได้เด็ดขาด
“ข้าเคยบอกให้พวกเจ้ารออยู่ที่นี่หรือ พวกเจ้าอย่าเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์เลย กลับไปเถอะ”
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง หายไปกลางอากาศพร้อมกับพวกอาหู
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มองคนอื่นๆ ในที่นั้นอีกแม้แต่น้อย
ใช่ว่ามองข้าม หากแต่คร้านจะใส่ใจและสนใจแต่แรก
ต่อให้รับศิษย์ เขาก็ไม่มีทางเลือกใช้วิธีนี้เด็ดขาด
เจ้าเฝ้ารอ เจ้าคุกเข่า เจ้ามาด้วยความจริงใจ แต่ข้าเคยบอกให้เจ้ารอ ให้เจ้าคุกเข่า ให้เจ้ามากราบอาจารย์หรือ
ไม่เคย
บนทะเลหมากดารา หมอกควันแผ่อบอวลใหม่อีกครั้งเหมือนม่านปกคลุม
ในที่นั้นเงียบสงัด ทุกคนไม่มีใครไม่ท้อแท้สิ้นหวัง บ้างถอนใจส่ายหัว บ้างซึมเซาทอดถอนใจ บ้างขมขื่นโดดเดี่ยว
แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดจาจาบจ้วง
ผลลัพธ์นี้เดิมทีก็อยู่ในการคาดเดาของพวกเขา ได้แต่พูดว่า… ลูกหลานที่อยู่ข้างกายพวกเขามีบุญแต่ไร้วาสนาเท่านั้น
มีเพียงเซวียหย่งที่ตอนนี้น่าอักอ่วนที่สุด
เขาคุกเข่าลงกับพื้น หน้าผากกระแทกจนบวมเป่ง เศษฝุ่นติดเต็ม ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินล้วนไม่เคยใส่ใจ สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปทั้งอย่างนั้น…
ความรู้สึกขมขื่น เสียใจ เดือดดาล ริษยาหมักบ่มอยู่ในใจของเซวียหย่งดุจเขาถล่มสมุทรคำราม ทำให้เขาร้องเสียงแหลมออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ไม่ยุติธรรม! เจ้าอ่อนหัดนั่นมีสิทธิ์อะไรถึงได้ถูกพาตัวไป ทำไมไม่เป็นข้า เป็นเพราะซย่าเสี่ยวฉงคนนั้นรึ”
ทุกคนในที่นั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีหันหลังกลับ ทำท่าไม่รู้จักเซวียหย่ง ความจริงในใจต่างลอบตัดสินใจ ว่าภายหน้าจะต้องตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเซวีย!
ครั้งนี้เจ้าเซวียหย่งนี่ล่วงเกินเด็กหนุ่มรองเท้าฟางและซย่าเสี่ยวฉงแล้ว สองคนนี้อาจไม่เพียงพอทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เมื่อสองคนนี้เกี่ยวข้องกับหลินสวิน นั่นก็ต่างออกไปแล้ว!
ถ้าหาก…
ภายหน้าหลินสวินรู้เรื่องพวกนั้นที่เซวียหย่งทำ จะมีทัศนคติเชิงลบต่อตระกูลเซวียหรือไม่
และถ้าหาก…
ภายหน้าเด็กหนุ่มรองเท้าฟางนั่นไต่เต้าจนประสบความสำเร็จแล้วไปหาตระกูลเซวียเพื่อแก้แค้น ตระกูลเซวียของเขาจะแบกรับได้ไหม
ดังนั้นควรตัดขาดการติดต่อกับตระกูลเซวียจะดีที่สุด!
นี่ก็คือความโหดร้ายของเรื่องทางโลก
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยพูดอะไร แต่ทุกคนในที่นั้นกลับไม่มีใครกล้าไม่นำเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ!
“หุบปาก!”
ข้างๆ เซวียหย่ง อริยะเฒ่าตระกูลเซวียคนนั้นหน้าเขียว ลากตัวเซวียหย่งจากไปอย่างรีบเร่ง
ในใจเขาบันดาลโทสะ ทั้งผิดหวังและกังวล
การกระทำที่เซวียหย่งคุกเข่าฝากตนเป็นศิษย์ค่อนข้างทำเกินไปอยู่บ้าง ความดึงดันมีผลลัพธ์แค่สองอย่าง อย่างแรกคือโชคดีได้วาสนาครั้งใหญ่ กราบอาจารย์ได้สำเร็จ
อีกอย่างคือทำให้ผู้คนต่อต้าน
เห็นได้ชัดว่าเซวียหย่งเป็นฝ่ายหลัง ถ้าแค่นั้นก็ไม่เป็นไร ด้วยฐานะและชื่อเสียงของหลินสวินตอนนี้ มีหรือจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง
แต่คำพูดพวกนั้นที่เซวียหย่งกล่าวออกมาหลังจากถูกปฏิเสธ เหมือนเป็นการทำสิ่งต้องห้ามครั้งใหญ่!
ในคำพูดแม้จะไม่ได้สบประมาทหลินสวิน แต่ความไม่พอใจและเคียดแค้นชิงชังนั้น ใครต่างก็ฟังออก นี่ทำให้อริยะเฒ่าตระกูลเซวียรู้สึกโมโหและผิดหวัง
โดยเฉพาะยามสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกปราณคนอื่นในที่นั้นเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเซวียหย่งไป อริยะเฒ่าคนนี้ก็หนาวสั่นอยู่ในใจ
ต่อให้เขาใช้แค่หัวแม่เท้าคิดก็เดาออก ด้วยคำพูดพวกนี้ สำหรับตระกูลเซวียก็เป็นหลุมหนึ่งที่ข้ามไม่พ้นแล้ว!
ถึงอย่างไรข่าวในวันนี้ก็ต้องแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วแน่ หลังจากรู้เรื่องที่เซวียหย่งถูกหลินสวินปฏิเสธและกล่าวออกไปอย่างเดือดดาล ใครจะกล้าคบค้าสมาคมกับตระกูลเซวียอีก
นี่ก็คืออานุภาพของหลินสวิน!
ต่อให้เขาไม่ได้พูดสักประโยค แต่ด้วยบารมีของเขาในดินแดนรกร้างโบราณตอนนี้ พวกที่อยู่บนโลกนี้ใครจะกล้าไม่ใส่ใจ
นึกถึงตรงนี้ อริยะเฒ่าตระกูลเซวียก็อยากซัดฝ่ามือตบเซวียหย่ง ‘บุตรกิเลน’ คนนี้ให้ตาย ในใจพลันเศร้ารันทด
บางทีนี่อาจเป็นการลงโทษเซวียหย่ง หากเขาไม่หาเรื่องซย่าเสี่ยวฉงและเด็กหนุ่มรองเท้าฟางนั่น หากเขาไม่กำเริบเสิบสานเช่นนั้น จะมีเรื่องเช่นตอนนี้ได้อย่างไร
…
ทะเลหมากดารา บนเกาะน้อย
น้ำตกหลั่งรินน้ำพุเวียนวน ไผ่เขียวเริงระบำ ไอวิญญาณปกคลุม ราวกับแดนพิสุทธิ์ของเซียนสวรรค์
ที่นี่ถูกหลินสวินมองเป็นที่พำนักในดินแดนรกร้างโบราณนานแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงสร้างสวนโอสถและน้ำพุวิญญาณ ปลูกพืชวิญญาณที่หายากไว้ไม่น้อย
ด้วยฝีมือและฐานะของเขาตอนนี้ แค่พลิกฝ่ามือก็เปลี่ยนหินเป็นทองคำ แปรสภาพเกาะร้างแห่งหนึ่งให้เป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลชั้นยอดแห่งหนึ่งได้แล้ว
เวลานี้หลินสวินได้เตรียมงานเลี้ยงที่อุดมสมบูรณ์ไว้พร้อม เป็นการต้อนรับอาหู ซย่าเสี่ยวฉงและเด็กหนุ่มรองเท้าฟางที่มาจากแดนไกลโดยเฉพาะ
สุราเป็นเหล้าชั้นดีที่บ่มมานานปี สามารถทำให้อริยะน้ำลายหก
ผลหมากรากไม้ อาหารเลิศรส ไม่มีสิ่งใดไม่ใช่ของล้ำค่าที่หาได้ยากบนโลกเช่นกัน
ซย่าเสี่ยวฉงไม่คิดอะไรมากที่สุด กินจนปากมันย่อง ประกอบกับดื่มมากเกินไป ไม่ทันไรก็เมาปลิ้นหลับคาโต๊ะ
เด็กหนุ่มรองเท้าฟางก็ไม่ต่างกัน เขาควบคุมตัวเองมาก ทั้งว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าดูเหม่อลอยตลอดเหมือนกำลังฝัน
โดยเฉพาะพลังปราณของเขาที่ต่ำเกินไป ดื่มเหล้าไปแค่จอกเดียว กินผลไม้ได้ผลหนึ่งก็ต้านพลังที่โหมกระหน่ำไปทั่วร่างไม่อยู่ ตัวแดงร้อนวูบวาบไปหมด
หลินสวินลอบกล่าวละอายใจ เขาลืมไปเลยว่าเด็กหนุ่มรองเท้าฟางคนนี้แบกรับพลังที่แฝงอยู่ในเหล้าชั้นดีและอาหารเลิศรสนี้ไม่ได้แต่แรก
เขาตบตัวเด็กหนุ่มรองเท้าฟางเบาๆ พลังสายหนึ่งพุ่งเข้าไป กดพลังที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างอีกฝ่าย
พอเห็นว่าเด็กหนุ่มรองเท้าฟางหลับไปเหมือนซย่าเสี่ยวฉงแล้ว หลินสวินจึงเหลือบสายตามองไปทางแม่นางอาหูที่อยู่ตรงหน้า
อาหูยิ้มหยิบจอกสุราขึ้นมา นัยน์ตาคู่งามดั่งคลื่นใบไม้ร่วงมองซย่าเสี่ยวฉงแล้วกล่าว “แม่นางน้อยคนนี้เหมือนกับข้า ล้วนเป็นเผ่าจิ้งจอก เพียงแต่นางเป็นเผ่าจิ้งจอกบรรพตเขียว สายเลือดไม่ธรรมดา รากฐานพลังก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนข้า… ก็เป็นแค่จิ้งจอกขาวธรรมดาทั่วไป”
นี่เป็นครั้งแรกที่อาหูพูดถึงความเป็นมาของตัวเอง
ในความทรงจำของหลินสวิน หญิงสาวที่งดงามดั่งเซียน มีเสน่ห์เย้ายวนเหมือนนางมารคนนี้ เป็นถึงบุคคลที่ลึกลับหาใดเปรียบคนหนึ่ง
ใครจะคิดว่านางเป็นแค่จิ้งจอกขาวธรรมดาทั่วไป
“เจ้าต้องไม่เชื่อแน่ แต่พูดไปแล้วก็ซับซ้อนเกินไป สรุปคือสาเหตุที่ข้ามีวันนี้ได้ก็ด้วย… อืม วาสนากระมัง”
อาหูพูดถึงตรงนี้ก็ไม่พูดมากอีก
แต่หลินสวินกลับรู้ดีว่า วาสนานั้นที่ทำให้อาหูซึ่งเป็นจิ้งจอกขาวธรรมดามีรากฐานและพลังเช่นวันนี้ได้ ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้ก็น่าสนใจ”
สายตาของอาหูมองไปที่เด็กหนุ่มรองเท้าฟางคนนั้น นัยน์ตาส่องประกายเผยแววประหลาดสายหนึ่ง “ในตัวเขามีกระดูกกระบี่ที่บกพร่อง น่าจะได้รับบาดเจ็บในวัยเด็กจนทำลายต้นกำเนิดภายในร่าง”
“ไม่อย่างนั้นเด็กหนุ่มที่มีกระดูกกระบี่แต่กำเนิดเช่นนี้ เกรงว่าคงโดดเด่น ถูกสำนักใหญ่บนโลกชิงตัวรับไปเป็นศิษย์นานแล้ว”
กระดูกกระบี่แต่กำเนิด!
จอกสุราที่หลินสวินยกขึ้นมาพลันหยุดชะงัก ในดวงตาดำล้ำลึกฉายแววน่าพรั่นพรึง
เขานึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
ผู้ฝึกกระบี่แห่งยุคคนหนึ่งที่เคยเกิดมายากจน ทั้งเคยมีกระดูกกระบี่แต่กำเนิด…
อวิ๋นชิ่งไป๋!