เขากระบี่ต้าหลัว จักรพรรดิกระบี่ชิงอวี่ เจี้ยนชิงเฉิน กระบี่จักรพรรดิอักษรบัญชา ดินแดนโบราณต้าหลัว…
นี่ก็เหมือนสิ่งที่เชื่อมต่อกับตัวเว่ยจื่อหยา
หลินสวินเข้าใจได้รางๆ เกรงว่าเว่ยจื่อหยาคงรู้ถึงความพ่ายแพ้ย่อยยับของดินแดนโบราณต้าหลัว ถึงได้มีเจตนาเป็นศัตรูกับตน
“เว่ยจื่อหยา เจ้าก็สนใจในป้ายคำสั่งเซียนเหินเหมือนกันรึ”
หลูเป่ยกู้มกุฎมหาอริยะของเผ่านักรบตะวันแดงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนมังกรเพลิงแดงเอ่ยปากแล้ว
“ข้ารู้สึกสนใจในตัวเจ้าหลินสวินนั่น”
เว่ยจื่อหยาสีหน้าเย็นชา “เขากระบี่ต้าหลัวของข้าเคยหมายตาเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเจี้ยนชิงเฉิน แต่กลับถูกเจ้าหมอนี่ฆ่า เรื่องนี้ถึงขั้นทำให้บรรพจารย์ชิงอวี่ตกใจ”
บรรพจารย์ชิงอวี่!
ณ ที่นั้นพลันเงียบสงัด ทุกคนต่างรู้ว่าคนที่เว่ยจื่อหยาพูดถึง ก็คือจักรพรรดิกระบี่ชิงอวี่ที่ชื่อเสียงสะเทือนบนฟ้าดาราเมื่อนานมาแล้ว
ด้วยการตายของเจี้ยนชิงเฉินคนเดียว ถึงกับทำให้จักรพรรดิกระบี่ชิงอวี่ตกใจ เว่ยจื่อหยาเป็นถึงผู้สืบทอดของเขากระบี่ต้าหลัว การมาแหล่งสถานคุนหลุนครั้งนี้เกรงว่าคงรับหน้าที่มาฆ่าหลินสวินคนนี้ด้วย!
หลินสวินและอาหูต่างสบตากันวูบหนึ่ง ล้วนเข้าใจแล้ว
“พวกเราร่วมมือกันได้นะ”
หลูเป่ยกู้กล่าวเชิญชวน “ข้าต้องการป้ายคำสั่งเซียนเหิน ส่วนหลินสวินนั่นเป็นของเจ้า”
“ฮึ!”
มีคนแค่นเสียงเย็นชาทันที “น่าขัน เจ้าหลูเป่ยกู้นับเป็นตัวอะไร กล้ามาสนใจป้ายคำสั่งเซียนเหินด้วยรึ”
“ใครกัน”
หลูเป่ยกู้สีหน้าขรึมทันที หันกลับไปมอง ไม่ทันไรหน้าก็เปลี่ยนสีเล็กน้อย “เป็นเจ้า คุนจิ่วหลิน!”
ผู้คนพากันแตกตื่น หันมองไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ก็เห็นเงาร่างสูงตระหง่านผึ่งผายร่างหนึ่งอยู่กลางอากาศ ยืนไขว้หลัง นัยน์ตาลุ่มลึกน่าหวาดกลัวเหมือนวังน้ำวน
ข้างกายเขายังล้อมรอบด้วยผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง ขับเน้นให้เขาดูห้าวหาญครองพิภพ เต็มไปด้วยความเผด็จการ
คุนจิ่วหลิน ผู้สืบทอด ‘เรือนมรรคดึกดำบรรพ์’ หนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ จัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยสี่สิบสี่ของ ‘กระดานมหาอริยะฟ้าดารา’
อันดับสูงกว่าเว่ยจื่อหยานั่นช่วงใหญ่
สิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่สุดคือ คุนจิ่วหลินยังเป็นทายาทเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลคุนด้วย และสำนักของเขาก็เป็นหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ แค่ภูมิหลังใหญ่สองอย่างนี้ก็สามารถทำให้ผู้คนในระดับเดียวกันหวั่นหวาดแล้ว!
สายตาของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจับจ้องไปที่คุนจิ่วหลินทันที
ด้วยตอนนี้คุนจิ่วหลินเป็นมกุฎมหาอริยะคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ตำแหน่งหรือศักยภาพ ล้วนเรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในที่นั้น
เสียงของคุนจิ่วหลินเรียบง่ายลุ่มลึก ดังก้องราวกับฟ้าผ่า
“ข้าคุนจิ่วหลินขอพูดไว้ตรงนี้ หลินสวินนั่นเป็นเหยื่อของข้า ใครกล้าแย่งก็เท่ากับหาเรื่องข้า!”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้ากันไปมา
แม้แต่หลูเป่ยกู้ เว่ยจื่อหยาก็ยังเงียบไป พวกเขาต่างก็รู้ชัดถึงความแข็งแกร่งของคุนจิ่วหลิน จึงไม่อยากขัดอีกฝ่ายในเวลานี้
‘ดูเหมือนคนที่อยากเอาชนะเจ้าจะมีไม่น้อยทีเดียว’
น้ำเสียงของอาหูเจือแววพิกลเสี้ยวหนึ่ง คล้ายหยอกล้อและกระทบกระเทียบ
หลินสวินไหวไหล่กล่าว ‘ช่วยไม่ได้ ไม่เห็นต้องกลัวเมฆเลื่อนลอยที่บดบังทัศนวิสัย ในเมื่อวาสนาเราสูงกว่าแล้ว’
อาหูเกือบหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เวลานี้แล้วยังมีหน้ามาล้อเล่นอีก นี่เขามองพวกคุนจิ่วหลิน หลูเป่ยกู้ เว่ยจื่อหยาเป็น ‘เมฆเลื่อนลอย’ หรือ
กริ๊ง… กริ๊ง…
เสียงไพเราะของห่วงประดับที่กระทบกันพลันดังขึ้น ไม่นานหงส์เพลิงมหึมาตัวหนึ่งก็โฉบมา สยายปีกงามตระการ ละอองแสงนับหมื่นพันหลั่งริน บริสุทธิ์ยากจับต้อง
บนหงส์เพลิงมีชายหญิงห้าหกคนนั่งอยู่ ล้วนกลิ่นอายละโลกีย์ ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ผู้นำคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ผมดำราวน้ำตก สวมชุดสีขาว เอวคาดเข็มขัดทอง ร่างทรงสง่า
หน้าตานางดุจภาพวาด ผิวพรรณพิสุทธิ์ผุดผ่อง ริมฝีปากแดงฟันขาว นัยน์ตาใสจนเหมือนตาน้ำพุบริสุทธิ์ ทั้งตัวไม่มีกลิ่นอายผลาญเผาแม้เศษเสี้ยว
พาให้คนรู้สึกว่าเหมือนเซียนสาวแห่งตำหนักจันทร์บนสวรรค์ ดูเลือนรางและเยียบเย็น
ผู้ฝึกปราณทั่วลานต่างเผยความตกตะลึงออกมาอย่างอดไม่ได้ในพริบตา
หงส์เพลิงร่ายรำ หญิงสาวในชุดขาวก้าวผะแผ่วลงมา เหล่าชายหญิงที่อยู่ด้านหลังก็ล้วนเรียกได้ว่าสง่างามโดดเด่น แต่เมื่ออยู่ข้างกายหญิงสาวชุดขาวกลับดูจางไปทันที
มีเพียงหลินสวินที่หรี่นัยน์ตาดำลงเล็กน้อย
เมื่อมองไปผู้คนมากมายจะถูกรูปโฉมของหญิงสาวชุดขาวคนนั้นดึงดูด แต่ในสายตาหลินสวิน กลิ่นอายบนตัวของผู้หญิงคนนี้กลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าอันตรายโดยสัญชาตญาณ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
“เหวินฉิงเสวี่ย!”
“ที่แท้ก็เป็นนาง…”
ในที่นั้นพลันแตกตื่น
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างตอบสนองขึ้นมา เหวินฉิงเสวี่ย ผู้สืบทอด ‘เรือนมรรคยุทธจักร’ หนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่!
นางเจิดจรัสไร้ใครเทียม จัดอยู่ในอันดับสามของกระดานยอดจรัสฟ้าดารา
พลังต่อสู้ของนางเป็นเลิศ อยู่ในอันดับที่เก้าสิบสามของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา!
บนทางเดินโบราณฟ้าดารา มีบุคคลแห่งยุคไม่รู้เท่าไรถูกเสน่ห์ของเหวินฉิงเสวี่ยทำให้ลุ่มหลงจนรู้สึกชอบพอ
เคยมีวีรชนผู้กล้ากล่าววิจารณ์ว่า ‘เหวินฉิงเสวี่ยผู้หญิงคนนี้ ผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง รูปโฉมงดงาม ยากจะได้พบเห็นในรอบพันหมื่นปี!’
‘พวกผู้ชายหน้าเหม็นที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง’
เสียงฮึเย็นชาหนึ่งดังขึ้นข้างหูหลินสวิน เมื่อเงยหน้ามองไปกลับเห็นอาหูสองมือไพล่หลัง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังปรามาส
หลินสวินเงียบไปอย่างอดไม่ได้
เขานึกถึงใบหน้าที่แท้จริงของอาหู หากเผยออกมาจริงๆ จะต้องไม่ด้อยกว่าเหวินฉิงเสวี่ยแน่นอน
ทั้งตัวอาหูยังมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ ทุกการแสดงออก ทุกการเคลื่อนไหวสามารถล่มเมืองได้จริงๆ ทำให้ภิกษุเฒ่าที่นิ่งสงบไม่อาจต้านทาน
แต่หากจะเปรียบเทียบกันจริง ก็ย่อมไม่อาจเทียบได้
ดังคำกล่าวที่ว่าหญิงงามเหมือนเหมยกล้วยไม้ไผ่เบญจมาศ แตกต่างกันคนละแบบ ล้วนมีความงามไร้ใดเปรียบที่ต่างกันไป
เหวินฉิงเสวี่ยเหมือนเคยชินกับสายตาที่มองมาโดยรอบอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้ใส่ใจ ก้าวมาอยู่ตรงกลาง
นางสวมชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ ผมดำดุจสีหมึก เงาร่างเลือนรางดั่งเซียนสาวมาเยือนโลกโลกีย์ ผู้ฝึกปราณบางคนล้วนรู้สึกต่ำต้อยอย่างอดไม่ได้
คุนจิ่วหลินเอ่ยปากทันที น้ำเสียงทรงพลัง
“เทพธิดาฉิงเสวี่ย ทุกร้อยปีกระดานมหาอริยะฟ้าดาราจะจัดอันดับใหม่อีกครั้ง ตอนนี้เหลือเวลาก่อนการจัดอันดับครั้งต่อไปไม่ถึงห้าปีแล้ว ข้าผู้แซ่คุนมั่นใจว่า ถึงตอนนั้นลำดับชื่อบนกระดานต้องอยู่ในร้อยอันดับแรกแน่!”
“เกี่ยวอะไรกับข้า”
เหวินฉิงเสวี่ยกล่าวราบเรียบ เสียงใสเสนาะหูเหมือนหยกประดับแผ่วพลิ้ว พูดว่าเป็นเสียงจากธรรมชาติก็ไม่มากเกินไป
คุนจิ่วหลินแววตาเปล่งประกาย จ้องมองเหวินฉิงเสวี่ย “ปีนั้นยามเจอแม่นางครั้งแรก แม่นางเคยบอกว่า หากข้าผู้แซ่คุนก้าวขึ้นไปอยู่ในร้อยอันดับแรกได้จะพิจารณาคบหากับข้าผู้แซ่คุน”
ในที่นั้นต่างฮือฮา ไม่มีใครไม่ส่งเสียงตื่นเต้น
ใครก็คิดไม่ถึงว่าระหว่างคุนจิ่วหลินกับเหวินฉิงเสวี่ยจะเคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
เหวินฉิงเสวี่ยกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ก็แค่พิจารณาเท่านั้น ทั้งไม่ได้รับปาก เจ้าดันอันดับบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราได้เหนือกว่าข้าเมื่อไหร่ ค่อยพูดเรื่องนี้ก็ไม่สาย”
คุนจิ่วหลินไม่ท้อถอยแม้แต่น้อย กล่าวอย่างฮึกเหิม “การมาแหล่งสถานคุนหลุนครั้งนี้ ข้าผู้แซ่คุนมีความมั่นใจมากว่าจะทำให้พลังปราณรุดหน้าได้ หากอันดับในครั้งหน้าเหนือกว่าแม่นางจริง ฮ่าๆ เจ้าจะปฏิเสธอีกไม่ได้แล้วนะ!”
เหวินฉิงเสวี่ยร้องอ้อคราหนึ่ง ใบหน้าที่งามอย่างเซียนดูผุดผ่องดั่งภาพวาด ราบเรียบไร้คลื่นลม เหมือนไม่ได้ใส่ใจแต่แรก
ตึง! ตึง! ตึง!
ห้วงอากาศสั่นสะเทือน เสียงฝีเท้าดั่งฟ้าคำรามระลอกหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศมาแต่ไกล
เสียงฝีเท้านั้นก้องอยู่ในใจผู้คน ทำให้คนไม่น้อยยากจะรับจนเกือบกระอักเลือด สีหน้าต่างเปลี่ยนไปอย่างอดไม่ได้
ห่างออกไป เงาร่างสูงโปร่งที่สวมชุดดำร่างหนึ่งก้าวเดินมา เผยนัยน์ตาส่องประกายดุจคมดาบให้เห็นภายใต้หมวกปีกกว้าง
นางถือดาบศึกแคบยาวเล่มหนึ่งที่ยาวประมาณหนึ่งจั้ง คมประกายขาวดุจหิมะ ความยาวประมาณเงาร่างอรชรของนาง ทำให้ผู้คนมองเห็นได้ชัดเจน
โดยเฉพาะทุกครั้งที่นางเหยียบย่างลงมา ห้วงอากาศใกล้เคียงจะแตกระแหงเหมือนใยแมงมุม แผ่ไอดุดันเยียบเย็นออกมา
เห็นได้ชัดว่านางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง นิ้วมือที่กุมดาบขาวกระจ่างประหนึ่งหยกงาม ข้อมือขาวยิ่งกว่าหยกมันแพะ เปล่งแสงกระจ่างแวววาว
เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคุนจิ่วหลินหรือเว่ยจื่อหยา หลูเป่ยกู้ต่างนัยน์ตาหดรัดวูบหนึ่ง นาง… ก็มาด้วยหรือ
เหวินฉิงเสวี่ยก็เหลือบมองเงาร่างของ ‘ผู้มาด้วยท่าทางชวนตะลึง’ คนนี้เล็กน้อย ก่อนถอนสายตากลับ
ส่วนคนอื่นในที่นั้นไม่มีใครไม่เผยความหวาดกลัวออกมา ถึงขั้นเผยความรู้สึกหวั่นหวาด นึกถึง ‘จอมดาบ’ คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดบนทางเดินโบราณฟ้าดาราขึ้นมา…
ถังซู!
ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจาก ‘เผ่านักรบดาบคลั่ง’ แห่งสิบเผ่านักรบใหญ่ หญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกขนานนามว่า ‘อัจฉริยะมรรคดาบ’
มกุฎอริยะดาบคนหนึ่ง ที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบเก้าของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราได้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน!
“ทางเข้าแหล่งสถานคุนหลุนยังไม่เปิด ตอนนี้มีใครอยากสู้กันไหม”
ทันทีที่ถังซูมาถึงก็กวาดสายตามองโดยรอบ เสียงของนางทุ้มต่ำเจือแรงดึงดูดเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง เยียบเย็นเหมือนดาบ คล้ายว่าเฉือนตัดลำคอของผู้คนได้
ทุกคนต่างเงียบงัน แอบค่อนขอดอยู่ในใจ บนทางเดินโบราณฟ้าดาราใครไม่รู้บ้างว่า ‘จอมดาบ’ ถังซูบ้าการต่อสู้แค่ไหน
เรียกนางว่าเป็นนางยักษ์ก็ไม่ถือว่าผิด
หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีคู่ต่อสู้เท่าไหร่ถูกถังซูใช้ ‘ดาบตัดสวรรค์’ เล่มเดียวฆ่า ผู้หญิงคนนี้ดุดันปราดเปรียวจนไม่มีใครกล้าเห็นนางเป็นผู้หญิง
“คุนจิ่วหลิน มาเล่นกันหน่อยไหม”
สายตาของถังซูมองไปที่คุนจิ่วหลิน ฝ่ายหลังแค่นเสียงเย็นชากล่าว “ยามนกปากซ่อมกับหอยกาบตีกัน ชาวประมงเท่านั้นที่ได้ผลประโยชน์ ถ้าอยากเล่นกันจริง รอเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุนก่อนก็ไม่สาย”
“ใจปลาซิว” ถังซูพูดสั้นกระชับได้ใจความ ไม่มีเกรงใจสักนิด
“เจ้า…”
คุนจิ่วหลินสีหน้าขรึมทันที
แต่ถังซูคร้านจะใส่ใจเขาแล้ว เหลือบสายตามองไปทางเหวินฉิงเสวี่ยกล่าว “เหวินฉิงเสวี่ย มาแลกเปลี่ยนความรู้กันหน่อยไหม”
เหวินฉิงเสวี่ยกล่าวราบเรียบ “เจ้าใกล้จะทะลวงปราณแล้ว ข้าไม่ยอมเป็นหินลับมีดของเจ้าหรอก”
ถังซูร้องอ้อคราหนึ่ง คล้ายรู้สึกหน่ายใจอยู่บ้าง เก็บ ‘ดาบตัดสวรรค์’ ที่แคบยาวเจิดจ้าในมือลงไปดังเคร้ง ก่อนหยิบสุรากาหนึ่งออกมากระหน่ำซดคนเดียว
ท่าทางองอาจผึ่งผายสบายๆ ดูอิสระไม่สะทกสะท้านนั่น ทำให้ผู้ชายไม่น้อยต่างละอาย
ผู้หญิงบางคนกลับนัยน์ตาวาววาบ ล้วนมีความรู้สึกว่าถูกมาดสง่างามหยิ่งทะนงนั้นของถังซูสยบอย่างอดไม่ได้
‘น่าสนใจ’
ในใจหลินสวินก็แอบชื่นชม
กลิ่นอายของถังซูดุดันและเยียบเย็น เหมือนสายลมคลั่งที่ดูอิสระเสรีบนเวิ้งฟ้า หญิงสาวคนหนึ่งแต่กลับมีท่าทางเช่นนี้ ช่างพบเห็นได้น้อยมากจริงๆ
อาหูสื่อจิตกล่าว ‘ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ข้าเคยได้ยินว่าตอนที่นางแจ้งมรรคเป็นมกุฎมหาอริยะ เคยเอ่ยวาจาว่า ‘ดาบข้าคือมรรค มรรคคือดาบข้า’ แม้แต่ระดับจักรพรรดิคนหนึ่งของเผ่านักรบดาบคลั่งยังถูกทำให้ตกใจ เชื่อว่าภายภาคหน้าถังซูอาจได้เป็นจักรพรรดิดาบหญิงคนหนึ่งที่ผงาดเหนือฟ้าดารา’
หลินสวินไหวหวั่น
สายตาที่มองไปยังถังซูก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
หญิงสาวแห่งยุคที่ไม่เป็นรองบุรุษเช่นนี้ ยังได้แค่อยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบเก้าของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา
เช่นนั้นพวกที่อันดับเหนือกว่านางจะมีมาดสง่างามไร้เทียมทานระดับใด
ยังมีเหวินฉิงเสวี่ย คุนจิ่วหลิน เว่ยจื่อหยา… แต่ละคนก็ไม่ธรรมดาเพียงใด แต่อันดับบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราล้วนไม่ถึงขั้นล้ำหน้าเท่าไหร่
หากเปรียบเทียบเช่นนี้ก็มองออกว่า เหล่าบุคคลที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราพวกนั้น แข็งแกร่งแค่ไหน!
………………….