<*>นิยายBookmarksไม่แจ้งเตือนท่านสามรถดูนิยายอัพเดทได้ที่นี่<*>Click
พรึ่บ!
ดาบหักก็เหมือนหมาป่าหิวโซที่ยากจะข่มกลั้น ทันทีที่ปรากฏก็พุ่งโถมเข้าไปในไอมรรคหลอมสมบัติสายนั้น พื้นผิวภายนอกที่ขาวสว่างดุจหิมะแผ่ระลอกคลื่นคลุมเครือชวนตกใจ ส่งเสียงใสรื่นเริงไม่หยุด
สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่าไอมรรคหลอมสมบัติถูกหลอมทีละนิด
และพื้นผิวดาบหักก็ปรากฏการเปลี่ยนแปลงที่ชวนตกใจหาใดเปรียบ…
ลายสมบัติบริสุทธิ์ที่เหมือนมังกรใหญ่เหลืองทองตัวแล้วตัวเล่าปรากฏขึ้น พาดผ่านท่องทะยานอยู่ในดาบหักอย่างมีชีวิตชีวา
หลินสวินและอาหูต่างมองตาค้าง
ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนี้สะดุดตาเกินไป แต่เดิมดาบหักมีลายสมบัติบริสุทธิ์แปดสาย แต่ภายในไม่กี่อึดใจสั้นๆ ก็เพิ่มลายสมบัติบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกหกสาย!
หนำซ้ำ การเปลี่ยนแปลงยังคงดำเนินต่อไป…
วู้ม…
เสียงใสกังวานของดาบหักยิ่งฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายคลุมเครือที่แผ่ออกมาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกที เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน ลายมรรคมรดกทั้งสามอย่าง ‘ปฐม’ ‘ยอด’ ‘สังหาร’ ล้วนประดุจฟื้นคืนชีพจากความเงียบงัน แผ่กลิ่นอายเร้นลับออกมา
ในถ้ำสลัวราง เวลานี้ส่องประกายสว่างไสว ถูกแสงสมบัติราวกับวิเศษศักดิ์สิทธิ์ท่วมท้น
หากไม่ได้เห็นเองกับตา อาหูไม่กล้าเชื่อเด็ดขาด ว่าการเปลี่ยนแปลงของสมบัติชนิดหนึ่งจะถึงกับปรากฏลักษณ์ประหลาดที่เร้นลับสุดหยั่งเช่นนี้ได้
สมบัตินี้มีที่มาอย่างไรกันแน่
อาหูยิ่งสงสัยใคร่รู้มากขึ้นเรื่อยๆ
และพร้อมกันนั้นในใจหลินสวินก็ไม่อาจสงบได้เช่นกัน ดาบหักกลายเป็นศาสตราอริยะบริสุทธิ์ของเขานานแล้ว ทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของดาบหักในขณะนี้ ล้วนปรากฏกลางใจเขาอย่างถี่ถ้วนทุกรายละเอียด ทำให้เขาแปลกใจ ยินดี ถึงขั้นสะท้านสะเทือน
“ยี่สิบ”
“สามสิบ”
“สี่สิบ”
“ห้าสิบ”
…เวลาหนึ่งถ้วยชาเต็ม ดาบหักเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ราวกับไม้ไผ่ที่แตกหน่ออย่างบ้าคลั่งกลางฝนยามวสันต์ ไต่ทะยานไม่ว่างเว้น!
และพร้อมกับๆ กับการเปลี่ยนแปลงของดาบหัก ไอมรรคหลอมสมบัติที่วิวัฒน์เป็นบทประพันธ์มหามรรคนั่นก็ค่อยๆ หม่นแสง เลือนรางจางลงไป
จนถึงเวลานี้ไอมรรคหลอมสมบัติเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว
สุดท้ายภายใต้สายตาจับจ้องด้วยความตกตะลึงของหลินสวินและอาหู ดาบหักก็หลอมไอมรรคหลอมสมบัตินี้อย่างหมดจด
และพื้นผิวภายนอกของมัน ก็ปรากฏลายสมบัติบริสุทธิ์ที่สว่างเรืองรองดุจดั่งมังกรใหญ่สีเหลืองทองห้าสิบสี่สาย!
ชิ้ง!
ไม่รอให้ทั้งคู่ดึงสติกลับมา ดาบหักเปล่งแสงทันควัน ราวกับว่าพลังที่สั่งสมมากเกินไป เริ่มปลดปล่อยอย่างรุนแรงในเวลานี้
ตูม!
ลำแสงเทพพุ่งพรวดออกจากคมประกายของดาบหัก กลิ่นอายที่แข็งกร้าวราวเสมือนจริงก่อเกิดขึ้นตามมา
ถ้ำมืดสลัวนี้ล้วนถูกกระแทกถล่ม ต้านแรงโจมตีของกลิ่นอายน่าสะพรึงเช่นนี้ไม่ไหว ถูกแหวกออกเป็นโพรงสายหนึ่ง ด้านล่างทะลวงพื้น ด้านบนทะยานฟ้า!
“เอ๋! แสงสมบัติน่ากลัวชะมัด พุ่งทะยานเหมือนวัวกระทิง คมประกายเจือไอกร้าวแกร่ง จะต้องมีสมบัติสำคัญแห่งยุคปรากฏสู่โลกเป็นแน่!”
พื้นที่ละแวกใกล้เคียงแถบนี้มีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งถูกทำให้ตื่นตกใจ ต่างทอดสายตามองไป แต่ละคนเผยสีหน้าเร่าร้อน
“เร็ว! รีบเคลื่อนไหว!”
พวกเขาเคลื่อนผ่านห้วงอากาศโดยไม่ลังเลสักนิด
ทว่าตอนที่มาถึง แสงสมบัติชวนตกใจนั้นกลับอันตรธานหายไป และพร้อมกันนั้นเงาร่างของหลินสวินและอาหูก็โผล่ออกมาจากใต้พื้นดิน
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างอึ้งไป จากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี
“สมควรตาย เป็นเจ้าหมอนั่น!”
“ใคร”
“หลินสวิน!”
“เป็นเขา!?”
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ไม่มีใครไม่ใจสะท้าน ในใจลั่นกลองถอยทัพ นึกถึงผลงานการต่อสู้อันเฉิดฉายหลายวันก่อนที่หลินสวินต่อสู้กับผู้กล้ากลุ่มหนึ่ง และสังหารลู่อ๋างลงได้
“พวกเจ้าคิดจะแย่งสมบัติหรือ”
หลินสวินเผยสีหน้านึกสนุก
ร่างกายของผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างสั่นระริก รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“เอ่อ พวกเราแค่ผ่านทางมาเท่านั้น ขอตัวลา” พวกเขาไม่ลังเลสักนิด ใต้เท้าราวกับทาน้ำมัน หันตัวแล้วจากไปทันที
หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้
ผู้ฝึกปราณบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี่เปลี่ยนเป็นขี้ขลาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
อาหูเม้มปากยิ้ม กล่าวว่า “พวกเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเทพมารหลินเช่นเจ้าไม่ใช่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ”
หลินสวินยิ้มกว้าง กล่าวว่า “ข้าแค่อยากลองอานุภาพของดาบหักก็เท่านั้น”
ดาบหักมีลายสมบัติบริสุทธิ์เพิ่มมากอีกหนึ่งสาย ก็ทำให้พลังต่อสู้ของผู้ฝึกปราณเพิ่มขึ้นหนึ่งในร้อยส่วน
เพิ่มมาสิบสาย สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้หนึ่งในสิบส่วน!
ตอนนี้ดาบหักมีลายสมบัติบริสุทธิ์ห้าสิบสี่สายแล้ว อานุภาพของมันจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน
อาหูกล่าวว่า “รอยามเจ้าหลอมลายสมบัติบริสุทธิ์ของสมบัติชิ้นนี้ออกมาได้ร้อยสาย ก็จะยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยม ฟูมฟักครรภ์วิญญาณอาวุธออกมา ถึงตอนนั้นแค่อานุภาพของสมบัตินี่ ก็สามารถทำให้พลังต่อสู้ของเจ้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวแล้ว”
หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ยากเกินไปแล้ว ไอมรรคหลอมสมบัติที่ได้รับก่อนหน้านี้น่าตกใจปานใด แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเปลี่ยนดาบหักถึงแค่ระดับนี้ คิดอยากหลอมลายสมบัติบริสุทธิ์ร้อยสาย… ก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่”
จากนั้นหลินสวินก็ยิ้มน้อยๆ “แต่ข้ารู้สึกพอใจแล้ว”
ในเวลาถัดมาทั้งคู่เริ่มเคลื่อนไหว ตั้งใจจะค้นหาไอมรรคหลอมสมบัติเพิ่มอีกสักหน่อยในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
ระหว่างทางที่เคลื่อนไหว พวกเขาก็ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจำนวนหนึ่ง
อย่างเช่น ในแดนหลอมสมบัติขณะนี้ พวกกร้าวแกร่งมากมายต่างกำลังเสาะหาที่อยู่ของหลินสวิน ซ้ำยังลั่นวาจาร้ายกาจว่าจะกำจัดเขาทิ้งให้ได้!
นี่ทำให้ในใจหลินสวินก็เกิดไอสังหารขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เจ้าอันธพาลพวกนี้ คิดจริงๆ หรือว่าเขาหลินสวินเป็นเนื้อปลาบนเขียงที่จะยื้อแย่งกันอย่างไรก็ได้
ขณะเดียวกันหลินสวินและอาหูก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับซาหลิวชิงด้วยเช่นกัน
สำนักโบราณจรัสเทพ!
นี่ทำให้เนตรงามของอาหูยังนิ่งค้างฉับพลัน กล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นทูตเทพพยากรณ์คนหนึ่ง มิน่าถึงได้มีฝีมือที่ลี้ลับระดับนั้น”
ส่วนในใจหลินสวินก็ไม่อาจสงบได้เช่นกัน
เขานึกถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่ง
ปีนั้นยามสังหารจู๋อิ้งคงในสมรภูมิเก้าดินแดน เขาเคยถามข้อมูลข่าวเกี่ยวกับกึ่งจักรพรรดิปาฉีจากจู๋อิ้งคง
จนกระทั่งก่อนจู๋อิ้งคงจะสิ้นใจ ถึงได้ให้คำตอบว่า…
ปาฉีเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของ ‘สำนักโบราณจรัสเทพ’ แห่งดินแดนโบราณยอดหยิน ซ่อนตัวในชายแดนมานานปี มีปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ!
หนำซ้ำตอนนั้นจู๋อิ้งคงยังเอ่ยพูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม ว่าจากรากฐานพลังของหลินสวิน บางทีในอนาคตตอนที่เหยียบย่างระดับกึ่งจักรพรรดิอาจสามารถฆ่าปาฉีตายได้สบายๆ แต่ก็จะไม่อาจแบกรับเพลิงโทสะของสำนักโบราณจรัสเทพได้ไหวด้วยเหตุนี้เช่นเดียวกัน
ตอนนั้นหลินสวินไม่เชื่อสักนิด
จู๋อิ้งคงก็ไม่ได้กล่าวอธิบาย เพียงแต่กล่าวว่า ‘ภายหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง ว่าสำนักโบราณจรัสเทพเป็นขุมอำนาจที่น่ากลัวแค่ไหน’
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าซาหลิวชิงนั่นดันมาจากสำนักโบราณจรัสเทพด้วย!
“สำนักโบราณจรัสเทพร้ายกาจมากหรือ”
หลินสวินตระหนักได้ว่าสภาพอารมณ์ของอาหูแปลกไปเล็กน้อย
“ในโลกมืดบนทางเดินโบราณฟ้าดารา สำนักโบราณจรัสเทพถูกมองเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ ขุมอำนาจนี้…”
ต่อมาอาหูก็เล่าข้อมูลบางส่วนของสำนักโบราณจรัสเทพให้หลินสวินฟังโดยละเอียด
ไม่นานหลินสวินก็เข้าใจ นี่ก็คือกลุ่มนักฆ่าที่เร้นลับแห่งหนึ่ง ผู้สืบทอดสำนักนี้ถูกขนานนามว่า ‘ทูตเทพพยากรณ์’ ไปมาเร้นลับ ลงมือเลือดเย็น
ที่ทำให้คนกริ่งเกรงมากที่สุดก็คือสำนักนี้ลึกลับถึงที่สุด มาจากโลกมืด ไม่มีใครรู้ว่ารากฐานพลังของสำนักนี้น่าสะพรึงแค่ไหนกันแน่
“สำนักนี้มี ‘กระดานเทพลงทัณฑ์’ กระดานหนึ่ง ขอเพียงเป็นเป้าหมายที่ถูกจับจ้อง ล้วนถูกบันทึกลงบนกระดานนี้ ข้าสงสัยว่า…”
“เจ้าสงสัยว่าชื่อของข้าก็ถูกใส่ลงในนั้นด้วย?”
หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว
นักฆ่า มาไร้เงาไปไร้ร่องรอย ทำให้ผู้คนยากจะป้องกันมากที่สุด หากถูกกลุ่มนักฆ่าที่เร้นลับน่าสะพรึงเช่นนี้หมายหัว ก็ทำให้คนปวดหัวยิ่งจริงๆ
อาหูร้องอืมคราหนึ่ง กล่าวด้วยแววตาแปลกพิกล “ในสามยักษ์ใหญ่โลกมืดฟ้าดารา นอกจากสำนักโบราณจรัสเทพแล้วยังมีแดนกษิติครรภ์ ลาหัวโล้นพวกนั้นอ้างตนว่าเป็นผู้หลุดพ้น ยึดการกำจัดมารนอกรีตบนโลกเป็นหน้าที่แห่งตน เจ้าอย่าลืมเชียว ลาหัวโล้นพวกนั้นก็หมายหัวเจ้ามาตั้งนานแล้วเช่นกัน”
หลินสวินอึ้งไป “แดนกษิติครรภ์กับอารามกษิติครรภ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร”
อาหูรีบอธิบายฉับไว “อารามกษิติครรภ์เป็นแขนงย่อยแห่งหนึ่งของแดนกษิติครรภ์ สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘สายนอก’ ผู้สืบทอด ‘สายใน’ อย่างแท้จริงแต่ไรมาไม่เคยเปิดเผยตัวตนของตนเองเลย”
หลินสวินจนคำพูดไปพักหนึ่งอย่างอดไม่ได้
บุญคุณความแค้นของเขากับอารามกษิติครรภ์ ยังต้องย้อนความตั้งแต่ได้รับ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ที่อริยสงฆ์ตู้จี้เหลือทิ้งไว้ ในช่วงหลายปีนี้เขาสังหารผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ไปไม่น้อยทีเดียว
อย่างเช่นสิบแปดศิษย์กษิติครรภ์ หรืออย่างอริยะที่ชื่อฝ่าหลิน…
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าอารามกษิติครรภ์ที่ตั้งอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ จะถึงกับยังมีแหล่งกำเนิดที่พิเศษเช่นนี้กับ ‘แดนกษิติครรภ์’ ในโลกมืดฟ้าดาราด้วย
“กล่าวเช่นนี้ ภิกษุชุดดำคนนั้นที่พวกเราเจอก่อนหน้านี้ เกรงว่าไม่ได้มาจากอารามกษิติครรภ์ แต่มาจากแดนกษิติครรภ์สินะ”
นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก นึกถึงภิกษุชุดดำซึ่งกลางหน้าผากประทับลายดอกบัวดำที่เคยเจอก่อนหน้านี้ไม่นาน
ถูกขุมอำนาจสองยักษ์ใหญ่ในโลกมืดฟ้าดาราหมายหัวในคราวเดียว หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าจิตมรรคต้องพังทลายเป็นแน่
หลินสวินกลับไม่ถึงขั้นหวาดผวาและเกรงกลัว แต่ก็อดเสียววาบไม่ได้เช่นกัน ขมวดคิ้วมุ่นไม่เลิก
เขาเข้าใจวิธีการลงมือของอารามกษิติครรภ์มากที่สุด ลาหัวโล้นพวกนั้นแต่ละคนเลือดเย็นและไม่กลัวตาย เพื่อจะฆ่าศัตรู ไม่หวั่นกลัวความเป็นความตายเลยสักนิด
“ทำไม เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วหรือ”
อาหูเอ่ยแซวหนึ่งประโยค
หลินสวินลูบจมูกป้อยๆ กล่าวว่า “ข้าแค่กลัวความวุ่นวาย ถูกแมลงวันฝูงหนึ่งจ้องเล่นงานก็น่ารำคาญพอแล้ว ตอนนี้กลับดีนัก ดันมีแมลงวันโผล่มาอีกฝูง”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวอย่างใคร่รู้ “จริงสิ ขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อีกหนึ่งแห่งในโลกมืดนั่นคือที่ไหน”
เนตรงามของอาหูวาบประกายพราว กล่าวว่า “หอวิหคทองแดง ขุมอำนาจที่แผ่อิทธิพลไปในโลกมืด ปกครององค์กรเร้นลับของ ‘แดนปั่นป่วน’ และ ‘โลกใต้พิภพ’”
“ในตอนนี้ บน ‘กระดานรางวัลค่าหัว’ ที่แพร่หลายในทางเดินโบราณฟ้าดารา นักโทษโฉดชั่วเกือบเก้าส่วน แทบทั้งหมดล้วนมาจากอาณาเขตโลกมืดที่หอวิหคทองแดงปกครองทั้งนั้น”
“ต่างจากสำนักโบราณจรัสเทพและแดนกษิติครรภ์ หอวิหคทองแดงเหมือนนายเหนือหัวที่คอยควบคุมระเบียบในโลกมืด ใช้บัญชาสูงสุดและพลังที่กร้าวแกร่งปกครองโลกมืด”
“ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าหากไม่มีหอวิหคทองแดงคอยปกครอง เมื่อระเบียบของโลกมืดพังทลาย พวกชั่วร้ายโหดเหี้ยมที่กระจายตัวในโลกมืดพวกนั้นจะต้องไหลกรูออกมา ทะลักเข้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดารา นำมาซึ่งเคราะห์สังหารและหายนะที่ไม่อาจจินตนาการ”
กล่าวถึงตรงนี้อาหูทอดสายตามองหลินสวิน กล่าวว่า “เจ้ารู้สึกว่าขุมอำนาจอย่างหอวิหคทองแดงไม่เหมือนยักษ์ใหญ่ในโลกมืดเลยใช่หรือไม่”
หลินสวินพยักหน้า
“น่าเสียดาย ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่บนโลกนี้ไม่ได้คิดเช่นนั้น”
อาหูกล่าวว่า “ในความเห็นพวกเขา หากไม่มีการคุ้มครองของหอวิหคทองแดง นักโทษโหดเหี้ยมชั่วร้ายที่กระจายตัวอยู่ในโลกมืด ป่านนี้คงถูกฆ่าไม่เหลือกซากนานแล้ว ‘โลกใต้พิภพ’ และ ‘แดนปั่นป่วน’ ที่เรียกกันก็คงถูกเหยียบย่ำและกำจัดทิ้งไปนานแล้ว”
หลินสวินอึ้งไป กล่าวคล้ายใคร่ครวญ “แล้วเจ้าล่ะ มองหอวิหคทองแดงอย่างไร”
แววตาอาหูวับวาว สีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก เอ่ยอย่างจริงจัง “ข้ารู้เพียงว่า หากปราศจากหอวิหคทองแดงปกครองโลกมืด ป่านนี้ทางเดินโบราณฟ้าดาราคงวุ่นวายไปนานแล้ว!”
——