‘ตอนนั้นเขาจะตัดต้นท้อแบนไปเป็นไม้ฟืน ส่วนตอนนี้เจ้าจะเอาดินอัศจรรย์ห้าสีไปปลูกต้นไม้… พวกเจ้าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไร้เหตุผลเช่นนี้กันหมดเลยหรือ…’
เสียงเจือความหน่ายใจและแฝงแววหัวเราะ คล้ายรู้สึกว่าการกระทำนี้มีลักษณะเหมือนคนในตอนนั้น
หลินสวินยิ้มเจื่อนไม่หยุด เขาจะคิดได้อย่างไรว่าเงาร่างสีม่วงนั้นไม่ได้หายไปโดยสมบูรณ์ แต่มองดูทุกๆ การกระทำของเขาอยู่
‘เอาไปเถอะ’
ครู่ต่อมาดินขนาดเท่าเบาะรองนั่งก้อนหนึ่งก็เคลื่อนออกมาจากผืนดิน
มันแผ่ประกายเทพห้าสีคือเขียว ทอง ขาว แดงและดำ พลังขับเคลื่อนเจตะที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าราวกับหมอกปั่นป่วนเทลงมา อัศจรรย์หาใดเทียบ
‘ขอบคุณผู้อาวุโส’
ในใจหลินสวินปรีดา รีบรับมาแล้วย่อให้เล็กลงไปไม่รู้กี่เท่าอย่างฉับไว จากนั้นนำต้นเทพฝูซางที่ตอนนี้เหลือขนาดเท่าฝ่ามือปลูกลงไปในนั้น
ซ่า!
ใบไม้สีแดงเพลิงของต้นเทพฝูซางพลิกไหวไปมา คล้ายตื่นเต้นดีใจไม่หยุด สาดจิตวิญญาณที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา
หลินสวินเก็บต้นเทพฝูซางกับดินอัศจรรย์ห้าสีไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หันไปค้อมกายแสดงความเคารพน้อยๆ ให้ต้นท้อแบน แล้วจากไปด้วยกันกับอาหู
“เมื่อกี้เหมือนมีคนกำลังพูดคุยกับเจ้าหรือเปล่า”
“อืม ผู้อาวุโสซึ่งมีที่มาลึกลับท่านหนึ่ง มีความเป็นมาบางอย่างเกี่ยวพันกับศิษย์พี่คนหนึ่งในคีรีดวงกมล”
“อย่างนี้นี่เอง มิน่าเจ้าถึงปีนต้นท้อแบนนั้นได้”
“ปีนหรือ เจ้าว่าข้าเหมือนลิงหรือ”
“ฮ่าๆ นี่เจ้าพูดเองนะ”
ทั้งสองสนทนากันพลางเดินผ่านป่าดอกท้อที่กระจายอยู่เต็มเขานั้นด้วยกัน เงาร่างเดินไกลออกไปช้าๆ
ยอดต้นท้อแบน กลางทะเลเมฆ เงาร่างสีม่วงดั่งประกายแสงเมฆ มองดูหนุ่มสาวคู่นั้นจากไปเงียบๆ
‘เขาครอบครองเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดอยู่ ทั้งยังสืบทอดวิชาอริยะยุทธ์ที่เจ้าเหลือทิ้งไว้ด้วย แต่ขนาดข้าเป็นใครยังไม่รู้…’
‘ทว่าข้ารู้ว่าเขาเป็นศิษย์น้องเล็กของเจ้า สุดท้ายสักวันหนึ่งเขาก็ต้องเหยียบย่างในแดนเซียน สะท้านทั่วหล้าเหมือนกับเจ้าแน่…’
เงาร่างสีม่วงคิดถึงตรงนี้ มุมปากก็เผยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้
……
ก่อนออกจากแดนลับป่าท้อ จู่ๆ อาหูก็หยุดเดินแล้วเอ่ยว่า “ภายหน้าอย่ามุทะลุแบบนั้นอีกนะ”
นางพูดพลางขยิบตาเจ้าเล่ห์ให้หลินสวิน ก่อนย่างเท้าเข้าไปในประตูที่เชื่อมไปยังโลกภายนอกนั้น
ชุดสีเหลืองปลิวไสว พลิ้วเบาแผ่วลอย สดใสมีชีวิตชีวาสมตัวนาง
หลินสวินอึ้งไป จากนั้นก็พลันยิ้มพลางส่ายหัว แล้วเหยียบย่างเข้าไปในประตูบานนั้นเช่นกัน
วู้ม…
ในขณะเดียวกับที่มีเสียงดังแปลกประหลาด แดนลับป่าท้อก็เงียบลงไป
……
พวกหลินสวินเข้าไปในแดนลับป่าท้อ ตั้งแต่เริ่มจนจบยังไม่ถึงสิบกว่าวัน แต่ในโบราณสถานคุณหลุนกลับเกิดเรื่องโกลาหลนองเลือดมากมายอย่างยิ่ง
ด้วยมีฐานะเป็นหนี่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล ภายในโบราณสถานคุนหลุนมีวาสนาไม่รู้เท่าไรซุกซ่อนอยู่ ในช่วงหลายวันมานี้ บริเวณใกล้เคียงแดนวาสนาบางแห่งเกิดเหตุปะทะนองเลือดขึ้นแทบทุกเวลา
มีผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไรสิ้นชีพ ตายไปด้วยความแค้น
ส่วนคนที่สามารถชิงศุภโชคไปได้ในที่สุด ลงท้ายก็เป็นคนส่วนน้อย
เมื่อหลินสวินกับอาหูเดินออกมาจากป่าที่ถูกเรียกขานว่า ‘รังหนอนเซียนโบราณ’ นั้น ก็ได้ยินข่าวลือสะท้านสะเทือน
“บนภูเขาพญามังกรเกิดศึกใหญ่สะท้านโลก เหล่าผู้กล้าต่อสู้กันดุเดือด ย้อมม่านฟ้าให้แดงฉาน!”
“ลือกันว่าภูเขาพญามังกรเป็นหนึ่งในแดนลับใหญ่ทั้งเก้าของโบราณสถานคุนหลุน ใครปีนขึ้นไปถึงยอดได้ ผู้นั้นก็จะสร้างรากฐานพลังบรรลุจักรพรรดิได้!”
“น่ากลัวจัง บนภูเขาพญามังกรมีมกุฎมหาอริยะตายเป็นห่าฝน!”
……
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกมา ทั้งสี่ทิศล้วนสั่นสะเทือน
ราวกับคลื่นพายุที่ม้วนตลบโบราณสถานคุนหลุน ผู้ฝึกปราณทุกคนที่กระจายตัวช่วงชิงวาสนาอยู่ตามที่ต่างๆ ล้วนตกตะลึง
ต่อมาก็มีข่าวกระจายออกมาอีก…
“มีคนถือป้ายคำสั่งเซียนเหินปีนขึ้นไปบนยอดเขาพญามังกร แล้วหายไปในแดนผนึกลึกลับ”
ชั่วขณะเดียวในโบราณสถานคุนหลุนยิ่งโกลาหลแล้ว ภูเขาพญามังกรเหมือนกลายเป็นจุดสนใจของผู้ฝึกปราณทุกคน
รากฐานพลังบรรลุจักรพรรดิ!
ยอดศุภโชคเช่นนี้สามารถทำให้ผู้มีปราณระดับอริยะทุกคนคลั่ง หากอยู่ในโลกภายนอก ถึงกับจะดึงดูดให้เกิดศึกนองเลือดระหว่างขุมอำนาจใหญ่ได้
เพราะการบรรลุจักรพรรดิช่างยากเย็นยิ่งนัก หมื่นพันปียังไม่เห็นผู้มีระดับจักรพรรดิปรากฏตัวสักคน
ถ้าได้ครอบครองรากฐานพลังบรรลุจักรพรรดิ ภายหน้าต้องได้รับโอกาสแจ้งมรรคระดับจักรพรรดิแน่!
ดูเหมือนเป็นเพียงโอกาสเดียว ทว่าความจริงแล้วก็เพราะโอกาสเช่นนี้ ขวางหนทางแห่งมหาจักรพรรดิของผู้โดดเด่นมากความสามารถไม่รู้เท่าไร
อย่างเช่นระดับกึ่งจักรพรรดิกับระดับครึ่งก้าวสู่จักรพรรดิในโลกตอนนี้มีมากมายเพียงไหน พวกเขามีชีวิตอยู่ไม่รู้นานเท่าไรแล้ว แต่กระทั่งตอนนี้ยังมีคนบรรลุระดับจักรพรรดิได้จริงๆ เพียงน้อยนิด
เพราะเหตุใดหรือ
เพราะขาดโอกาสเช่นนี้ไป!
ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าศุภโชคที่ปรากฏขึ้นบนภูเขาพญามังกรเกี่ยวข้องกับการสร้างรากฐานบรรลุจักรพรรดิ แค่คิดก็รู้ว่าความอึกทึกครึกโครมที่ดึงดูดมาจะใหญ่โตปานไหน
หลินสวินกับอาหูได้ยินเสียงเล่าลือกันแล้วก็ต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้
‘มีคนถือป้ายคำสั่งเซียนเหินปีนขึ้นไปบนยอดเขาพญามังกร หรือจะเป็นสักคนหนึ่งในพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่’
หลินสวินครุ่นคิด
“อยากไปดูหน่อยไหม” อาหูเอ่ย
“ที่นั่นมีเหล่าผู้กล้ารวมตัว เลือดไหลเป็นธาร กลายเป็นที่ที่ถูกจับตามองที่สุดในโบราณสถานคุนหลุนไปนานแล้ว ถ้าไปตอนนี้ต้องอันตรายถึงที่สุดแน่”
หลินสวินลังเลอยู่บ้าง
เขาไม่ได้กริ่งเกรง แต่เป็นเพราะคิดว่าตอนนี้เคลื่อนไหวอย่างไรก็ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง เสียโอกาสครองความได้เปรียบในการปีนขึ้นยอดเขาพญามังกร มีแต่จะเสียมากกว่าได้
อาหูใคร่ครวญก่อนเอ่ยว่า “ข้าว่าการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ภูเขาพญามังกรคราวนี้ ดูไม่เกี่ยวข้องกับรากฐานบรรลุจักรพรรดิจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วที่หูได้ยินเป็นเรื่องลวง ที่ตาเห็นเป็นเรื่องจริง”
หลินสวินตะลึง “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
อาหูกล่าว “ภูเขาพญามังกรเป็นหนึ่งในแดนลับทั้งเก้าที่มีชื่อเสียงในโบราณสถานคุนหลุน ในอดีตก็ถูกผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไรสำรวจ แต่ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครเคยสร้างรากฐานพลังบรรลุจักรพรรดิที่นั่น”
“เจ้าสงสัยว่าจะเป็นข่าวปลอมหรือ” หลินสวินงุนงง
“พูดยาก”
อาหูเอ่ย “เจ้าก็ได้ยินไม่ใช่หรือว่ามีคนที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินปีนไปถึงยอดเขาพญามังกร เข้าไปในแดนผนึกลึกลับแห่งหนึ่งแล้ว”
ดวงตาดำของหลินสวินหดรัด “คงไม่ใช่ว่ามีคนปล่อยข่าว คิดจะล่อให้ผู้แข็งแกร่งที่มีป้ายคำสั่งเซียนเหินไปที่ภูเขาพญามังกรหรอกใช่ไหม”
อาหูกลับอึ้งไปแล้วพูดว่า “ที่เจ้าพูดก็เป็นไปได้ ถึงอย่างไรในโบราณสถานคุนหลุนแห่งนี้ ใครได้ครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหินก็เท่ากับมีไพ่ตายชิ้นหนึ่งไว้สำรวจแดนผนึกอันตราย ไม่ว่าใครก็อิจฉาตาร้อน”
สังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจหลินสวิน “ถ้าเป็นไปตามการคาดเดาของข้าจริงๆ เช่นนั้นข่าวที่แพร่กระจายจากบนภูเขาพญามังกรนั้น ความจริงแล้วเป็นการสร้างสถานการณ์ เป้าหมายก็เพื่อล่อให้คนที่ครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหินไป…”
พอพูดถึงตรงนี้แววแน่วแน่ก็ฉายวาบในดวงตาของหลินสวิน “ไม่ได้ ข้าต้องไปด้วยตัวเอง ไปดูสักหน่อยว่าเป็นอย่างนี้จริงหรือไม่”
อาหูนิ่วหน้าเอ่ย “ถ้าเป็นการสร้างสถานการณ์จริง จะไม่ใช่เจ้าโยนตัวเองลงแหหรอกหรือ”
หลินสวินส่ายหัว “ข้าไม่ได้กลัวเรื่องพวกนี้ ที่ข้าเป็นห่วงก็คือสหายที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินเข้ามาในแหล่งสถานคุนหลุนเหมือนข้า เกิดพวกเขาถูกข่าวพวกนั้นดึงดูด แล้วไปเสาะหาศุภโชคที่เกี่ยวข้องกับรากฐานบรรลุจักรพรรดิที่เขาพญามังกรก็จะอันตรายเกินไปแล้ว”
อาหูเข้าใจในทันใด เอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าไปกับเจ้าสักรอบ”
“ดี!”
ทั้งสองออกเคลื่อนไหวทันที
ตำแหน่งภูเขาพญามังกรสืบมาได้อย่างง่ายดายนัก ตอนนี้ในโบราณสถานคุนหลุนมีข่าวที่เกี่ยวข้องกับที่นี่เต็มไปหมด
“ทุกคนดูสิ”
“พญาเผิงปีกทองทรงอำนาจตัวหนึ่ง นี่คงเป็นพญาเผิงเลือดบริสุทธิ์กระมัง แต่ถึงกับถูกกู่ฉางซินเหยียบไว้กับพื้น ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง”
“นี่เป็นข่าวที่เพิ่งแว่วมาจากภูเขาพญามังกร บอกว่าพญาเผิงปีกทองตัวนี้ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินคิดจะแอบปีนขึ้นยอดเขา แต่ถูกกู่ฉางซินกำราบในการโจมตีเดียว!”
ระหว่างทางหลินสวินสังเกตได้ว่ามีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งรวมตัวอยู่ด้วยกัน ในกลุ่มนั้นมีผู้ฝึกปราณคนหนึ่งถือกระจกทองแดงที่เรียบลื่นบานหนึ่งกำลังสนทนาอะไรอยู่
พญาเผิงปีกทองหรือ
หลินสวินในใจหดเกร็ง จิตรับรู้แผ่ออกไป ฉับพลันก็สังเกตเห็นภาพที่กำลังสะท้อนอยู่บนกระจกทองแดงนั้น
กู่ฉางซินในชุดดำทั้งตัวยืนบนหินผาแห่งหนึ่ง สีหน้าเย็นชา ใต้เท้าเหยียบนกเผิงปีกทองเจิดจ้าที่ได้รับบาดเจ็บอย่างมากตัวหนึ่ง ปีกถูกหักสะบั้น เลือดไหลริน
นัยน์ตาหลินสวินหดรัด นั่นเหมือนราชันเผิงปีกทองน้อยยิ่งนัก!
‘เป็นการสร้างสถานการณ์จริงหรือ’
หลินสวินกระวนกระวายใจ ราชันเผิงปีกทองน้อยถึงกับถูกกู่ฉางซินกำราบหรือ พวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ล่ะ จะเจอเหตุไม่คาดฝันด้วยหรือเปล่า
“หืม?!”
ทันใดนั้นหลินสวินก็ตัวสะท้าน สังเกตเห็นว่าไม่ไกลจากราชันเผิงปีกทองน้อย มีกระบองเหล็กที่ถูกหักท่อนหนึ่ง
หยวนฝ่าเทียน!
หลินสวินนึกออกแล้ว กระบองเหล็กนี้เป็นสมบัติของหยวนฝ่าเทียน เพียงแต่ตอนนี้กลับเสียหายยับเยินแล้ว
และหลินสวินจำได้ดีว่าหยวนฝ่าเทียนกับราชันเผิงปีกทองน้อยสนิทสนมกันเป็นที่สุด ตอนนี้พวกเขาคนหนึ่งถูกกำราบ คนหนึ่งอาวุธเสียหายยับเยิน ต้องประสบกับเรื่องที่น่ากลัวที่สุดแน่!
ในใจหลินสวินร้อนรุ่มขึ้นมา
เขากล้ามั่นใจแล้วว่าข่าวบนภูเขาพญามังกรที่ว่าต้องเป็นการสร้างสถานการณ์ จงใจจะล่อให้ผู้ที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินมาหา!
จะชักช้าอีกไม่ได้แล้ว หลินสวินรอไม่ไหว รีบมุ่งหน้าเข้าใกล้ภูเขาพญามังกรพร้อมกับอาหู
ปีนั้นไม่ว่าจะเป็นราชันเผิงปีกทองน้อย หยวนฝ่าเทียน หรือพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ ล้วนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มากับเขา เคยอาบเลือดสังหารศัตรูในสมรภูมิเก้าดินแดนมาด้วยกัน เคยร่วมกันเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อป้องกันเมืองอารักษ์มรรคของดินแดนรกร้างโบราณ
และเคยร่ำสุราร่วมถกมรรค ร่วมหัวเราะรื่นเริงด้วยกัน เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายมานานแล้ว!
ยามนี้เห็นพวกเขาประสบเหตุ ได้รับความอับอายถึงที่สุด หลินสวินจะไม่กระวนกระวายใจ ไม่โกรธเคืองได้อย่างไร
‘เจ้าสารเลวพวกนี้ คิดว่าข้าคนแซ่หลินไม่กล้าเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่หรือ’
ดวงตาดำหลินสวินเย็นชาจนน่ากลัว
ภูเขาพญามังกรมีหิมะทับถมขาวโพลนเวิ้งว้างตลอดปี ภูเขานี้ใหญ่นัก สูงตระหง่านเหนือผืนดิน หนักแน่นแผ่ขยาย ในภูเขามีหมอกขมุกขมัว
หลายวันมานี้ที่นี่มีเลือดไหลรินไม่ขาดสาย ความขัดแย้งดุเดือดหาใดเทียบปะทุขึ้น เพียงเพราะข่าวลือว่ายอดเขาพญามังกรมียอดวาสนาที่เกี่ยวข้องกับรากฐานบรรลุจักรพรรดิ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยคลื่นลม ดึงดูดผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไรมาซุ่มดู
ทว่าภูเขาลูกนี้สมเป็นภูเขาเทพที่อยู่ในโบราณสถานคุนหลุน ไม่ว่าจะปะทะกันดุเดือดปานไหน ตัวภูเขากลับแข็งแกร่งมั่นคงดั่งโลหะเทพ ไม่ยุบตัวเสียหาย
เพียงแต่กองหิมะขาวโพลนบนภูเขา โดยมากถูกเลือดสดๆ ย้อมเป็นสีแดงบาดตาไปแล้ว
เมื่อหลินสวินกับอาหูเข้าใกล้บริเวณนี้ กลับพบอย่างน่าประหลาดว่าผู้ฝึกปราณไม่น้อยย้อนกลับมาจากภูเขาพญามังกร
บ้างคอตกท้อแท้ บ้างสีหน้าอึมครึม บ้างเจือความแค้นและชิงชัง…
พอสืบดูเล็กน้อย หลินสวินจึงรู้ว่าบนภูเขาพญามังกรตอนนี้ถูกผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่อย่างเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ เรือนมรรคจักรวาล เผ่านักรบกิเลนโลหิต เผ่านักรบเถาอู้ผนึกไว้โดยสมบูรณ์ ห้ามไม่ให้ผู้แข็งแกร่งผ่านไป!