ภูผาธาราแห้งแล้ง โกรกธารตัดขวาง ฝุ่นทรายเต็มฟ้า
ที่นี่ไม่มีหญ้าขึ้นแม้แต่นิดเดียว ไม่มีคลื่นพลังชีวิต มีเพียงลมคลั่งดั่งดาบเย็นเยียบหวีดหวิว ส่งเสียงครวญเหมือนเทพผีกรรแสง
จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ขยาย ผ่านไปครู่หนึ่งแววอึมครึมก็ปรากฏที่หว่างคิ้ว
ที่นี่ไม่เพียงไม่มีพลังชีวิต แม้แต่พลังมหามรรคยังไม่มีอยู่ ไม่อาจรับรู้ได้!
ฟ้าดินมีพลังมหามรรคปกคลุม ถึงก่อให้เกิดพลังลึกลับอย่างไอวิญญาณ ไอดั้งเดิม ไอแรกกำเนิดที่จำเป็นกับการฝึกปราณ
เปรียบดั่งน้ำในสายธาร ส่วนผู้ฝึกปราณก็เป็นดั่งปลาที่แหวกว่ายในน้ำ ถ้าไม่มีน้ำ จะไปพูดเรื่องการฝึกปราณอะไรได้อีก
สวบ!
หลินสวินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เงาร่างทะลุเมฆา พันจั้ง หมื่นจั้ง…
ไม่ทันไรเขาก็มาถึงเหนือม่านฟ้า ยืนบนห้วงอากาศมองลงไป แล้วจึงสังเกตเห็นว่าที่ที่ตนยืนอยู่เมื่อกี้ถึงกับเป็นดาวดวงหนึ่ง
ทว่าดาวดวงนี้ดูแห้งแล้งและมืดมนหาใดเทียบ
“ที่นี่มันที่ไหนกัน”
หลินสวินสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ หากอยู่ที่โลกสักแห่งหนึ่งจะต้องมีกฎระเบียบโลก กฎเกณฑ์วัฏจักร
แต่ที่นี่สัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของ ‘โลก’ สักนิด
สวบ!
หลินสวินทะยานต่อไป ขึ้นไปสูงไม่หยุด เขาค่อยๆ เห็นดวงดาวมากมายในครรลองสายตา บ้างเปล่งประกายส่องสว่าง บ้างมืดมนอับแสง บ้างรวมตัวเป็นวัฏจักรเมฆดารา บ้างแปรสภาพเป็นธารดาราไหลเวียน…
‘บนฟ้าดาราหรือ’
หลินสวินอึ้งไป
สิ่งที่เห็นตรงหน้าใหญ่โตโอฬารและงดงาม ดวงดาวเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ห้วงอากาศไร้สิ้นสุด ทัศนียภาพอันไพศาลสุดลูกหูลูกตาน่าหลงใหล
แต่พอนานไปกลับชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยวและห่อเหี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เปรียบดั่งหลงอยู่ภายในนั้น ไม่รู้เส้นทางกลับ ไม่รู้หนทางข้างหน้า
ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงดาวส่องสว่างเปล่งประกายดวงหนึ่ง บินทะยานอยู่ภายในนั้น เมื่อแผ่จิตรับรู้ออกไปครู่ใหญ่หลินสวินก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น
ที่นี่ยังไม่มีกลิ่นอายพลังชีวิตและมหามรรคแต่อย่างใด!
หลินสวินไม่เชื่อ ในเวลาต่อมาเงาร่างเขาไหววูบ พุ่งทะลวงไปบนฟ้าดารา ปรากฏตัวบนพื้นผิวดาวดวงแล้วดวงเล่า ตามหาอยู่ครู่ใหญ่ สืบค้นอยู่นาน…
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย!
อย่างกับฟ้าดาราอันใหญ่โตแห่งนี้ถูกมหามรรคละทิ้ง ไม่มีพลังชีวิตโดยสิ้นเชิง
ส่วนเขาหลินสวิน ก็เหมือนนักโทษที่ถูกเนรเทศอยู่ในนั้น…
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
ผ่านไปหลายชั่วยามหลินสวินยืนอยู่บนฟ้าดารา สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
ไม่มีพลังชีวิตกับพลังมหามรรค ก็หมายความว่าจะหาพลังที่ใช้สำหรับการฝึกปราณไม่ได้ ถ้าผ่านไปนานเข้า เช่นนั้นผลลัพธ์ก็จะรุนแรงหาใดเทียบ
เปรียบดั่งคนธรรมดาไม่มีอาหารก็ต้องหิวตาย ผู้ฝึกปราณหากไม่มีพลังที่ใช้กับการฝึกปราณได้ ก็ย่อมค่อยๆ อ่อนแอลง… จนตายไป!
“ใช่แล้ว!”
ทันใดนั้นหลินสวินก็ยื่นมือออกมาพลิก เครื่องมือสำริดรูปลักษณ์เรียบง่ายชิ้นหนึ่งก็ปรากฏออกมา
มันมีรูปร่างคล้ายตะเกียง พื้นผิวปกคลุมด้วยลายมหามรรคแน่นขนัดคลุมเครือ ที่ไส้ตะเกียงมีเข็มชี้เหมือนงูมังกรเข็มหนึ่ง
พันฤกษ์วัฏจักรนำพา!
สมบัติที่ได้มาตอนฝ่าด่านที่ห้องโถงมรรคาสวรรค์
ยามหลงทางอยู่กลางทะเลดาราไร้สิ้นสุด ตกอยู่ในเขาวงกตฟ้าดิน หลงเข้าไปในสถานการณ์ยากลำบากมากอันตราย… ล้วนสามารถใช้สมบัตินี้มาอนุมานทางรอดได้!
วิ้ง!
พอหลินสวินกระตุ้นสมบัตินี้ เข็มรูปร่างเหมือนมังกรนั้นก็ส่องแสง หมุนวนวิ้งๆ ขึ้นตามไปด้วย ในที่สุดแสงสว่างก็รวมตัว เข็มหยุดนิ่งชี้ไปทางหนึ่ง
ความอึมครึมที่หว่างคิ้วของหลินสวินถูกขจัดไปสิ้น ใช้ได้ดังคาด!
ครู่ต่อมาเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว ใช้ ‘พันฤกษ์วัฏจักรนำพา’ นำทาง บินท่องฟ้าดาราเคลื่อนตัวออกไปไกล
เวลาผันผ่านไปทีละนิด…
หากเข็มชี้ของพันฤกษ์วัฏจักรนำพาเปลี่ยนทิศเป็นครั้งคราว หลินสวินก็จะปรับทิศทางการเคลื่อนไหวตามไปด้วย
ท่ามกลางฟ้าดาราอันเวิ้งว้าง มีเพียงเขาท่องทะยานเพียงลำพัง ตลอดทางไม่พบอันตรายแต่อย่างใด แต่บรรยากาศโดดเดี่ยวเงียบเชียบที่มีอยู่ทั่วไปหมดนั้นกลับทำให้รู้สึกอึดอัดใจ
สามวันผ่านไป
หลินสวินต้องหยุดเดินทาง เพราะการทะยานบนฟ้าดาราต่อเนื่อง ทำให้เขาใช้พลังกายไปจนเกือบแห้งเหือด
สวบ!
ผ่านไปครู่หนึ่งเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏตัวบนดาวดวงหนึ่ง เขาเอาโอสถเทพออกมาจำนวนหนึ่งแล้วเริ่มนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังกาย
ท่ามกลางฟ้าดาราอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ ไม่มีพลังชีวิตกับกลิ่นอายมหามรรคอยู่สักนิด ที่โชคดีก็คือ หลินสวินเก็บโอสถเทพกับวัตถุดิบวิญญาณจำนวนมากไว้กับตัว เพียงพอจะทำให้เขาไม่ต้องกังวลกับการเติมพลังกายได้พักใหญ่
แต่หลินสวินกลับรู้สึกถึงวิกฤตอย่างหนึ่ง
เขาท่องทะยานมาหลายวันแล้ว แต่ยังหา ‘ทางรอด’ ไม่พบดังเดิม ถ้าผ่านไปนานเข้า เช่นนั้นต่อให้สมบัติที่อยู่กับตัวเขามีมากแค่ไหน ก็ต้องถูกใช้จนหมดเข้าสักวัน!
‘หลังจากนี้ต้องประหยัดพลังกาย จะสิ้นเปลืองไม่ได้อีกแม้แต่นิดเดียว แต่ว่าจะเอาแต่ประหยัดก็ไม่เหมาะ ต้องคิดหาวิธีที่ปลอดภัยด้วยถึงจะถูก…’
หลินสวินนั่งสมาธิพลางครุ่นคิด
‘ไม่มีพลังชีวิต ไม่มีพลังมหามรรค ก็เหมือนถูกสวรรค์ทอดทิ้ง ข้าไม่เคยสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ สำหรับข้าแล้วกลับเป็นโอกาสได้ขัดเกลาอย่างไม่เคยมีมาก่อน!’
‘ข้าอุทิศตนเป็นอริยบุคคลแล้ว ก้าวต่อไปก็คือระดับราชันอริยะ ถ้าก้าวข้ามสถานการณ์ ‘คับขัน’ เช่นนี้ไปได้ การแปรสภาพที่เกิดขึ้นต้องต่างจากธรรมดามากแน่…’
พอคิดถึงตรงนี้จู่ๆ หลินสวินก็ใจกระตุก ‘ที่นี่ไม่มีกลิ่นอายมหามรรค ถ้าเป็นตอนทะลวงระดับ จะดึงดูดเคราะห์ราชันอริยมรรคหรือไม่’
‘เจ้าที่บ้าๆ นี่… ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน!’
ในที่สุดหลินสวินก็ยิ้ม สภาวะจิตของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบเชียบโดยไม่รู้ตัว
ก่อนหน้านี้เขามองฟ้าดาราแห่งนี้เหมือนกรงขัง แห้งแล้งไร้พลังชีวิต ขนาดมหามรรคยังไม่มีอยู่ ชวนให้อึดอัดเหมือนถูกเนรเทศอยู่ภายใน ร้อนใจอยากจะหนีออกจากกรงให้ได้
แต่ตอนนี้เขากลับพบว่าสถานการณ์ที่เหมือน ‘คับขัน’ เช่นนี้ กลับเป็นการขัดเกลาที่พบได้ยากนักครั้งหนึ่ง!
หากยังยืนหยัดต่อไปได้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ภายหน้าจะยังมีที่คับขันใดที่รับไม่ไหวอีก
อีกอย่างการฝึกปราณในนี้ยังได้สัมผัสถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ประสบการณ์เช่นนี้ก็ย่อมมีประโยชน์ส่งเสริมมรรควิถีของตนอย่างเหลือประมาณแน่!
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลินสวินออกเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง
เงาร่างเขาผ่อนคลายโดยสิ้นเชิงเหนือฟ้าดารา ใช้พลังจิตรับรู้อันกว้างใหญ่ควบคุมพลังที่อยู่รอบกายตนทุกกระเบียดอย่างแม่นยำ ทำเช่นนี้เพื่อประหยัดพลังที่หมดเปลืองไปตอนท่องทะยาน
ในขณะเดียวกันสภาวะจิตของเขาปลอดโปร่ง กำลังขัดเกลาและหยั่งรู้คัมภีร์มหามรรคหวงถิง หลอมจิตแห่งอวัยวะตันห้าภายในร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์คับขันหรือไม่ ขอเพียงสภาวะจิตเหมือนเดิม ทุกที่ล้วนเป็นที่ฝึกปราณ!
การท่องทะยานคราวนี้ดำเนินอยู่ห้าวัน พลังกายของหลินสวินถึงแทบแห้งเหือด เมื่อเทียบกับคราวก่อน เท่ากับว่าใช้พลังเท่าๆ กันยืนหยัด แต่กลับทนได้มากขึ้นสองวันเต็มๆ!
‘ไม่เลว มีพัฒนาการ ขอเพียงต้องใช้พลังในร่างกายอย่างแม่นยำ ภายหน้าต้องทนได้นานขึ้นแน่…’
หลินสวินกระจ่างแจ้งในใจ
มหาอริยะ ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด พลังที่ครอบครองย่อมเรียกได้ว่าน่าตกตะลึงหาใดเทียบ
แต่หากเอาแต่ไล่ตามความยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียว ทว่าไม่อาจใช้พลังเช่นนี้อย่างเต็มที่และสมบูรณ์ เช่นนั้นย่อมเป็นการสิ้นเปลืองอย่างไม่ต้องสงสัย!
‘ที่ตัวข้าก่อนหน้านี้สามารถสู้กับเหล่าศัตรูได้ สิ่งที่พึ่งพิงคือรากฐานกับความหนาแน่นและแข็งแกร่งของมรรคา แต่ไม่ได้โคจรพลังที่มีอยู่ถึงที่สุด…’
พอหลินสวินรับรู้ถึงจุดนี้ก็เหมือนทำลายโซ่ตรวนในใจไปชั้นหนึ่ง การหยั่งรู้ผุดออกมาราวกับน้ำพุ
‘เผาติงชำแหละวัว ออกแรงเพียงเป่าฝุ่นก็ชำแหละวัวได้ตัวหนึ่ง สิ่งที่เขาพึ่งพิงก็คือความรู้อันลึกซึ้งในสิ่งที่ทำ กับวิถีทางในการใช้พลังของตน และเมื่อวิชาสอดคล้องกับมรรค ก็จะเป็นการใช้พลังอย่างสมบูรณ์ที่สุด…’
‘การใช้พลังเช่นนี้ ไม่เพียงนำมาใช้ท่องทะยานเท่านั้น ยังใช้ในการต่อสู้ได้ด้วย’
‘ถึงตอนนั้นอาจจะเป็นหนึ่งคนชนะสิบ หนึ่งวิชาทลายหมื่นวิชาได้!’
…การหยั่งรู้คราวนี้ดำเนินไปหลายวันเต็มๆ หลินสวินจึงตื่นจากการนั่งสมาธิ เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าดารา ดวงตาดำล้ำลึกและเปล่งประกาย
‘ไป!’
หลินสวินออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้หลังจากผ่านไปสิบวันเต็มๆ พลังกายในตัวเขาจึงใช้ไปจนหมดสิ้น
‘นี่ก็คือความอัศจรรย์ของการใช้พลังสินะ…’
เมื่อยืนอยู่กลางฟ้าดารา หลินสวินก็ทอดถอนใจเช่นนี้
ตั้งแต่วันนี้ไปเขาปลดปล่อยตัวเอง ไม่ยึดติดกับการเสาะหาทางรอด โลดแล่นไปบนฟ้าดาราตามลำพัง ฝึกปราณและหยั่งรู้ทุกชั่วขณะ
หากเหนื่อยล้าอ่อนแรงก็นั่งนิ่งๆ ฟื้นตัว
เดินก็ทำสมาธิ นั่งก็ทำสมาธิ
เยื้องย่างบนฟ้าดารา หยั่งรู้ธรรมชาติของกายมรรค
แก่นมหัศจรรย์รวมในจิต ยามคับขันเคาะด่านมรรค!
……
ครึ่งปีผ่านไป
เงาร่างหลินสวินดั่งขนนกเส้นหนึ่ง ลอยละล่องเดินหน้าอยู่ในห้วงอากาศฟ้าดารา จิตวิญญาณอยู่ในภาวะจะหลับไม่หลับแหล่ จิตใจปลอดโปร่งเล็กน้อย
ส่วนอวัยวะตันห้ามีเสียงร้องครั่นครืนดั่งอสนีถั่งโถม มีท่วงทำนองเทพห้าสีห้าเร้นห้าธาตุห้าธรรมไหลเวียนอบอวล
คลุมเครือขมุกขมัวดั่งความขุ่นมัวแรกกำเนิด คล้ายครรภ์มรรคแท้ที่อยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น!
สภาพเช่นนี้ดำเนินมาแล้วสามเดือนเต็มๆ
ตูม!
วันนี้ ร่างกายของหลินสวินพลันสั่นระรัว หลังเหยียดตรงขึ้นทันใด
ขณะนี้การขับเคลื่อนพลังทั้งกายที่เขาสั่งสมมานานปลดปล่อยออกมาโดยสมบูรณ์ ที่อวัยวะตันห้ามีแสงเทพห้าสาย เขียว แดง ดำ เหลืองและขาวผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว ควบรวมเป็นรัศมีแสงคล้ายตัวอ่อนแต่ละตัว ทุกลมหายใจเข้าออกเกิดเป็นท่วงทำนองอัศจรรย์ราวให้กำเนิดชีวิต
ครรภ์เทพอวัยวะตันห้า!
คัมภีร์มหามรรคหวงถิง แบ่งออกเป็นสี่ระดับใหญ่ได้แก่ ระดับห้าเร้น ระดับห้าสี ระดับห้ากลิ่น และระดับห้าธรรม
เมื่อแรกฝึก หลินสวินใช้พลังปราณระดับมกุฎมหาอริยะของตนเหยียบย่างเข้าสู่ระดับห้าเร้นอย่างง่ายดาย สะสมแก่นวิญญาณของเรือนมรรคที่อวัยวะตันห้าได้เป็นสายๆ
แก่นวิญญาณของเรือนมรรคเหล่านี้เป็นดั่งรูปจำลองมายา คลุมเครือเป็นที่สุด สำแดงประกายเทพห้าชนิดได้แก่ เขียว แดง เหลือง ขาว และดำ
และตอนนี้ พอหลินสวินควบรวมครรภ์เทพอวัยวะตันห้าขึ้นมาได้ การหยั่งรู้คัมภีร์มหามรรคหวงถิงก็ทะลวงระดับใหม่ มาถึงระดับห้าสีได้อย่างราบรื่น!
ในระดับนี้ แก่นวิญญาณทั้งห้าของอวัยวะตันห้าก็จะรวมตัวจนก่อรูปร่างจริง เผย ‘สีสัน’ ของตนออกมา เช่น แก่นวิญญาณไม้เขียวก็จะเผยสีสัน ‘บรรพกาลเขียวครึ้ม พลังชีวิตยืนยาว’
ครรภ์เทพอวัยวะตันห้าในตอนนี้ก็สะท้อน ‘สีสัน’ ห้าสีที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!
กระทั่งมาถึง ‘ระดับห้ากลิ่น’ แก่นวิญญาณทั้งห้าก็จะทลายเปลือกในครรภ์เทพอวัยวะตันห้าออกมา มี ‘กลิ่น’ ของตน ราวกับแต่ละคนแผ่กลิ่นอายที่แตกต่างกันไปออกมา
และ ‘ระดับห้าธรรม’ ก็คือการมีจิตรับรู้และมรรควิถีของตน!
ยามนี้จิตแห่งอวัยวะตันห้าก็จะหลอมออกมาได้ แปรสภาพเป็นธรรมกายห้าร่าง พลังปราณแต่ละร่างล้วนไม่ด้อยไปกว่าร่างต้น ทั้งยังต่างมีอภินิหารและความลึกลับอัศจรรย์
ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินใช้ร่างอริยบุคคล ใช้พลังปราณระดับมหาอริยะขั้นปลายทะลวงถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุด!
——