น้ำเสียงราบเรียบนัก กอปรกับเสียงนุ่มนวลปานสายน้ำนั้นของจวินหวน ไม่มีพลังคุกคามใดให้พูดได้เลยสักนิด
แต่ภิกษุเฒ่าเหี่ยวแห้งกลับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ตูม!
ยานสมบัติทั้งลำระเบิดกระจุยในชั่วพริบตา กระแสปั่นป่วนน่าหวาดหวั่นม้วนตลบแผ่กระจาย
ชั่วพริบตานี้นอกจากภิกษุเฒ่าเหี่ยวแห้งแล้ว ภิกษุชุดดำระดับราชันอริยะที่มีร่างทองอรหันต์คนอื่นๆ ล้วนวิญญาณแตกซ่านท่ามกลางละอองแสงสีชมพูดั่งภาพมายากันหมด
เพียงแต่ภิกษุเฒ่าเหี่ยวแห้งไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาสีหน้าเคร่งเครียด พอมองดูรอบทิศก็พบว่าที่ที่ยืนอยู่ถูก ‘ย้ายฟ้าเปลี่ยนดิน’ ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้แล้ว!
เดิมทีพวกเขากำลังจะไปถึงโลกต้าอวี่ แต่ตอนนี้กลับยืนอยู่เหนือฟ้าดาราอันแปลกตาและกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง โดยรอบเวิ้งว้าง!
จวินหวนยืนอยู่กลางอากาศ เสื้อผ้าทั้งตัวปลิวไสว สองมือไพล่หลัง ท่วงท่าเจ้าสำราญ
แต่ในสายตาของภิกษุเฒ่าเหี่ยวแห้งแล้ว ขณะนี้ชายที่งามจนสะท้านจิตวิญญาณเช่นนี้กลับมีกลิ่นอายที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เขายืนอยู่ตามสบาย แต่กลับเหมือนกลายเป็นนายเหนือหัวเพียงผู้เดียวของฟ้าดาราแห่งนี้ พลังทั้งกายปกคลุมไปสิบทิศอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
ความรู้สึกที่มอบให้ผู้อื่นมีเพียงแปดคำสั้นๆ ว่า
เหนือฟ้าใต้หล้า มีข้าเป็นหนึ่ง!
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
ภิกษุเฒ่าเหี่ยวแห้งเอ่ยปากเสียงเข้ม กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไป ประหนึ่งโพธิสัตว์คุมนรก สำแดงอานุภาพที่ไม่หวั่นกลัวและน่าเกรงขามยิ่ง ประหนึ่งว่าหากข้าไม่ลงนรก ผู้ใดเล่าจะตกนรก
พอเขาเอ่ยปาก ดวงดาราที่อยู่ใกล้เคียงก็สั่นสะเทือนปั่นป่วน เสียงธรรมอันยิ่งใหญ่ดังขึ้น!
จวินหวนถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “บนทางเดินโบราณฟ้าดาราสายนี้ต่างมองพวกข้าเป็นผีเร่ร่อนทั้งนั้น เจ้าว่าข้าเป็นใครล่ะ”
เมื่อเสียงดังขึ้น เขาก็เรียกกระบี่บินสีชมพูนามว่า ‘โฉมงามชั่วพริบตา’ เล่มนั้นออกมา
เมื่อสิ้นเสียงกระบี่บินโฉบพุ่งออกไป ชั่วพริบตาฟ้าดาราแห่งนี้ก็เปลี่ยนเป็นสีชมพู ดอกกุหลาบเต็มฟ้าผลิบานอย่างเงียบๆ ละอองแสงไหลเวียน งามตระการดั่งภาพเขียน
ส่วนกระบี่บินเล่มนั้นแทงตรงเข้ากลางหน้าผากของภิกษุชราเหี่ยวแห้งแล้ว
ไม่อาจใช้ช้าเร็วมาบรรยายลักษณะของกระบี่นี้ได้แล้ว มันเป็นดั่งร่างแปลงของมหามรรคสายหนึ่ง
มรรคดำรงอยู่ทุกที่
กระบี่ก็ไปถึงทุกสถาน!
ภิกษุเฒ่าแห้งเหี่ยวสีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ระฆังน้อยหยกขาวขนาดสามชุ่นลูกหนึ่งผุดออกมาจากหว่างคิ้ว เข้าต้านทานคมกระบี่สีชมพูเปล่งปลั่งนั้น
ท่ามกลางเสียงปะทะ ระฆังน้อยสีขาวขนาดสามชุ่นนั้นระเบิดกระจุย ดวงดาราบริเวณใกล้เคียงต่างแหลกสลายเป็นผุยผงไปด้วย ห้วงอากาศพังถล่ม กลายเป็นพายุตลบขึ้นเต็มฟ้า
เงาร่างของภิกษุเฒ่าแห้งเหี่ยวปรากฏขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง แม้ขวางกระบี่นี้ไว้ได้ แต่ที่หว่างคิ้วของเขากลับมีรอยแผลจากกระบี่สีโลหิตรอบหนึ่ง
เขาหน้าเครียด เอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “ผีเร่ร่อนตนหนึ่ง จะมีพลังเหนือกฎเหนือฟ้าระดับจักรพรรดิได้อย่างไร”
จวินหวนมองดูฟ้าดารา สีหน้าเจือแววผิดหวัง พูดว่า “เหนือกฎเหนือฟ้ามันล้ำเลิศมากหรือ…”
เขาเหมือนเย้ยตัวเอง
และเหมือนนึกถึงความทรงจำที่ไม่อาจกลับไปได้บางอย่าง
ตูม!
ภิกษุเฒ่าแห้งเหี่ยวลงมือ แสงธรรมทั้งร่างแผ่ไพศาล เกิดเป็นโลกสถูปสามสิบหกแห่ง กฎระเบียบมหามรรคสอดประสานอยู่ในนั้น แสงธรรมที่กระจายออกมาฉายส่องฟ้าดารา
“กำราบ!”
โลกสถูปสามสิบหกแห่งซ้อนทับกัน ในแต่ละโลกล้วนมีเงาร่างเลื่อมใสศรัทธานับไม่ถ้วนกำลังท่องสวนคัมภีร์ เกิดเป็นบุปผาสวรรค์โปรยปรายแปรปรวน แสงธรรมส่องไปทั่ว อานุภาพเหลือคณา
จวินหวนสีหน้าเยือกเย็น เอ่ยว่า “คนดีส่งให้ถึงที่สุด ส่งภิกษุต้องส่งถึงตะวันตก… โอ๊ะ ข้าลืมไป แดนกษิติครรภ์ไม่แสวงหาสุขาวดี เช่นนั้นก็ส่งเจ้าไป… ตาย”
เสียงธรรมเลื่อนลอยยากจับต้องราวเสียงสวรรค์
แต่ที่เร็วยิ่งกว่าเสียงก็คือ ‘โฉมงามชั่วพริบตา’ เล่มนั้น
พริบตานั้นคมกระบี่ก็ทะลวงโลกสถูปสามสิบหกชั้น โลกแต่ละชั้นต่างถูกปราณกระบี่ไร้เทียมทานบดขยี้อย่างกำเริบเสิบสาน เสียงผู้เลื่อมใสสวดคัมภีร์กับแสงธรรมไร้สิ้นสุดที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายในนั้นก็กระเจิดกระเจิงสะเทือนเลื่อนลั่น
ก็ในชั่วพริบตานี้เอง คมกระบี่สีชมพูเปล่งประกายก็เจาะทะลุร่างธรรมของภิกษุเฒ่าแห้งเหี่ยว ทะลวงหว่างคิ้วของเขาออกไป
ฟุ่บ!
โพรงเลือดหนาเท่าหัวแม่โป้งมีน้ำเลือดสีทองพวยพุ่งออกมา
ส่วนกระบี่บินสีชมพูก็กลับไปตรงหน้าจวินหวนนานแล้ว
ถ้าหลินสวินอยู่ตรงนี้ต้องจำได้อย่างแน่นอน ว่าจุดจบของภิกษุเฒ่าแห้งเหี่ยวกับเหล่าผู้แข็งแกร่งกลุ่มโจรสลัดวิหคกระดูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ล้วนถูกคมกระบี่แทงทะลุหว่างคิ้ว!
ภิกษุเฒ่าแห้งเหี่ยวคล้ายทำใจเชื่อได้ยาก เอ่ยพึมพำว่า “ชั่วขณะมรรคว่างเปล่า มรรคกระบี่สุดแพรวพราว… ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร… เป็นผีพเนจรตนหนึ่งจริงๆ ด้วย…”
เสียงแผ่วเบา อ่อนระโหย และค่อยๆ หายลับไป
ร่างของภิกษุเฒ่าแห้งเหี่ยวแหลกสลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนราวกับกระจก และเศษเสี้ยวเหล่านี้ก็แปลงสภาพเป็นเถ้าธุลีกระจายหายไป
ฟ้าดาราปั่นป่วน พลังระดับจักรพรรดิอันน่าหวาดหวั่นที่ยังหลงเหลืออยู่อึงอล
จวินหวนมองดูภาพนี้อยู่เงียบๆ
ชุดสีชมพูปลิวไหวท่ามกลางสายลม เขายืนอยู่บนฟ้าดาราเพียงลำพังราวกับสันโดษเดียวดาย!
เพียงแต่ครู่ต่อมามุมปากเขาก็มีรอยเลือดไหลออกมา ใบหน้าหล่อเหลางดงามก็ซีดขาวลงเล็กน้อย
เขาปาดมุมปากแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “ฆ่าระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง… เป็นเรื่องที่ไม่คุ้มจริงๆ”
เขาส่ายหัวหันกายจากไป
ยามนี้ฟ้าดาราอันไร้สิ้นสุดเบื้องหลังนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนฟองสบู่
ครู่ต่อมาเงาร่างของจวินหวนก็ปรากฏขึ้นในห้วงอากาศที่อยู่ไม่ไกลจากโลกต้าอวี่อีกครั้งหนึ่ง
สายตาของเขามองดูโลกต้าอวี่แล้วเอ่ยอย่างผิดหวังว่า “ได้พบกันแต่จำกันไม่ได้ ศิษย์น้องหนอศิษย์น้อง เจ้ารู้ไหมว่าใจข้าก็โมโหนัก”
“แต่ช่วยไม่ได้ ถ้าให้เจ้าเฒ่าพวกนั้นรู้ความสัมพันธ์ของพวกเรา จะยอมรามือได้อย่างไร…”
ท่ามกลางเสียงพึมพำ เงาร่างของเขาหายลับไปจากที่เดิมช้าๆ
ตูม!
ก็ในตอนที่เงาร่างของจวินหวนเพิ่งหายไปนี้เอง เจตจำนงอันน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่าก็กวาดมองมา เข้าปกคลุมฟ้าดาราแถบนี้อย่างเงียบเชียบไร้เสียง
ผ่านไปพักหนึ่งถึงค่อยๆ หายไป
……
โลกต้าอวี่
ณ ท้องฟ้าเหนือภูเขาอันกว้างใหญ่ลูกหนึ่ง หลินสวินเงยมองยานข้ามโลกที่มีหม่าไท่เจิ้นกับฝูทงโดยสารอยู่ลำนั้นจากไปไกล กระทั่งหายลับไปจนมองไม่เห็นจึงดึงสายตากลับมา
“เป็นที่ที่ดี”
หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง รู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่าไอวิญญาณกลางฟ้าดินเกรียงไกรไพศาล อุดมด้วยพลังชีวิต ชวนเบิกบานผ่อนคลาย
เทียบกับโลกลำนำสวรรค์แล้ว โลกต้าอวี่แห่งนี้งดงามมหัศจรรย์ยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย กลิ่นอายมหามรรคปกคลุมทั่วฟ้ารอบทิศ อยู่ในนี้ก็เหมือนมัจฉาแหวกว่ายสู่มหาสมุทร นกโบยบินสู่เวิ้งฟ้า
‘ถ้าฝึกปราณที่นี่ ไม่เกินหนึ่งเดือนต้องทะลวงระดับขึ้นไป สร้างรากฐานของราชันอริยะได้แน่!’
สังหรณ์แรงกล้าปรากฏขึ้นในใจหลินสวิน
“ไปเถอะ”
หลินสวินยิ้มเอ่ยกับหนานชิวที่อยู่ข้างๆ แล้วมองอวี่อวิ๋นเหอครั้งหนึ่ง
“จะไปไหน”
อวี่อวิ๋นเหอตะลึงงัน เขาดูว่าง่ายนัก เก็บความหยิ่งทระนงกับความโกรธไว้ในใจ ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินเหมือนหนูปะกับแมว
“หาเมืองสักเมืองก่อน จะได้รับรู้ถึงธรรมเนียมประเพณีในโลกต้าอวี่แห่งนี้เสียหน่อย”
หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
……
โลกต้าอวี่กว้างใหญ่ถึงที่สุด ใหญ่โตกว่าดินแดนรกร้างโบราณเสียอีก สำนักเรียงรายแน่นขนัด ขุมอำนาจมากมาย เมืองต่างๆ กระจายตัว
ตามความเข้าใจที่หลินสวินได้ยินจากปากหม่าไท่เจิ้น ต่อให้อยู่ในโลกต้าอวี่ ระดับมกุฎมหาอริยะก็เรียกได้ว่าเป็นเหมือนจอมราชันในแดนดินฟากหนึ่ง สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นเคารพยำเกรงได้
ราชันอริยะสามารถรับตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักชั้นยอดในโลกต้าอวี่ได้แล้ว เรียกได้ว่าอำนาจคับฟ้า
ส่วนบุคคลอย่างกึ่งจักรพรรดิ ครึ่งก้าวจักรพรรดิ ก็ถูกขนานนามให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือสุด ปกติพบเห็นได้ยากนัก
ส่วนผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิก็มี ทว่ามีอยู่เพียงน้อยนิด ทั้งยังไม่ปรากฏร่องรอยในโลกมาหลายปีแล้ว
ดังนั้นต่อให้หลินสวินเคยล่วงเกินหม่าไท่เจิ้นและฝูทง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสำนักยุทธ์เตาโอสถที่อยู่เบื้องหลังของอีกฝ่ายแก้แค้น
เมืองศิลาเมฆ
เมืองอันพลุกพล่านที่ถือเป็นเพียงเมืองขนาดกลางแห่งหนึ่งในโลกต้าอวี่
แต่ชื่อเสียงของเมืองนี้กลับยิ่งใหญ่เป็นที่สุด
เพราะใกล้กับเมืองนี้มีสำนักเก่าแก่แห่งหนึ่งนามว่า ‘สำนักปราณศิลาเมฆ’ อยู่ ความแข็งแกร่งของอิทธิพลสามารถเบียดตัวขึ้นไปในสิบอันดับแรกของโลกต้าอวี่
บนถนนที่พลุกพล่านดั่งสายน้ำ ฝูงชนคลาคล่ำเต็มไปด้วยรถและม้า เงาร่างผู้ฝึกปราณสัญจรไปมาเห็นได้ทุกที่
ทั้งยังไม่ขาดสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นๆ เช่นชาวเผ่าม้าบินที่มีปีกสีดำ ชาวเผ่าเถาวัลย์เพลิงที่มีประทับแน่นขนัดไปทั้งร่าง ชาวเผ่าเห็ดหินที่มีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น…
“มาดูมาชม สมบัติจากธรรมชาติทั้งโลก บนแผงข้ามีครบทุกอย่าง รับรองว่าไม่หลอกใครทั้งแก่เด็กจ้า!”
“เนื้อเจียวดำเสียบไม้ รสชาติล้ำเลิศ ไม้หนึ่งแค่ผลึกมรรคหนึ่งก้อนจ้า”
ทันทีที่หลินสวินเดินเข้าไปในเมืองศิลาเมฆ คลื่นเสียงวุ่นวายจอแจก็ปะทะเข้ามา กลิ่นอายของโลกโลกีย์แผ่กระจาย
มองไปรอบๆ เสียงคนเซ็งแซ่คึกคัก เห็นแต่ความคลาคล่ำจอแจ
หลินสวินตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง
ตั้งแต่แหล่งสถานคุนหลุนมาถึงฟ้าดาราอันเงียบสงัดแห่งนั้น ยันโลกลำนำสวรรค์จวบจนมาถึงโลกต้าอวี่ในตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เหยียบเข้ามาในพื้นที่เมือง
มาเป็นคนต่างถิ่นที่มาต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง ในโลกต้าอวี่ที่ไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงแห่งนี้ หลินสวินไม่กังวลเลยว่าจะมีใครจำตนได้
เขาดูผ่อนคลายนัก เดินไปตามถนนอย่างสบายใจ ชมนกชมไม้ สัมผัสความอึกทึกครึกโครมที่ไม่ได้สัมผัสมานาน จิตใจสงบไปหมด
การปลีกตัวสันโดษและการเข้าสู่โลกโลกีย์ล้วนเป็นการฝึกปราณ
โลกโลกีย์ เจริญรุ่งเรืองจนพูดไม่หมด ทั้งยังมีเรื่องบนโลกของสรรพชีวิตนับไม่ถ้วน แม้ทิวทัศน์บนภูเขาจะสวยงาม แต่ใต้ภูเขาก็มีแก่นจริงแท้ของมหามรรคซ่อนอยู่เช่นกัน
อวี่อวิ๋นเหอตามหลังหลินสวิน เห็นเขามีท่าทางเที่ยวเล่นเพลิดเพลิน เดินเล่นไปตามถนนอย่างเรื่อยเปื่อย ในใจก็ให้สงสัยว่าถนนบ้าๆ นี่มีอะไรน่าเดินหรือ
ถ้าว่ากันเรื่องความเจริญ ที่น่านึกถึงที่สุดก็ต้องเป็น ‘เมืองประสานฟ้า’ นั่นถึงเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของโลกต้าอวี่!
ตลอดทางหนานชิวก็ตาแทบพร่า ตั้งแต่เล็กนางเติบโตขึ้นในเผ่ามู่ซางของโลกลำนำสวรรค์ แม้ในตอนนี้มีพลังปราณระดับราชันแล้ว แต่จะไปเคยเห็นเมืองที่เจริญเช่นนี้ได้อย่างไร
แม้ว่าเมืองศิลาเมฆเป็นเพียงเมืองขนาดกลางในโลกต้าอวี่ แต่กลับเจริญกว่าเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกลำนำสวรรค์ไม่รู้กี่เท่า!
ก็ในตอนนี้เอง หนานชิวถึงรู้ซึ้งว่าเหตุใดผู้ฝึกปราณจากโลกลำนำสวรรค์จึงปรารถนาจะมาฝึกปราณที่โลกต้าอวี่ขนาดนี้…
“ถ้าข้าอยากไปสืบข่าวบางอย่าง ควรจะไปที่ไหนถึงเหมาะที่สุด”
จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้นระหว่างทาง
อวี่อวิ๋นเหอตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ย่อมเป็น ‘หอยินวาโย’ ขอเพียงเจ้าจ่ายไหว ในโลกต้าอวี่แห่งนี้ไม่มีอะไรที่พวกเขาไม่รู้”
หลินสวินเอ่ย “ถ้าเรื่องที่ข้าอยากรู้เกี่ยวกับแหล่งสถานคุนหลุนล่ะ”
อวี่อวิ๋นเหอพูดอย่างงุนงงว่า “นั่นเป็นถึงหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล หนำซ้ำแหล่งสถานคุนหลุนก็เข้าสู่สภาวะปิดตัวเงียบงันมาตั้งแต่หกปีก่อนแล้ว เจ้าจะอยากรู้เรื่องนี้ไปทำไม”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
ถ้อยคำแผ่วเบาของหลินสวินทำเอาอวี่อวิ๋นเหอบื้อใบ้ไปครู่หนึ่ง
ก็ในตอนนี้เองอวี่อวิ๋นเหอหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เคลื่อนตัวเงียบๆ เหมือนต้องการจะหลบอะไร
หลินสวินเงยมองไปก็เห็นว่าบนถนนไกลๆ มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้ ผู้ที่นำหน้าเป็นชายหนุ่มที่มีเงาร่างกำยำ แต่งกายด้วยชุดงามหรูสีม่วงคนหนึ่ง เดินอย่างสง่าผ่าเผย บุคลิกเหนือธรรมดา
ทุกที่ที่คนกลุ่มนี้เดินผ่าน ทุกคนที่เดินสัญจรล้วนหลบให้ตามสัญชาตญาณ ดูเคารพยำเกรงหาใดเทียบ
“เอ๊ะ!”
ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดหรูสีม่วงก็พบอวี่อวิ๋นเหอเข้า เขาเผยรอยยิ้มนึกสนุก เดินตรงแน่วก้าวมาหา
อวี่อวิ๋นเหอสีหน้าเหยเกไปครู่หนึ่งคล้ายรู้ว่าหลบไม่พ้น เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หว่างคิ้วปรากฏแววเคร่งเครียด