คืนกำเนิด นำนัยมาจาก ‘หมื่นธารากลับคืนสู่ที่มา หมื่นมรรคาคืนกำเนิด’ เต็มไปด้วยความอาจหาญ
แต่จากคำพูดของอวี่ชิงหยาง เรือนมรรคคืนกำเนิดคือหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ที่เก็บงำตนเองและลึกลับที่สุด
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา เรือนมรรคแห่งนี้แทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลก มีผู้สืบทอดออกมาท่องโลกน้อยมาก จนกระทั่งผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่บนโลกในปัจจุบันยังพูดถึงเรือนมรรคนี้น้อยนัก
หลินสวินก็อดประหลาดใจไม่ได้ “เรือนมรรคคืนกำเนิดหายเข้ากลีบเมฆมาหลายปีเช่นนี้ ทำไมถึงยังยืนตระหง่านอยู่ในกลุ่มหกเรือนมรรคใหญ่ได้เล่า”
อวี่ชิงหยางทอดถอนใจ “เพราะมีเพียงระดับจักรพรรดิที่รู้ว่า เรือนมรรคคืนกำเนิดเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งระดับใด”
“เล่าลือว่าในเรือนมรรคคืนกำเนิดมีผู้สืบทอดน้อยมาก แต่ทุกคนล้วนมีพลังปราณระดับจักรพรรดิ!”
ประโยคเดียวเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ทำให้หลินสวินแทบไม่กล้าเชื่อ
อวี่ชิงหยางกล่าว “ทั้งสำนักคือมหาจักรพรรดิ คืนกำเนิดชั่วนิรันดร์! ประโยคนี้ถูกกาลเวลาอันเนิ่นนานพิสูจน์มานานแล้ว”
“น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…”
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ
อวี่ชิงหยางยิ้มกล่าว “บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ผู้สืบทอดของเรือนมรรคคืนกำเนิดมีน้อยมาก หากมีผู้สืบทอดเพิ่มขึ้นคงไม่มีทางเป็นระดับจักรพรรดิได้หมดแน่”
หลินสวินบื้อใบ้ไป
“เรือนมรรคคืนกำเนิดนี้ก็อยู่ที่โลกใหญ่หงเหมิงหรือ” เขาอดถามไม่ได้
อวี่ชิงหยางพยักหน้า “ใช่ ต่างจากห้าเรือนมรรคใหญ่อื่นๆ เรือนมรรคคืนกำเนิดแยกตัวออกจากทางโลกมานานแล้ว บนโลกนี้ไม่มีใครรู้สถานที่ตั้งประตูเขาของพวกเขา พูดเปรียบเทียบกันแล้ว เรือนมรรคคืนกำเนิดยังลึกลับกว่าแดนเจินหลงและโลกมืดอยู่บ้าง”
พูดถึงตรงนี้อวี่ชิงหยางก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “ทั้งสำนักคือมหาจักรพรรดิ แต่กลับเก็บงำตนเอง ละทางโลกไม่ออกมาเช่นนี้ นี่จึงกลายเป็นปริศนาอย่างหนึ่งบนทางเดินโบราณฟ้าดารา จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดเรือนมรรคคืนกำเนิดถึงทำเช่นนี้”
อวี่ชิงหยางเป็นถึงระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง หากแม้แต่เขายังทอดถอนใจเช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเรือนมรรคคืนกำเนิดนี้ลึกลับเพียงใด
ทั้งสองคนคุยกันนานมาก หลินสวินก็ค่อยๆ เข้าใจเรื่องบางอย่าง
นับแต่โบราณมาทางเดินโบราณฟ้าดาราแบ่งเป็นสามยุคสมัย
ดึกดำบรรพ์ บรรพกาล ปัจจุบัน!
ก่อนหน้ายุคดึกดำบรรพ์คือยุคหงเหมิงแรกกำเนิด
สมัยดึกดำบรรพ์คงอยู่มาแสนปี หลังจากนั้นก็เป็นสมัยบรรพกาล
และถัดจากสมัยบรรพกาลถึงตอนนี้ก็เป็นยุคปัจจุบัน ได้ผ่านมานานเกือบแสนปีแล้ว…
เมื่อพูดถึงเรื่องเล็กน้อยนี้ อวี่ชิงหยางพลันใจกระตุกกล่าว “เมื่อนานมาแล้ว บุคคลระดับบรรพจารย์มรรคคนหนึ่งในเรือนมรรคโลกาสวรรค์เคยอนุมานว่า ทุกแสนปีใต้หล้านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน สับเปลี่ยนใหม่เก่า สรรพสิ่งหมุนเวียนเป็นวัฏจักร เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน”
“อย่างตอนที่ยุคดึกดำบรรพ์สิ้นสุดก็เคยเกิด ‘ศึกมรรคสิบทิศ’ กระเทือนไปทั่วทางเดินโบราณฟ้าดารา ตั้งแต่นั้นมาก็เข้าสู่สมัยบรรพกาล”
“จริงสิ เหมือนอย่างดินแดนรกร้างโบราณ เดิมทีก็เป็นแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคา แต่ด้วยผ่านศึกมรรคสิบทิศมาจึงตกต่ำลงไปเช่นกัน”
ฟังถึงตรงนี้นัยน์ตาของหลินสวินพลันหดรัด
ศึกมรรคสิบทิศ!
ดินแดนรกร้างโบราณที่กว้างใหญ่นั้น ถึงกับตกต่ำลงไปด้วยศึกนี้หรือ
หลินสวินนึกถึง ‘สามด่านเคราะห์ต้องห้าม’ ที่ปกคลุมอยู่บนดินแดนรกร้างโบราณนั้นขึ้นมาในชั่วพริบตา
เคราะห์พิฆาตมรรค ทำให้สรรพชีวิตในดินแดนรกร้างโบราณเสียโอกาสที่จะแจ้งมรรคกลายเป็นจักรพรรดิ
เคราะห์กักขัง ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนรกร้างโบราณไร้หนทางไปสู่โลกภายนอก ทั้งดินแดนรกร้างโบราณประหนึ่งกลายเป็นกรงขัง
เคราะห์ตัดขาด ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณสูญเสียมกุฎมรรคาไป!
สามด่านเคราะห์ต้องห้าม ก็เหมือนเครื่องพันธนาการที่ทบเป็นชั้นๆ ครอบคลุมอยู่เหนือดินแดนรกร้างโบราณมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลถึงปัจจุบัน!
ต่อมาตอนที่อยู่ในป่าต้นหม่อน หลินสวินเคยคุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสามด่านเคราะห์ต้องห้ามกับชายหนุ่มจักจั่นทอง
หลินสวินยังจำได้ดี ชายหนุ่มจักจั่นทองเคยพูดว่า ‘หลังจากยุคดึกดำบรรพ์ ทำไมดินแดนรกร้างโบราณจึงถูกสามด่านเคราะห์ต้องห้ามปกคลุม ง่ายมาก ต้นกำเนิดของสามด่านเคราะห์ต้องห้ามมีกฎเกณฑ์เจตจำนงเดียวกัน หากแต่กฎเกณฑ์เจตจำนงนี้มาจากคนผู้เดียว!’
ตอนนั้นหลินสวินก็รู้สึกตื่นตระหนก
คนผู้นี้เป็นใคร
ทั้งมีพลังที่น่ากลัวระดับใด ถึงใช้พลังกฎเกณฑ์เจตจำนงของตัวเอง วิวัฒน์เป็นสามด่านเคราะห์ต้องห้ามมาปกคลุมทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ทำให้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนเหมือนอยู่ในกรงขังได้!
และยังกักขังดินแดนรกร้างโบราณผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดมาได้ตลอด!
นี่ช่างน่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
จากนั้นชายหนุ่มจักจั่นทองก็พูดว่า ‘คนที่วางมหาเคราะห์เช่นนี้ได้ อย่างน้อยต้องเป็นชั้นยอดในระดับจักรพรรดิ! บุคคลเช่นนี้นามต้องห้ามดั่งมรรค ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นวาจา แต่เรียกได้ว่า ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’
หลินสวินเพิ่งรู้ในตอนนั้นเอง ว่าพลังของด่านเคราะห์ที่ฆ่าอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬก็มาจาก ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ คนนี้!
และตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้ของอวี่ชิงหยาง ในใจหลินสวินก็เหมือนได้จ้วงทลายกระดาษของหน้าต่างชั้นหนึ่งออก เข้าใจได้รางๆ แล้ว
ช่วงปลายสมัยดึกดำบรรพ์ ศึกมรรคสิบทิศที่ปะทุขึ้นทำให้ดินแดนรกร้างโบราณตกต่ำลงเช่นนี้ และเข้าสู่สมัยบรรพกาลนับแต่นั้นมา
และก็เป็นเวลานั้นเองที่สามด่านเคราะห์ต้องห้ามเข้าปกคลุมดินแดนรกร้างโบราณ คงอยู่มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
ถ้าสันนิษฐานจากจุดนี้ เจ้าของสามด่านเคราะห์ต้องห้าม ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ ที่อาศัยเพียงกฎเกณฑ์เจตจำนงก็กำราบดินแดนรกร้างโบราณมาเป็นเวลานานไร้สิ้นสุดได้คนนั้น ต้องเคยเข้าร่วมในศึกมรรคสิบทิศนี้อย่างแน่นอน!
‘ที่แท้เป็นเช่นนี้… ที่แท้เป็นเช่นนี้…’
ถึงตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว
อวี่ชิงหยางไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าเพียงประโยคเดียวของเขาจะทำให้หลินสวินนึกถึงเรื่องมากมายเช่นนี้
เขากล่าวต่อ “จุดสิ้นสุดของสมัยบรรพกาลเป็นเพราะเกิด ‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’ เหมือนกับศึกมรรคสิบทิศ ตั้งแต่นั้นมาก็เข้าสู่ยุคปัจจุบัน”
หลินสวินพยักหน้า
เขารู้เรื่องศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิมาก่อน ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูและผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลคนอื่นก็เคยเข้าร่วมในศึกใหญ่นี้เช่นกัน
จากคำพูดของศิษย์พี่เก่ออวี้ผู นี่คือ ‘การต่อสู้ของสำนัก’ เรื่องภายในนั้นซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
ถึงตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็รู้ชัดว่าสามยุคสมัยใหญ่อย่างดึกดำบรรพ์ บรรพกาล ปัจจุบันแบ่งกันอย่างไร ก่อนที่แต่ละยุคจะปิดฉาก ล้วนผ่านการเคลื่อนคล้อยของเวลาหนึ่งแสนปี ล้วนปิดฉากด้วยศึกมรรคที่กระเทือนทั้งใต้หล้า
ศึกมรรคสิบทิศแห่งดึกดำบรรพ์!
ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิแห่งบรรพกาล!
“ผู้อาวุโส เมื่อครู่ท่านบอกว่าทุกหนึ่งแสนปีใต้หล้านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน สรรพสิ่งหมุนเวียนเป็นวัฏจักร สับเปลี่ยนใหม่เก่าหรือ”
หลินสวินใจกระตุกเล็กน้อย
อวี่ชิงหยางพยักหน้า สีหน้าเผยแววลึกลับ “ไม่ผิด ในช่วงปัจจุบันมาถึงวันนี้ อย่างมากก็อีกไม่เกินหนึ่งพันปีจะครบแสนปีแล้ว… สหายน้อยคิดว่าเมื่อวันนั้นมาถึง จะเกิดศึกใหญ่ที่เหมือนศึกมรรคสิบทิศ และศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิหรือไม่”
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน สีหน้าดูซับซ้อน
หลังจากนี้หนึ่งพันปี ยุคปัจจุบันจะคงอยู่ครบแสนปี?
“แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาบางส่วนของข้าเท่านั้น จะเกิดเหตุการณ์อย่างที่บรรพจารย์มรรคของเรือนมรรคโลกาสวรรค์คนนั้นอนุมานไว้หรือไม่ ทุกอย่างล้วนยังพูดลำบาก”
อวี่ชิงหยางกล่าวเนิบช้า
เขาพูดพลางยกจอกสุรา ร่วมดื่มกับหลินสวินอีกครั้ง
เมื่อคุยเรื่องความลับพวกนี้จบ อวี่ชิงหยางเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “สหายน้อย ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็อยู่ต่ออีกหน่อยเถอะ ข้าเห็นว่าเจ้าใกล้จะทะลวงปราณแล้ว ตอนนี้มีวาสนาอย่างหนึ่งที่เหมาะกับเจ้ามาก”
หลินสวินชะงักไป “วาสนาหรือ”
อวี่ชิงหยางกล่าว “อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนแดนลับต้าอวี่ก็จะเปิดออก ถึงตอนนั้นยอดบุคคลของเก้าโลกใหญ่ในเขตแดนดาราจื่อเหิงนี้จะมาเข้าร่วมกันหมด ทั้งหมดก็เพื่อแย่งชิงวาสนาอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง ‘ฐานมรรคของราชันอริยะ’ ที่อยู่ในแดนลับต้าอวี่”
…………..