เสียงตูมตามดังขึ้นระลอกหนึ่ง
สมบัติอริยะและสมบัติเก็บของจำนวนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เรืองแสงสว่างไสว
เหล่าคนใหญ่คนโตหอเสียงสวรรค์รวมถึงอวี๋จวิ้น เปลี่ยนเป็นขี้เถ้าไปทั้งหมด สลายไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง
มองเห็นภาพเหล่านี้ หลิ่วชิงเยียนอึ้งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งถึงค่อยเงยหน้าขึ้นกะทันหัน ดวงตาคู่ใสฉ่ำน้ำเต็มไปด้วยความตะลึง
นางเอ่ยพูด “ผู้อาวุโส ท่านเป็นใครกันแน่”
หลินสวินรู้ว่าหลิ่วชิงเยียนจะต้องสงสัยแน่ พลันปวดหัวขึ้นมา เอ่ยว่า “แม่นางชิงเยียน ข้าคนแซ่อวี่แค่ไม่เคยเผยความสามารถแท้จริงเท่านั้น”
หลิ่วชิงเยียนส่ายหน้า “อาจารย์ของข้าเคยพูดว่า ผู้อาวุโสอวี่เสวียนที่มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่เป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับราชันอริยะ ย่อมไม่มีทางฆ่ามกุฎราชันอริยะได้อย่างง่ายดายเหมือนท่าน…”
พูดถึงตรงนี้นางเหมือนนึกอะไรขึ้น จึงอดพูดไม่ได้ “ผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ที่ถูกฆ่าเมื่อหลายวันก่อนพวกนั้น คงไม่ใช่…”
ไม่รอพูดจบหลินสวินก็สารภาพตามจริง “ไม่ผิด เป็นฝีมือข้าคนแซ่อวี่”
หลิ่วชิงเยียนแววตางุนงง เอ่ยว่า “หากท่านคืออวี่เสวียนจริงๆ จะกล้าไปสังหารผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ได้อย่างไร… ยิ่งไปกว่านั้นเกรงว่าอวี่เสวียนตัวจริงไม่มีทางทำเรื่องสะท้านโลกเช่นนี้เพื่อข้าหลิ่วชิงเยียน…”
นางพึมพำ เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามทำให้ตนเองใจเย็น แต่เพราะตกใจเกินไป เนิ่นนานก็ไม่อาจทำให้อารมณ์สงบลง
“แม่นางชิงเยียน เจ้ารู้ไว้เพียงว่าข้าไม่มีทางทำร้ายเจ้าก็พอแล้ว”
หลินสวินถอนหายใจในใจ
เขารับรู้ได้รางๆ ว่าหลิ่วชิงเยียนคงจะเดาความจริงบางส่วนออกบ้างแล้ว
“อืม”
ครู่ใหญ่หลิ่วชิงเยียนถึงค่อยพยักหน้า จ้องมองหลินสวิน ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายสว่างไหว “ผู้อาวุโส ข้าเชื่อท่าน”
หลินสวินลอบถอนหายใจ ยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี”
นึกถึงแต่ละภาพเมื่อครู่นี้ หลิ่วชิงเยียนพูดอย่างกังวล “ผู้อาวุโส ท่านฆ่าคนของหอเสียงสวรรค์มากขนาดนี้ หลังจากนี้จะทำอย่างไร”
“ทหารมาใช้ขุนศึกต้าน น้ำมาใช้ดินขวาง[1]”
หลินสวินพูดเรียบๆ
อย่างไรก็แตกหักกันไปแล้ว ก็แค่สู้ให้ถึงที่สุดเท่านั้น
บนกำแพงไกลๆ เด็กหนุ่มชุดป่านส่งเสียงจุ๊ๆ ทอดถอนใจ “เคยเห็นคนที่รนหาที่ตาย แต่ไม่เคยเห็นคนที่รีบร้อนจะรนหาที่ตายเช่นนี้”
เขาคล้ายเดาผลลัพธ์ออกนานแล้ว!
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มชุดป่านอดยิ้มอย่างมีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่นไม่ได้ “อู้ว พี่ชายคราวนี้เจ้าถูกจับได้แล้ว นี่ไม่ใช่หมายความว่าความสนุกเพิ่งเริ่มขึ้นหรือ”
……
เวลาล่วงเลยไป
บรรยากาศในหอเมฆมรกตกดดันขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากอวี๋จวิ้นจากไป ครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีข่าวส่งมา ทำให้สีหน้าของคนตระกูลจินเทียนอย่างพวกจินเทียนฉีต่างค่อยๆ อึมครึมลง
หอเสียงสวรรค์รับแขกเช่นนี้หรือ
เกินไปแล้ว!
ส่วนอู่อวิ๋นเหลียนนั้นเหมือนมดในกระทะร้อน นั่งไม่ติด ในใจลอบพร่ำบ่น เพียงแค่เล่นงานราชันอริยะคนหนึ่งเท่านั้น ต้องใช้เวลานานขนาดนี้เลยหรือ
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพวกจินเทียนฉีไม่น่าดูขึ้นเรื่อยๆ อู่อวิ๋นเหลียนเองก็ตึงเครียดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์พี่อู๋แย่แล้ว หลังจากพวกอาจารย์ลุงอวี๋จวิ้นเข้าเรือนพักของศิษย์น้องชิงเยียนก็ไม่ออกมาอีกเลย!”
ทันใดนั้นผู้สืบทอดหอเสียงสวรรค์คนหนึ่งเดินมาอย่างเร่งรีบ เหงื่อเต็มหน้าผาก สีหน้าตื่นตระหนก “ข้าสงสัยว่า… พวกเขาอาจจะเจอการเปลี่ยนแปลงอะไรเข้า!”
“อะไรนะ”
อู่อวิ๋นเหลียนลุกพรึ่บขึ้น สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด
เพล้ง!
คนตระกูลจินเทียนคนหนึ่งปัดจอกเหล้าในมือแตก ยิ้มเย็นชาด้วยสีหน้าอึมครึม “หลิ่วชิงเยียนคนนี้ พวกข้าอยากเจอหน้าสักครั้งถึงกับทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ นี่เห็นชัดว่าดูถูกพวกข้า!”
ผู้สืบทอดหอเสียงสวรรค์อย่างพวกอู่อวิ๋นเหลียนอดลนลานไม่ได้ ต่างลุกขึ้นยืน
“ทุกท่าน ข้า…”
อู่อวิ๋นเหลียนหมายจะพูดอะไรสักหน่อยก็ถูกจินเทียนฉีตัดบท เขาพูดด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “วันนี้ผู้อาวุโสตระกูลข้าเพิ่งพูดว่าไม่ให้พวกเราก่อเรื่อง ดังนั้นเขาเองก็คร้านจะถือสาพวกเจ้า แต่หลิ่วชิงเยียนนั่น จะต้องส่งตัวมาให้ข้า!”
“ใช่ เจ้าสารเลวคนนี้อุตส่าห์ไว้หน้ากลับไม่ต้องการ หากไม่สั่งสอนนางสักหน่อย พวกเราคนตระกูลจินเทียนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ทันใดนั้นคนตระกูลจินเทียนคนอื่นๆ ต่างส่งเสียง สีหน้าอึมครึม
ในโลกใหญ่จินเทียน ใครกล้าไม่เคารพพวกเขา และมีใครกล้าเมินเฉยต่อพวกเขา
แต่ตอนนี้กลับดีนัก ผู้สืบทอดหอเสียงสวรรค์คนหนึ่งดันกล้าไม่ไว้หน้า!
ความจริงจุดสำคัญอยู่ที่วันนี้พวกเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เพียงแค่ใช้โอกาสนี้ระบายอารมณ์ก็เท่านั้น
“หลิ่วชิงเยียนนั่นอยู่ที่ไหน นางไม่มา พวกเราไปเจอนางด้วยตัวเองเป็นอย่างไร”
จินเทียนฉีแววตาเย็นเยียบ จับจ้องอู่อวิ๋นเหลียน
ดวงหน้างามของอู่อวิ๋นเหลียนขาวซีด หากปล่อยให้หลิ่วชิงเยียนตกอยู่ในมือของพวกจินเทียนฉี จุดจบต้องไม่ดีแน่
แม้อู่อวิ๋นเหลียนอยากให้หลิ่วชิงเยียนตายจนแทบรอไม่ไหว แต่นางรู้ดียิ่งกว่าว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับหลิ่วชิงเยียน ด่านข่งอวี้นั่นใครก็ผ่านไม่ได้!
นางสูดหายใจลึกคราหนึ่ง อธิบายเสียงเบา “คุณชาย ฐานะของหลิ่วชิงเยียนไม่ธรรมดา นางเป็นถึงคนในดวงใจของข่งอวี้แห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ หากมีความผิดพลาดอะไร…”
คำพูดนี้ไม่พูดยังดี แต่พอพูดออกมากลับทำให้พวกจินเทียนฉีเดือดดาลขึ้นมา สีหน้าแต่ละคนแปลกประหลาดและย่ำแย่หาที่เปรียบไม่ได้
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เอาข่งอวี้มาข่มพวกเราหรือ”
จินเทียนฉีโกรธจนหน้าเขียว
ข่งอวี้แห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ทายาทสายตรงของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง แน่นอนว่าพวกเขาเองก็รู้จัก ทว่าคนตระกูลจินเทียนอย่างพวกเขาจะกลัวได้อย่างไร
อู่อวิ๋นเหลียนราวกับโดนฟ้าผ่า ลอบอุทานว่าแย่แล้ว
“ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง พาพวกเราไปพบหลิ่วชิงเยียน”
จินเทียนฉีออกคำสั่งอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
……
รัตติกาลราวกับหมึก บนถนนเสียงดังเอะอะ
อู่อวิ๋นเหลียนพาคนตระกูลจินเทียนที่เกรี้ยวกราดทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังเขารับแขก เหตุการณ์นี้ปิดไม่อยู่สักนิด ถูกสายตาไม่รู้เท่าไหร่จับจ้อง
“ได้ยินหรือไม่ หลิ่วชิงเยียนผู้สืบทอดหอเสียงสวรรค์ปฏิเสธการพบหน้าคนตระกูลจินเทียน ทำให้อีกฝ่ายเดือดดาล!”
“คราวนี้ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่”
“หอเสียงสวรรค์นี่โชคร้ายเกินไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เพิ่งตาย แม้แต่กึ่งจักรพรรดิอย่างฮว่าเตี่ยนยังทำได้เพียงคุกเข่าขอชีวิต ตอนนี้ดันล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนอีก”
“หลิ่วชิงเยียนหรือ นี่เป็นถึงเทพธิดาของเขตแดนดาราจื่อเหิง ได้ยินว่าเพราะนางล่วงเกินข่งอวี้แห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ จึงถูกหอเสียงสวรรค์เพิกเฉยและกดดัน”
บนยานลมกรด เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายดังขึ้น
ถนนเส้นหนึ่งในนั้นมีแผงลอยร้านหนึ่งตั้งอยู่ เจ้าของแผงคือชายวัยกลางคนผิวดำคล้ำราวกับชาวนาคนหนึ่ง
บนแผงลอย เมล็ดพันธุ์นานาชนิดวางอยู่ รวมถึงจอบที่มีสนิมอันหนึ่ง
ชายในชุดหรูหราคนหนึ่งนั่งยองๆ หน้าแผงลอย พินิจอย่างแปลกใจรอบหนึ่งก่อนจะชี้ไปที่เมล็ดพันธุ์สีดำราวกับมุก ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือเม็ดหนึ่ง “ของเล่นนี่กี่ผลึกมรรค”
ชายวัยกลางคนผิวดำราวกับชาวนานั่นเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มซื่อๆ “ไม่แพง แปดแสนผลึกมรรค”
ชายชุดหรูอึ้ง พูดอย่างผิดคาด “เท่าไหร่นะ”
ชายวัยกลางคนผิวดำคล้ำพูด “แปดแสนผลึกมรรค”
“ยังจะบอกว่าไม่แพง… เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ”
ชายชุดหรูถุยน้ำลายอย่างแรงทีหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อจากไป
ชายวัยกลางคนผิวดำยิ้ม ไม่ได้ถือสา
นี่เป็นถึง ‘ผลแท้แรกมรรค’ อย่าว่าแต่แปดแสนผลึกมรรค แปดล้านผลึกมรรคยังมีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนแย่งกัน!
น่าเสียดายที่บนโลกนี้คนที่รู้ค่ามันน้อยเกินไปจริงๆ
คิดถึงตรงนี้สายตาของชายวัยกลางคนผิวดำก็มองไปยังเขารับแขกไกลๆ พร้อมพึมพำในใจ ‘บนเขานั่น จะมีสักกี่คนที่รู้ค่าสิ่งนี้’
……
ตอนที่อู่อวิ๋นเหลียนพาพวกจินเทียนฉีเดินขึ้นเขารับแขก
มุมปากของตู้คงที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเรือนเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้ต้องการคนมาปั่นป่วนจริงๆ
บางทีเช่นนี้จึงจะสามารถดึงดูดให้เจ้านอกรีตคนนั้นออกมาได้กระมัง
ที่ไหล่เขา ชายชราในชุดคลุมที่เอนตัวงีบบนเก้าอี้ไม้หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างยากจะสังเกตเห็น
เจ้าพวกไม่เอาไหนพวกนี้!
เด็กหนุ่มชุดป่านที่ฟุบอยู่บนกำแพงเห็นภาพนี้พลันมีความสุขขึ้นมา โบกมือพูด “รู้ทั้งรู้ว่าในป่ามีเสือก็ยังจะเข้าป่า พี่ชายทั้งหลาย โชคดี!”
พวกจินเทียนฉีขมวดคิ้ว ต่างแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ ในใจเต็มไปด้วยเพลิงโกรธ
แต่สุดท้ายพวกเขาก็อดกลั้นไว้
พวกเขาได้ยินแล้วว่า ผู้อาวุโสระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งของหอเสียงสวรรค์เคยคุกเข่าตรงหน้าเรือนหลังนี้
อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าเด็กหนุ่มชุดป่านและหญิงชราที่พักอยู่ในเรือนหลังนี้จะเป็นคนที่ไม่อาจล่วงเกิน
นี่ก็คือเหตุผลที่พวกจินเทียนฉีอดทน ไม่เช่นนั้นหากเป็นปกติ พวกเขาคงตบเด็กหนุ่มชุดป่านปากอัปมงคลให้ตายคามือไปนานแล้ว!
เห็นเช่นนี้อู่อวิ๋นเหลียนเองก็ลอบโล่งอก นางกังวลจริงๆ ว่าพวกจินเทียนฉีจะพาล ไปปะทะกับเด็กหนุ่มชุดป่านโดยตรง
หากเป็นเช่นนั้นก็กลายเป็นเทพเซียนตีกัน มนุษย์โลกรับกรรม หอเสียงสวรรค์ก็จะติดร่างแหไปด้วย!
คิดๆ แล้วอู่อวิ๋นเหลียนก็รู้สึกปวดใจ ในเขตแดนดาราจื่อเหิง หอเสียงสวรรค์ของพวกเขาคือสำนักอันดับหนึ่ง ในฐานะผู้สืบทอด พวกเขามีใครเคยประสบเรื่องอดสูเช่นนี้บ้าง
แต่หลังออกจากเขตแดนดาราจื่อเหิง อู่อวิ๋นเหลียนถึงพบว่าทางเดินโบราณฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด บนโลกนี้ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจล่วงเกินมากมายเพียงใด!
“คราวนี้ในที่สุดก็จะครื้นเครงขึ้นมาแล้ว…”
เด็กหนุ่มชุดป่านเลียปาก ในใจสั่นไหว เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ หอเสียงสวรรค์… ขุมอำนาจมากขนาดนี้ พี่ชายคนนั้นจะกล้าล่วงเกินกี่คน
“เด็กเน่าอย่างท่านนี่ กลัวโลกวุ่นวายไม่พอหรือ”
หญิงชราก่นด่าพร้อมรอยยิ้มประโยคหนึ่ง จากนั้นพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าขอบอกท่านไว้ เรื่องที่คนผู้นั้นก่อ ให้เขาเป็นคนรับผิดชอบเอง จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวกับท่าน ข้าเองก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว”
เด็กหนุ่มชุดป่านพูดอย่างเหลืออด “รู้แล้วๆ ดูความครึกครื้นเฉยๆ คงได้กระมัง”
หญิงชราพยักหน้า “แน่นอน”
และตอนนี้เอง พวกจินเทียนฉีได้มาถึงหน้าเรือนที่พวกหลินสวินพักอยู่แล้ว
“ที่นี่หรือ”
จินเทียนฉีพินิจรอบหนึ่ง
“ใช่”
อู่อวิ๋นเหลียนพยักหน้า
ในใจนางขมขื่น ความหวังเดียวก็คือ หลังจากผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนและฮว่าเตี่ยนรู้ข่าวแล้ว จะสามารถมาได้ในทันที
ไม่เช่นนั้นที่แห่งนี้จะต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แน่!
“หลิ่วชิงเยียนอยู่ไหม”
จินเทียนฉีพูดเสียงขรึม
เพลิงโกรธที่สุมอกเขาอยู่ไม่มีที่ระบาย วันนี้เริ่มจากถูกผู้อาวุโสต่อว่า จากนั้นถูกหลิ่วชิงเยียนผู้สืบทอดหอเสียงสวรรค์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งปฏิเสธ จะให้เขาทนได้อย่างไร
“มีเรื่องอะไร”
เสียงของหลินสวินดังขึ้นจากในเรือน
และในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ คนที่มาคราวนี้ดันไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งหอเสียงสวรรค์
“มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ”
จินเทียนฉีเดือดดาลอย่างสิ้นเชิง พูดอย่างเย็นเยียบ “หลิ่วชิงเยียนนั่นไม่อยากเจอพวกเรา พวกเรามาเจอนางสักหน่อยไม่ได้หรือ”
หลินสวินเลิกคิ้ว เขาเดาฐานะของอีกฝ่ายออกแล้ว ในใจอดจนคำพูดไม่ได้
ปัญหามาไม่ขายสายจริงๆ อยากอยู่อย่างสงบสักหน่อยก็ไม่ได้
……………………………….
[1] ทหารมาใช้ขุนศึกต้าน น้ำมาใช้ดินขวาง หมายถึง รับมือไปตามสถานการณ์