หลิ่วชิงเยียนไม่อยากมาพบพวกเขา พวกเขาจึงมาพบนางเอง ไม่ได้หรือ
ความรุนแรงของไอโทสะที่สั่งสมอยู่ในคำพูดนี้ คนโง่ยังฟังออก
อู่อวิ๋นเหลียนหัวใจบีบรัด หากหลิ่วชิงเยียนก้มหัวออกมาพบจริงๆ จะต้องถูกพวกอันธพาลเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนเล่นงานแน่
จะรอดหรือไม่ยังพูดยากมาก
อู่อวิ๋นเหลียนไม่สนใจความเป็นตายของหลิ่วชิงเยียน สิ่งที่นางสนใจคือหากหลิ่วชิงเยียนตาย จะอธิบายกับข่งอวี้อย่างไร
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ เผชิญกับพวกจินเทียนฉีที่มากล่าวโทษอย่างทรงอานุภาพ ประตูเรือนหลังนี้ยังคงปิดสนิท
มีเพียงเสียงราบเรียบของหลินสวินที่ดังขึ้น “ไม่ได้”
คำสั้นๆ เพียงสองคำ ทำเอาสีหน้าของพวกจินเทียนฉีชะงัก เพลิงโกรธในดวงตาราวกับลุกโหม
พวกเขามาด้วยตัวเองแล้ว ผลลัพธ์กลับถูกปฏิเสธอีก!
“คนพูดคือใคร”
เสียงของจินเทียนฉีเย็นเยียบเสียดกระดูก
อู่อวิ๋นเหลียนพูดอย่างลนลาน “อวี่เสวียนผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ ระดับราชันอริยะคนหนึ่ง ตอนนี้เป็นผู้คุ้มกันข้างกายศิษย์น้องชิงเยียน”
“เผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่หรือ”
จินเทียนฉีหลุดขำออกมา “เผ่าจักรพรรดิบรรพกาลตระกูลหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าขัดแย้งกับพวกเราหรือ รนหาที่ตายจริงๆ”
คนอื่นๆ เองก็ยิ้มเยาะ
เผ่าจักรพรรดิ แบ่งเป็นเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ เผ่าจักรพรรดิบรรพกาล เผ่าจักรพรรดิปัจจุบัน
และพวกเขาตระกูลจินเทียน คือเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์!
ในสายตาของคนตระกูลจินเทียนอย่างพวกเขา แน่นอนว่าย่อมมีดีพอให้เย้ยหยันและดูถูกเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่
“พวกอันธพาลไร้สมองกลุ่มหนึ่ง ขุมอำนาจที่กลายเป็นเผ่าจักรพรรดิ จะวัดความแข็งแกร่งอ่อนแอจากระยะเวลาในการดำรงอยู่ในโลกได้อย่างไร”
เด็กหนุ่มชุดป่านที่ดูความครึกครื้นอยู่ไกลๆ ถอนหายใจในใจระลอกหนึ่ง
เท่าที่เขารู้ ในเผ่าจักรพรรดิปัจจุบันก็มีผู้ยิ่งใหญ่หลายคน ล้วนไม่ด้อยไปกว่าเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์!
ก็หมายความว่าขุมอำนาจแห่งหนึ่ง รากฐานข้างในยาวนานหรือไม่ ไม่ได้หมายความว่าอิทธิพลที่มีจะต้องแข็งแกร่งกว่า
“แต่ก็ถูก ถึงอย่างไรเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนก็เป็นเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ ไม่ใช่ตระกูลที่เผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่จะต่อต้านได้จริงๆ แค่เจ้าโง่พวกนี้ตาถั่วเกินไป…”
เด็กหนุ่มชุดป่านพึมพำ
“อวี่เสวียน!”
ทันใดนั้นจินเทียนฉีตะคอก “ให้เวลาพวกเจ้าใคร่ครวญสามชั่วลมหายใจ…”
ไม่รอพูดจบ
ประตูเรือนที่ปิดสนิทเปิดออก หลินสวินเดินออกมา
พวกจินเทียนฉีอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นอดยิ้มไม่ได้ สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ดูสิ ผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ก็ยอมแพ้โดยดีแล้วไม่ใช่หรือ
“เจ้านับว่ารู้ความ คุกเข่ารอที่นี่ก่อน หลังจากพวกเราเจอหลิ่วชิงเยียนแล้วค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า!”
หญิงที่รูปร่างงดงามเย้ายวนพูดเสียงเย็น ท่าทางเย่อหยิ่ง
กลับเห็นหลินสวินราวกับไม่ได้ยิน สีหน้าของเขาเรียบเฉย สายตากวาดมองทุกคนแล้วกล่าวว่า “ฆ่าเด็กไป คนแก่ต้องนั่งไม่ติดแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้สั่งสอนสักหน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง”
“เจ้ายังจะกล้าเถียงอีก”
สาวงามง้างมือขึ้นสะบัดใส่หลินสวินโดยพลัน
เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าดังขึ้น
ทว่าคนที่ถูกตบกลับเป็นสาวงามคนนั้น ก็เห็นดวงหน้าของนางบวมแดง จมูกปากกบเลือด ถูกตบจนกระเด็นออกไปทั้งร่าง กระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครเห็นเลยว่าหลินสวินลงมืออย่างไร!
พวกจินเทียนฉีอึ้งไปเล็กน้อย เผยสีหน้ายากจะเชื่อ เจ้าหมอนี่… ถึงกับกล้าลงมือต่อหน้าพวกเขาหรือ
“นี่ พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ข้าไม่เพียงกล้าเถียง ยังกล้าลงมือโต้ตอบด้วย”
หลินสวินสายตาเย็นชา
“ฆ่า! ฆ่าเขาซะ!”
สาวงามคนนั้นส่งเสียงกรีดร้องอย่างเดือดดาล เผ้าผมยุ่งเหยิง สีหน้าบิดเบี้ยว
ตูม!
ชายหนุ่มที่รูปร่างกำยำคนหนึ่งลงมือ เรียกกระบี่สีดำเล่มหนึ่งออกมา เจตกระบี่ราวกับภูเขา กดทับห้วงอากาศทลาย สำแดงพลังกฎเกณฑ์ที่น่ากลัว
หลินสวินถอนหายใจในใจ ไม่ลังเลอีกต่อไป
ไม่เห็นเขาลงมือแต่ได้ยินเสียงเพี๊ยะครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนนั้นราวกับถูกภูเขาเทพกระแทก ถูกตบจนปลิวในฝ่ามือเดียว ในปากส่งเสียงร้องอนาถประหนึ่งหมูถูกเชือด
เขาน่าอนาถยิ่งกว่าสาวงาม แม้แต่ใบหน้ายังแตกเละ ฟันหลุดออกจากปาก หัวสมองสะเทือนดังหึ่งๆ สายตาพร่าเบลอ แทบจะหมดสติไป
ทุกคนอดสูดหายใจหนาวเยือกไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไป
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเป็นถึงมกุฎราชันอริยะคนหนึ่ง แม้เพิ่งก้าวสู่ระดับนี้ ทว่าพลังต่อสู้นั้นดูถูกไม่ได้เด็ดขาด
ทว่าตอนนี้ยังไม่ทันได้หลบหลีกก็ถูกตบจนกระเด็นราวกับแมลงวัน!
“เจ้าบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับราชันอริยะไม่ใช่หรือ”
จินเทียนฉีสีหน้าอึมครึม สายตาวูบไหว
อู่อวิ๋นเหลียนเองก็ยากจะเชื่อ เอ่ยพูดเสียงหลง “พวกอาจารย์อาอวี๋จวิ้น… คงไม่ได้ถูกเจ้าโจมตีจนพ่ายแพ้กระมัง”
หลินสวินพูดเรียบๆ “ยังไม่นับว่าโง่เกินไป”
“นี่…” อู่อวิ๋นเหลียนอึ้งงัน ก่อนหน้านี้นางไม่รู้มาก่อนเลย
“ส่วนพวกเจ้าน่ะควรจะรู้ตัวแล้วถอยไปซะ หรือต้องให้ตบเรียกสติคนละทีก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำ มองไปยังพวกจินเทียนฉี
พวกจินเทียนฉีสีหน้าเปลี่ยนไป โกรธจนปลอดแทบระเบิดแล้ว
ผู้อาวุโสด่าว่าพวกเขา หลิ่วชิงเยียนปฏิเสธการเชื้อเชิญของพวกเขา ตอนนี้แม้แต่ผู้คุ้มกันคนหนึ่งยังกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่พวกเขา!
ที่ผ่านมาพวกเขาเคยถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้เสียที่ไหน
ไม่เคย!
“ลงมือพร้อมกัน ฆ่าเจ้าสารเลวนี่ซะ!”
จินเทียนฉีคำราม
เพี๊ยะ!
เพิ่งจะสิ้นเสียงบนใบหน้าเขาก็ถูกตบอย่างแรงหนึ่งครั้ง ทั้งใบหน้าเลือดเนื้อไม่เหลือสภาพ ยุบเป็นรอยฝ่ามือห้านิ้วชุ่มเลือด
“อ๊าก…” จินเทียนฉีส่งเสียงกรีดร้อง ร่างกายกลิ้งลงพื้นไป
แม้แต่เขา ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวิน!
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
ในเวลาหลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงฝ่ามือดังกังวานเป็นระลอก คนเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนแต่ละคนถูกตบจนกระเด็น
พวกเขาเองก็พยายามต่อต้านแล้ว โจมตีเต็มกำลัง ทว่าต่อหน้าหลินสวินก็ประหนึ่งไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาที่รับการโจมตีเดียวยังไม่ได้กลุ่มหนึ่ง ถูกกำราบทีละคน
จนถึงสุดท้าย หน้าประตูเรือนพักหลังนี้มีเสียงร้องชวนสังเวชดังไม่ขาดสาย กรีดทะลุราตรีกาล
ส่วนบนพื้น คนเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนนอนกระจัดกระจาย ใบหน้าแต่ละคนราวกับหัวหมู เผ้าผมยุ่งเหยิง ในปากหลั่งเลือด น่าอนาถอย่างที่สุด
และทั้งหมดนี้จบลงในชั่วพริบตาเท่านั้น!
ในที่นั้นเหลือเพียงอู่อวิ๋นเหลียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าขาวซีด ตกใจจนหัวสมองว่างเปล่า อึ้งงันอยู่ตรงนั้นทั้งตัว
นี่เป็นถึงแขกสูงศักดิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนเชียวนะ!
กลับถูกผู้อื่นตบบนยานลมกรด…
คิดถึงตรงนี้ เบื้องหน้าอู่อวิ๋นเหลียนก็มืดมน ถึงขั้นอยากตายขึ้นมา
หลินสวินเดินเข้ามาเอ่ยพูดเสียงเบา “ยังมีอีกเรื่องที่ลืมบอกเจ้า พวกอวี๋จวิ้น… ตายหมดแล้ว”
อู่อวิ๋นเหลียนราวกับถูกฟ้าผ่า ดวงตาเบิกโพลงทันที ภายใต้ความโกรธที่โจมตีหัวใจ ทำให้นางกระอักเลือดออกมาทันที
“เจ้า… ทำไมเจ้าถึงกล้า…”
นางไม่เชื่อ แทบคลั่งแล้ว
หลินสวินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วมองรอบๆ พร้อมเอ่ยเสียงทอดถอนใจ “ช่วยไม่ได้ เก็บตัวเงียบก็แล้ว อดทนก็แล้ว แต่กลับไม่มีประโยชน์ ถูกพวกเจ้ามองว่าขี้ขลาดน่ารังแก แม่นาง เจ้าคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังจะให้ข้าทนได้อีกหรือ”
อู่อวิ๋นเหลียนอึ้งงัน สีหน้างุนงง
นางฟังไม่เข้าใจ
แต่หลินสวินตอบเองแล้วว่า “ไม่ได้ ขอเพียงแค่แม่นางชิงเยียนยังอยู่บนยานนี้ ก็ถูกกำหนดให้มีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้าทนเห็นนางถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมโดยไม่ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น… ได้แต่ต้องลงมือก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบแล้ว”
อู่อวิ๋นเหลียนถามตามจิตใต้สำนึก “เจ้าไม่กลัวถูกแก้แค้นหรือ”
หลินสวินเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
ความหนาวสะท้านสายหนึ่งถาโถมเข้าใส่ทั้งร่างอู่อวิ๋นเหลียนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ราวกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คน แต่เป็นเทพสังหารองค์หนึ่ง ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เขา…
เป็นใครกันแน่
เสียงของหลินสวินยิ่งต่ำลึก “ได้ยินว่าในหอเสียงสวรรค์เจ้าเกลียดแม่นางชิงเยียนที่สุด แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องนี้ไม่สำคัญแล้ว”
อู่อวิ๋นเหลียนขนลุกไปทั้งตัว พูดเสียงแหลม “เจ้าจะทำอะไร”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง มือข้างหนึ่งของหลินสวินก็วางบนไหล่ของนาง “ไม่ต้องกลัว ข้าจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นเท่านั้น”
ฮูม…
ร่างกายของอู่อวิ๋นเหลียนพลันแห้งเหี่ยวไปอย่างไร้สุ้มเสียง สูญเสียพลังชีวิต เปลี่ยนเป็นขี้เถ้าล่องลอยเต็มท้องฟ้า!
ทำทั้งหมดนี้เสร็จหลินสวินก็เอามือไพล่หลัง ดวงตาลึกล้ำมองท้องฟ้ารัตติกาลไกลๆ
เขากำลังรออยู่
ช่วงที่ผ่านมานี้เขาอดทนมาโดยตลอด เก็บตัวเงียบโดยตลอด เดิมคิดว่าหลังจากจัดการผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ก็จะสามารถทำให้หอเสียงสวรรค์เก็บมือได้
ทว่าถึงตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าตนคิดผิดไปแล้ว
ความอดทนตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และไม่สามารถช่วยหลิ่วชิงเยียนแก้ไขสถานการณ์ที่ถูกกักขังได้!
อย่างคืนนี้ หากเขาไม่อยู่ หลิ่วชิงเยียนคงถูกพวกอันธพาลเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนทำร้ายไปนานแล้ว
“ไสหัวไป”
หลินสวินก้มหน้า เหลือบมองพวกจินเทียนฉีที่นอนอยู่บนพื้นคราหนึ่ง
คนตระกูลจินเทียนที่เสียเปรียบและถูกเย้ยหยันเหล่านี้ แต่ละคนเผยความชิงชัง ลุกขึ้นจากไป
หลินสวินไม่ได้สนใจ
เขารู้ว่าในเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนต้องมีสัตว์ประหลาดเฒ่าคอยดูแลอยู่ และได้เห็นภาพเหล่านี้แล้ว
เหตุผลที่ไม่ฆ่าคนพวกนี้ ความหมายที่หลินสวินสื่อชัดเจนมาก ไม่ว่าทำอะไรก็ต้องมีทางหนีทีไล่ เป็นการไว้หน้าเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนของพวกเขาแล้ว
หากยังไม่รู้ความ เขาก็จะไม่เกรงใจใดๆ อีก!
“พี่ชาย เจ้าแทงทะลุฟ้าแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดป่านมองเห็นทุกอย่างนี้ ในดวงตาแฝงแววประหลาด
“ทะลุฟ้าหรือ ยานลมกรดลำหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเกินจริงขนาดนั้น”
หลินสวินกล่าวเรียบๆ “อีกเดี๋ยวเจ้าพูดน้อยหน่อยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากพัวพันไปถึงตัวเจ้า ผู้อาวุโสข้างกายเจ้าคนนั้นคงจะปวดใจอีก”
เด็กหนุ่มชุดป่านสีหน้าชะงัก พูดอย่างไม่อภิรมย์ “เจ้าคิดว่านายน้อยอย่างข้ากลัวปัญหาหรือ”
หลินสวินย้อนถาม “ไม่กลัวปัญหา แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล้าเพียงฟุบอยู่บนกำแพงตลอด กลับไม่กล้าออกไปแม้แต่ก้าวเดียว”
เด็กหนุ่มชุดป่านเงียบไป สีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้ ภายในใจเหมือนกำลังดิ้นรน
“นายน้อยอย่าได้ถูกคำพูดของเจ้าหมอนี่รบกวนสภาวะจิต มรรคาของท่านไม่เหมือนเขา ไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากให้ตนเช่นนี้”
จู่ๆ หญิงชราก็ปรากฏตัว เอ่ยปลอบใจเด็กหนุ่มชุดป่าน
จากนั้นดวงตาของนางก็เหลือบมองหลินสวินอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นคนฉลาด คิดว่าคงรับรู้ได้แล้วว่ามหันตภัยกำลังมาเยือน ยากจะเอาตัวรอด แต่ถ้าเจ้าคิดจะใช้วิธีเช่นนี้ลากนายน้อยของข้าลงน้ำไปด้วย ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
“ลากเขาลงน้ำหรือ”
หลินสวินยิ้มส่ายหน้า ไม่พูดมากอีก
เด็กหนุ่มชุดป่านเงยหน้าขึ้น เพิ่งหมายจะพูดอะไรสักอย่างก็ถูกหญิงชราหิ้วคอเสื้อพาเข้าเรือนไป
ในเวลาเดียวกันเสียงที่เต็มไปด้วยความเฉยชาเยียบเย็นของนางดังขึ้นข้างหูหลินสวิน “เจ้าหนุ่ม นายน้อยของข้าเป็นแพะรับบาปแทนเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว เมตตามากพอแล้ว ขืนยังได้คืบเอาศอก ก็เท่ากับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
น้ำเสียงเผยพลังกดดันที่สูงส่ง!