กึ่งจักรพรรดิฮว่าเตี่ยนถูกฆ่า!
จักรพรรดิกระบี่วายุและเหลียงชวนผู้อาวุโสชั้นสูงของหอเสียงสวรรค์ต่างแสดงจุดยืน ปกป้องอวี่เสวียนด้วยตนเอง!
ผู้ฝึกปราณทุกคนที่รู้เรื่องนี้ต่างมีอาการปากอ้าตาค้าง ราวกับได้ยินเรื่องพิลึกพิลั่นที่สุดในปฐพีเรื่องหนึ่ง
อวี่เสวียนเจ้าคนที่เรียกคลื่นลมมากมาย ถูกมองเป็นต้นตอแห่งหายนะคนนี้ ไม่เพียงแต่รอดชีวิต หนำซ้ำยังรอดแบบดีกว่าที่ใครก็ตามคาดการณ์ไว้อีกด้วย!
อย่างน้อยนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บนยานลมกรดแห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้าไม่หวังดีต่อเขาอีก!
“ตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดถึงทำให้จักรพรรดิกระบี่วายุกับผู้อาวุโสเหลียงชวนกลับลำเปลี่ยนท่าทีกันหมด”
“บนตัวอวี่เสวียนนี่จะต้องมีความลับที่ไม่อาจให้ใครรู้เป็นแน่!”
เกิดเสียงวิพากวิจารณ์มากมายไปชั่วขณะ
…
ขณะเดียวกันหลินสวินก็สีหน้าจนปัญญา
หลังจากหลิ่วชิงเยียนรับรู้ข่าวสารต่างๆ ที่แพร่สะพัดในภายนอกก็เหมือนถูกสาปไม่ปาน หลังจากอึ้งงันไปเนิ่นนานก็เริ่มเอ่ยถามคำถามสารพัด
มีอาการเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็น
ที่พออธิบายได้หลินสวินล้วนอธิบายหมดแล้ว แต่เรื่องเกี่ยวกับศิษย์พี่สิบเอ็ดผู่เจินและสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น กลับไม่สามารถเล่าให้หลิ่วชิงเยียนฟังโดยละเอียด
หลิ่วชิงเยียนเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ เริ่มตะล่อมหว่านล้อม ขาดแค่ไม่ได้กระเซ้ากระซี้ออดอ้อนแล้ว
ทว่าหลินสวินก็ได้แต่พูดวกวนกำกวมอย่างจนปัญญา ปิดปากแนบแน่น
ตอนนี้สถานะของเขายังเป็นอวี่เสวียน แม้จะเปิดเผยพลังมากมาย สร้างข้อสงสัยไม่น้อยแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังไม่มีใครล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเขา
สุดท้ายหลิ่วชิงเยียนก็ไม่ได้ถามถึงที่สุด
ทว่าสายตาที่นางมองหลินสวินแตกต่างออกไปแล้ว ทำหน้าประมาณว่าช้าเร็วข้าก็ต้องล่วงรู้ความลับของท่านให้แน่ชัดให้ได้ ทำเอาหลินสวินขยับตัวลำบากไปพักหนึ่ง
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตของหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นสงบสุขหาใดเปรียบ
นอกจากฝึกปราณ ก็ใคร่ครวญเรื่องหลังจากไปถึงโลกใหญ่หงเหมิง
บางครั้งเขาก็จะออกไปข้างนอก แต่ไม่ว่าเขาปรากฏตัวที่ไหน ล้วนพบเจอสายตาเจือแววแปลกๆ มากมายตลอดทาง
มีทั้งเคารพยำเกรง มีทั้งสงสัยใคร่รู้ และมีทั้งกังขาไม่เข้าใจ
รสชาตินั้นทำเอาเขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนตัวประหลาด
ก็แม้แต่เด็กหนุ่มชุดป่านที่เรียกตัวเองว่าเสวียนจิ่วอิ้นยังนอนฟุบบนกำแพง งึมงำพร่ำบ่นข้อสงสัยมากมายออกมา อย่างเช่น…
“พี่ชาย เจ้าเป็นผู้สืบทอดของผู้ยิ่งใหญ่คนใดกันแน่”
“พี่ชาย ผู้อาวุโสที่ชอบพูดถึงเหตุผลคนนั้นเป็นศิษย์พี่ของเจ้าจริงๆ หรือ”
“พี่ชาย เจ้าจะโทษว่าข้าเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยไม่ได้เชียว ข้าน่ะมีใจแต่ไร้กำลังจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าไม่อาจเผยความลับกับข้าว่าเป็นทายาทของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่หรือไม่กันแน่หรือ”
“พี่ชาย…”
หลินสวินย่อมไม่สามารถตอบคำถามได้ จึงหมกตัวอยู่ในเรือนพักดื้อๆ ไม่ออกไปข้างนอกอีก ทุ่มเทแรงกายแรงใจฝึกปราณ
ช่วงระหว่างนี้จวงอวิ้นจื้อก็เคยมาหา บอกหลินสวินว่าทางฝั่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์อย่างไรก็ยังเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อย
หลังจากไปถึงโลกใหญ่หงเหมิง ข่งอวี้ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ย่อมไม่อาจจบเรื่องง่ายๆ เป็นแน่
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้พูดมากความอะไร
ข่งอวี้นี่ไม่เพียงเป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ยังเป็นทายาทเลือดบริสุทธิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งอีกด้วย สถานะไม่ธรรมดาถึงที่สุด
แต่หลินสวินไม่แยแสสักนิด
ควรรู้ว่าจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนบรรพบุรุษของข่งอวี้ ถูกศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูกำราบไว้ไม่รู้กี่ชั่วนาตาปี!
ยามนี้พลังจิตของจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนยังถูกกำราบอยู่ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด ไม่พ้นสิบปีก็จะถูกหลอมสิ้น!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีหรือหลินสวินจะสนใจการคุกคามของข่งอวี้
จักรพรรดิกระบี่วายุเองก็เคยมาหาเช่นกัน ท่าทีสุภาพยิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ปฏิบัติต่อหลินสวินเหมือนคนด้อยอาวุโสคนหนึ่ง
เขาตั้งใจจะชดเชยบางอย่างให้หลินสวิน
ถึงแม้ศิษย์พี่สิบเอ็ดผู่เจินจะไว้ชีวิตเขา แต่กลับเอ่ยว่าต้องชดเชยให้หลินสวิน
จักรพรรดิกระบี่วายุไม่กล้าไม่เห็นสำคัญ
แต่สำหรับเรื่องนี้หลินสวินกลับส่ายหน้า บอกว่าเขาไม่ต้องการการชดเชยอะไร
สิ่งนี้ทำให้จักรพรรดิกระบี่วายุจนปัญญาไปพักหนึ่ง
ไม่ชดเชย?
นี่ได้ที่ไหน!
หมู่นี้ปัญหาเกี่ยวกับการชดเชยแทบจะกลายเป็นปัญหากวนใจอย่างหนึ่งของจักรพรรดิกระบี่วายุ ชดเชยน่ะต้องชดเชยอยู่แล้ว แต่ควรชดเชยอย่างไร เขากลับสรุปไม่ได้
เหมือนอย่างตอนแรกที่เขาไปฆ่าฮว่าเตี่ยน แสดงท่าทีปกป้องที่มีต่อหลินสวิน อันที่จริงก็คือการเริ่มชดเชยให้หลินสวินแล้ว
แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่พออีกหลายโข!
“ควรชดเชยอะไรกันแน่ วิชายุทธ์? เกรงว่าเขาคงไม่ขัดสนสักนิด สมบัติ? มีศิษย์พี่ระดับจักรพรรดิแบบนั้นอยู่ทั้งคน ในมือเจ้าหมอนั่นมีหรือจะขาดสมบัติ”
กลางเรือนพัก จักรพรรดิกระบี่วายุกลัดกลุ้มยิ่ง
“ผู้อาวุโส ศิษย์พี่ของอวี่เสวียนคนนั้นจากไปนานแล้ว เหตุใดท่านกลับสาละวนอยู่กับเรื่องชดเชยนี่”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่เข้าใจยิ่ง
ผู้อาวุโสตระกูลตนเป็นถึงจักรพรรดิกระบี่วายุที่ชื่อเสียงสะท้านฟ้าดารา อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายชาวนาคนนั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นระดับจักรพรรดิแท้จริงคนหนึ่ง!
ตอนนี้ชายชาวนาก็จากไปแล้ว เรื่องชดเชยไยต้องจริงจังและขมักขะเม้นเช่นนี้ด้วย
“นางหนู เจ้าไม่เข้าใจ”
จักรพรรดิกระบี่วายุทอดถอนใจเบาๆ “เส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิอุปสรรคหนักหนา หาได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด ข้าแจ้งมรรคเป็นจักรพรรดิมาสามหมื่นปี ทว่าจนกระทั่งยามนี้ก็เพิ่งสัมผัสบานประตูแห่ง ‘ไร้ตัวข้า ไร้ฟ้าดิน’ เท่านั้น”
“นี่เป็นเพียงด่านแรกของเส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิเท่านั้น นามว่า ‘ไร้ผูกมัด’ นับแต่อดีตสืบมา ไม่ว่าผู้เหยียบย่างระดับจักรพรรดิคนใดก็ตามในใต้หล้า มีคนเกินกว่าครึ่งถูกขวางอยู่หน้าด่านแรกนี้”
ฟังถึงตรงนี้จินเทียนเสวียนเยวี่ยยังอึ้งไป
แจ้งมรรคเป็นจักรพรรดิสามหมื่นปี กลับสัมผัสได้เพียงบานประตูด่านแรกของระดับจักรพรรดิเท่านั้น?
เช่นนี้เส้นทางแห่งระดับจักรพรรดินี้จะตรากตรำปานใดกัน
เสียงของจักรพรรดิกระบี่วายุต่ำลึก “เหมือนอย่างภิกษุเฒ่าตู้คงนั่น อย่ามองว่าครอบครองสองร่างฌานสว่างมืดมิด และฝึกฝนวิชาหมื่นพันร่างแปลงที่สืบทอดมาจากบรรพจารย์พุทธกษิติครรภ์ แต่บนเส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิก็ยังอยู่ในขั้นที่ไม่ต่างจากข้า”
“ส่วนหญิงชราที่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มแซ่เสวียนนั่นอาจจะร้ายกาจกว่าหน่อย แต่อย่างมากที่สุดก็อยู่แค่ในด่านที่หนึ่งของระดับจักรพรรดินี่เท่านั้น”
“แต่ชายชาวนานั่นต่างออกไป”
กล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาจักรพรรดิกระบี่วายุฉายแววสะท้านไหวอย่างยากสังเกต จมสู่ความเงียบงัน
รอเนิ่นนานก็ยังไม่ได้คำตอบ จินเทียนเสวียนเยวี่ยจึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “ผู้อาวุโส หรือว่าเขาก้าวข้ามด่านที่หนึ่งของระดับจักรพรรดินี้ไปแล้ว”
จักรพรรดิกระบี่วายุส่ายหน้า “ผู้ที่ก้าวข้ามด่านหนึ่งระดับจักรพรรดิ ไม่สามารถซัดสามหมัดก็กำราบภิกษุเฒ่าตู้คงได้อย่างง่ายดายหรอก”
ประโยคเดียวทำเอาจินเทียนเสวียนเยวี่ยสูดหายใจเฮือก “หรือว่าระดับขั้นของเขาสูงยิ่งกว่า”
จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าว “ใช่ สูงยิ่งกว่า ส่วนสูงถึงขั้นไหนนั้น จากระดับของข้าไม่สามารถมองออก”
กล่าวถึงตรงนี้ในใจจักรพรรดิกระบี่วายุก็ทอดถอนใจไปพักหนึ่ง
ตอนนั้นที่เขาเป็นฝ่ายก้มหัวยอมแพ้ก็เพราะเหตุนี้ ไม่มีวิธีต่อต้านเลยสักนิด หาไม่ก็ต้องตาย!
ระดับจักรพรรดิดูเหมือนยิ่งใหญ่ผ่าเผย อันที่จริงในสายตา ‘คนร่วมมรรค’ ระดับเดียวกัน ระดับนี้… กลับเป็นความยากในความยาก!
หากบอกว่าระดับจักรพรรดิเป็นยอดเขาที่อันตรายหาใดเปรียบ เช่นนั้นจักรพรรดิกระบี่วายุอย่างเขา สามหมื่นปีมานี้ก็แค่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวเชิงเขามาโดยตลอด
ส่วนชายชาวนานั่นเกรงว่าคงไต่ขึ้นบนภูเขาลูกนี้แล้ว ส่วนจะอยู่ตำแหน่งไหนนั้น จักรพรรดิกระบี่วายุเองก็ไม่อาจมองเห็นได้
จินเทียนเสวียนเยวี่ยเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส แต่ต่อให้คนผู้นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้พวกเราลำบากเกินไปไม่ใช่หรือ”
“เจ้าไม่เข้าใจ”
จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าว “ข้ากล้ามั่นใจว่าตอนนั้นเขามีความคิดจะฆ่าข้า แต่กลับเปลี่ยนใจในตอนสุดท้าย หากข้าเดาไม่ผิด ต้องเป็นเพราะบรรพบุรุษของพวกเราแน่”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยอึ้งไป นางจำได้ชัดว่าชายชาวนาคนนั้นเคยกล่าวว่า ‘เจ้ามีบรรพบุรุษที่ดีคนหนึ่ง’
“คงไม่ใช่ว่า… อีกฝ่ายยังรู้จักบรรพบุรุษด้วยกระมัง”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยท่าทางสะท้านสะเทือน
บรรพบุรุษตระกูลจินเทียน ก็คือจักรพรรดิขาวดึกดำบรรพ์ บุคคลเทียมฟ้าที่เรียกได้ว่าอยู่เหนือสุดคนหนึ่ง เป็นตำนานผู้สร้างเมืองจักรพรรดิขาวกับมือ!
ต่อหน้าเขา จักรพรรดิกระบี่วายุก็เป็นได้เพียงทายาทรุ่นที่สิบหกของตระกูลจินเทียนเท่านั้น ลำดับอาวุโสห่างกันลิบลับ
“ต่อให้ไม่รู้จัก ก็ต้องเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของบรรพบุรุษเรา”
จักรพรรดิกระบี่วายุกล่าว “ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ มีหรือข้าจะไม่เก็บเอาคำพูดของอีกฝ่ายมาใส่ใจ”
กล่าวถึงตรงนี้ก็มองจินเทียนเสวียนเยวี่ยที่มีมาดสง่าผ่าเผย ผิวพรรณเนียนผ่องซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าตน จู่ๆ หัวใจของจักรพรรดิกระบี่วายุก็ไหวกระตุก
“เสวียนเยวี่ย เจ้าเคยต่อสู้กับอวี่เสวียนคนนี้ คิดว่าความแข็งแกร่งของเขาเป็นอย่างไร”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยใคร่ครวญแล้วกล่าว “ได้แต่ใช้คำว่าลึกล้ำสุดหยั่งมาบรรยาย ข้าถึงขั้นสงสัยว่าเขาสามารถขึ้นสู่สามสิบอันดับแรกของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ได้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขายังอยู่แค่ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นต้น ภายหน้าหากปราณทะยานสูง ความแข็งแกร่งของเขามีแต่จะยิ่งน่ากลัวขึ้นเท่านั้น!”
กล่าวถึงตรงนี้นางทอดถอนใจเบาๆ “ถึงแม้ข้าจะถูกเขาโจมตีพ่ายแพ้ แต่กลับไม่อาจไม่ยอมรับ ความสำเร็จของเขาในระดับมกุฎราชันอริยะอยู่เหนือกว่าข้าช่างหนึ่ง”
จักรพรรดิกระบี่วายุนิ่งเงียบครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เสวียนเยวี่ย บางครั้งเรื่องร้ายก็สามารถกลายเป็นวาสนาอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ เจ้า… ยินดีจะลองสู้ดูสักตั้งหรือไม่”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยอึ้งไป กล่าวว่า “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”
…
และในวันนั้นเอง ยานลมกรดที่เดิมทีค่อยๆ กลับสู่ความเงียบสงบ ก็เกิดเสียงฮือฮานับไม่ถ้วนอีกครั้งเพราะข่าวหนึ่ง…
“จินเทียนเสวียนเยวี่ย เทพธิดาแห่งยุคของตระกูลจินเทียนอยากจะติดตามฝึกปราณอยู่ข้างกายอวี่เสวียน เฝ้ารออยู่หน้าประตูของอวี่เสวียนเพื่อการนี้อย่างไม่ย่อท้อ!”
ทันทีที่ข่าวกระจายออกไป ทุกคนต่างทึ่มทื่อ
เผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนยิ่งใหญ่ปานใด ทอดสายตามองทั่วทางเดินโบราณฟ้าดารา ก็ยังเป็นตระกูลใหญ่เก่าแก่ชั้นหนึ่ง ให้กำเนิดระดับจักรพรรดิออกมาหลายคน!
และจินเทียนเสวียนเยวี่ยก็เป็นดาวจรัสแสงที่พราวตาที่สุดในรุ่นปัจจุบัน อย่างการเดินทางครั้งนี้ของนาง ข้างกายถึงขั้นมีจักรพรรดิกระบี่วายุคอยติดตาม คอยปกป้องคุ้มครองนาง
แต่ยามนี้นางถึงกับต้องการติดตามอยู่ข้างกายอวี่เสวียน ทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ติดตาม’ คนหนึ่ง!
นี่น่าตกใจเกินไป!
“เทพธิดาเสวียนเยวี่ยนาง… เหตุใดนางถึงเป็นเช่นนี้…”
ผู้ฝึกปราณที่เทิดทูนบูชาและลุ่มหลงนางมาโดยตลอดไม่รู้เท่าไหร่ต่างใจสลายกับเรื่องนี้
“อวี่เสวียนนี่ช่างโชคดีเป็นบ้า!”
และมีเสียงริษยาอิจฉามากมายดังขึ้นเช่นกัน
จินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่เพียงแต่สง่าโดดเด่น ดุจดั่งเทพธิดาตำหนักจันทรา ชาติกำเนิดของนางก็สูงส่งหาใดเปรียบ หากได้รับการชายตาแลจากนาง ล้วนสามารถทำให้ผู้คนปลาบปลื้มสุดขีด
แต่ยามนี้นางถึงกับเป็นฝ่ายอยากติดตามฝึกปราณอยู่ข้างกายอวี่เสวียนคนนั้น เรื่องนี้จะให้ใครยอมรับในทันทีได้กัน
“ไม่ ข้าไม่ยอม!”
คนบางส่วนยิ่งตะโกนลั่นกัดฟันกรอด คิดว่าอวี่เสวียนไม่คู่ควรให้จินเทียนเสวียนเยวี่ยทำเช่นนี้ด้วยสักนิด
แต่ไม่นานก็มีคนมากมายโจมตีอย่างไม่เกรงใจ “ไม่เห็นหรือ ผู้อาวุโสจักรพรรดิกระบี่วายุยังไม่ปฏิเสธ เจ้านับเป็นตัวอะไร มีสิทธิ์อะไรถึงไม่ยอม”
สรุปแล้วการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจินเทียนเสวียนเยวี่ยเรียกเสียงฮือฮาขึ้นมากมาย คนนับไม่ถ้วนตกตะลึง ยากจะทำใจเชื่อ
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างตะลึงอึ้งค้างคือ…
อวี่เสวียนถึงกับปฏิเสธ!
ว่ากันว่าแม้แต่ประตูใหญ่ของเรือนพักก็ยังไม่ได้เปิดออก ปล่อยให้สาวงามแห่งยุคอย่างจินเทียนเสวียนเยวี่ยยืนโดดเดี่ยวอยู่นอกประตู…