หยั่งรู้อยู่เนิ่นนาน จู่ๆ หลินสวินก็ยื่นมือขึ้นคว้าเบาๆ กลางห้วงอากาศ
วู้ม!
แสงระเรื่อสีเหลืองหม่นที่แผ่จากพลังวิญญาณธาตุดินอันแน่นหนาไพศาลควบรวมกลางห้วงอากาศ สุดท้ายกลายเป็นกรวดทรายที่ขุ่นมัวคลุมเครือเม็ดหนึ่ง
เล็กเท่าเมล็ดงา เล็กจ้อยถึงขีดสุด
แต่ความรู้สึกที่มอบให้ผู้คน กลับประหนึ่งไอมารดรต้นกำเนิดที่สามารถฟูมฟักสรรพชีวิตออกมาได้ เผยกลิ่นอายสูงตระหง่านอันน่าตกใจออกมา
หลินสวินดีดนิ้วคราหนึ่ง เม็ดทรายนี้พลันกลายเป็นภูเขาใหญ่สูงตระหง่านลูกหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแผ่นดินกว้างที่ลอยล่องแถบหนึ่ง…
สุดท้ายทรายเม็ดนี้ก็กลายเป็นดินแดนดุจดั่งมายาแห่งหนึ่ง ไพศาลและหนาแน่น คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายทนทานไร้จำกัด
‘หนึ่งเม็ดทรายดั่งโลกใบหนึ่ง หมื่นวิญญาณสรรพชีวิตฟูมฟักอยู่ภายใน…’
หัวใจหลินสวินไหวขยับ ผสานแรงปรารถนาสรรพชีวิตที่ตนครอบครองทั้งหมดเข้าไปในทรายเม็ดนี้
ฉับพลันภาพเหตุการณ์สุดวิเศษอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น
ท่ามกลางโลกที่วิวัฒน์ขึ้นมาจากกรวดทรายนั่น ถึงกับปรากฏลักษณ์แห่งสรรพชีวิต หมื่นวิญญาณทั่วหล้าพำนักอาศัยอยู่ในนั้น กว้างใหญ่ไพศาล
หากกล่าวว่าโลกกรวดทรายก่อนหน้านี้เหมือนมายาว่างเปล่าเกินไป เช่นนั้นโลกกรวดทรายตรงหน้านี้ก็ราวกับมีอยู่จริง
และหลินสวินก็ดุจดั่งนายเหนือหัวผู้ให้กำเนิด มองเห็นทุกนัยเร้นลับของโลกนี้ มีอานุภาพผงาดกร้าวในโลก เฝ้ามองสรรพชีวิต!
ตูม!
สุดท้าย ‘โลกกรวดทราย’ นี้ก็กลายเป็นประทับใหญ่สีเหลืองดินที่เรียบง่ายไพศาล ตามความคิดที่ขยับไหวของหลินสวิน
มันลอยแขวนกลางอากาศ สำแดงลักษณ์สรรพชีวิต
นี่ก็คือ ‘ประทับแห่งสรรพชีวิต’ ที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์มหามรรคหวงถิง! ควบรวมขึ้นจากพลังแห่งพรสวรรค์ที่กายมรรคดินเหลืองเชี่ยวชาญ!
‘ธาตุดิน หนักแน่นในคุณธรรม ศิษย์พี่เก้าถึงกับผสานแรงปรารถนาสรรพชีวิตเข้าไปในอภินิหารของกายมรรคดินเหลือง ฝีมือระดับนี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนสังขารเน่าเปื่อยเป็นความอัศจรรย์เลิศล้ำ’
แววตาหลินสวินเจิดจ้า จับจ้อง ‘ประทับแห่งสรรพชีวิต’ ที่ลอยอยู่เบื้องหน้า จิตใจบังเกิดแรงสะเทือนขึ้นระลอกหนึ่ง
ความวิเศษอัศจรรย์ของประทับนี้น่าเหลือเชื่อ และอานุภาพของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการ ใช้มันต่อสู้ ก็เหมือนกวาดรวบเอาพลังทั้งโลกและอานุภาพแห่งสรรพชีวิตเข้าโจมตีพร้อมกัน!
ฮูม…
หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ประทับแห่งสรรพชีวิตเลือนหายไปจนสิ้น
‘กายมรรคไม้เขียวครอบครองพรสวรรค์แห่งเป็นตายรุ่งเรืองโรยรา กายมรรคดินเหลืองครอบครองประทับแห่งสรรพชีวิต นี่เท่ากับข้าครองวิธีต่อสู้ที่วิเศษอัศจรรย์สองอย่าง’
หลินสวินครุ่นคิด ‘ต่อไปเมื่อถึงโลกใหญ่หงเหมิง ก็สามารถเปลี่ยนเป็นอีกตัวตนได้อย่างสิ้นเชิง ใช้กายมรรคดินเหลืองท่องทะยานทั่วหล้า ถึงตอนนั้นใครจะคาดเดาได้ว่าข้าก็คือหลินสวิน และใครบ้างจะรู้ว่าข้าเคยเป็นอวี่เสวียนมาก่อน’
หลินสวินถึงขั้นคิดไปว่า ใยภายหน้ายามตนควบรวม ‘กายมรรคเพลิงแดง’ ‘กายมรรคทองขาว’ ‘กายมรรควารีดำ’ ออกมาได้อีก นั่นเท่ากับเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนสถานะได้ทุกเมื่อขึ้นอีกสามอย่าง!
‘เมื่อเป็นเช่นนี้ ในโลกใหญ่หงเหมิงใครเล่าจะรู้ว่าข้า… ก็คือข้า’
นัยน์ตาดำของหลินสวินลึกล้ำ ภายในใจรู้สึกผ่อนคลายไปพักหนึ่ง
สถานะของอวี่เสวียนนี้ ยามนี้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นมากเกินไป แต่ไม่เป็นไร ต่อไปก็สามารถทำการเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ
หนำซ้ำแม้แต่ระดับจักรพรรดิ เกรงว่าจะยังไม่สามารถมองพิรุธจุดนี้ออกด้วยซ้ำ!
ถึงอย่างไรกายมรรคแต่ละแบบต่างมีท่วงทำนองและกลิ่นอ่ายเป็นของตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ ‘การปลอมตัว’ ทั่วๆ ไปจะสามารถเทียบได้
ในวันนี้หลังเคี่ยวกรำหนักหน่วงมาสองเดือน หลินสวินก็ควบรวมกายมรรคดินเหลืองออกมาได้สำเร็จ
อีกทั้งปราณของเขาก็ยังพลอยรุดหน้าขึ้นอีกขั้นตามไปด้วย ระยะห่างจากการทะลวงระดับมกุฎราชันอริยะขั้นกลางเหลือเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น
และในวันนี้เอง ยานลมกรดก็มาถึง ‘เขตแดนดาราราชันแสง’ เขตแดนมหาดาราเก้าบนของทางเดินโบราณฟ้าดาราที่อยู่ใกล้กับเขตแดนดาราใจกลางมากที่สุด
โลกใหญ่แดนธรรม
โลกที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งของเขตแดนดาราราชันแสง ค่อนข้างมีชื่อเสียงเช่นเดียวกับโลกใหญ่จินเทียนในเขตแดนดาราจักรพรรดิขาว
ยามมาถึงที่นี่ พวกผู้อาวุโสชั้นสูงเหลียงชวนแห่งหอเสียงสวรรค์ต่างก็เริ่มประหม่าหาใดเปรียบ รู้สึกถึงความกดดันมหาศาล
สาเหตุก็เพราะ โลกใหญ่แดนธรรมแห่งนี้เป็นอาณาเขตของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง!
และควรรู้ว่า ข่งอวี้ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์นั่นเป็นทายาทเลือดบริสุทธิ์คนหนึ่งจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งนี่
หากไม่ใช่เพราะเลี่ยงไม่ได้ เหลียงชวนก็ไม่อยากเข้าสู่เขตแดนดาราราชันแสง อันที่จริงเส้นทางเดินทางในฟ้าดาราของพวกเขา หากอยากไปถึงเขตแดนดาราใจกลาง ก็มีแต่ต้องผ่านเขตแดนดาราราชันแสงเท่านั้น
หากเลือกอ้อมไป อย่างน้อยก็ต้องสามปีถึงจะเข้าใกล้เขตแดนดาราใจกลางได้!
สามปี ผู้โดยสารบนยานลมกรดใครจะรอไหวบ้าง
อีกทั้งหอเสียงสวรรค์ก็จ่ายไม่ไหวเลย ควรรู้ว่าการทะยานฟ้าดาราของยานลมกรด ทุกวันล้วนเสียผลึกมรรคจำนวนมหาศาล!
“ครั้งนี้สถานการณ์จำเพาะ ไม่อาจหยุดแวะที่ ‘โลกใหญ่แดนธรรม’ ได้เด็ดขาด เดินหน้าต่อไป!”
สุดท้ายเหลียงชวนก็กัดฟันตัดสินใจ
ตามแผนเดิม ยานลมกรดต้องจอดแวะที่โลกใหญ่แดนธรรมสามวัน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ เขาจะกล้าทำเช่นนี้หรือ
ถ้าเกิดถูกเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งมาหา ทุกอย่างก็จบเห่กันหมด!
การตัดสินใจของเหลียงชวน ได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากทุกคนของหอเสียงสวรรค์
เรื่องนี้เหลียงชวนก็เปรยกับหลินสวินไว้ก่อนแล้ว ให้ฝ่ายหลังเตรียมความพร้อม ถึงอย่างไรเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งก็เป็นถึงขุมอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งในเขตแดนดาราราชันแสงแห่งนี้
หากเกิดคลื่นลมอะไร หลินสวินที่เคยฆ่าผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ทั้งกลุ่ม จะต้องถูกเพ่งเล็งตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ
เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง สุดท้ายก็ไม่ใช่เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ทั้งคู่นั้นแตกต่างกัน
…
และขณะเดียวกัน หลังจากได้รู้ข่าวที่ยานลมกรดไม่หยุดแวะที่โลกใหญ่แดนธรรม ก็มีคนร้อนรนก่อนใครเพื่อน
เป็นข่งหลินลูกหลานเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง
ไม่กี่เดือนก่อน ในคืนที่หลินสวินฆ่าผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เหล่านั้น ข่งหลินก็เคยบุกเข้าไปในโถงใหญ่หอเสียงสวรรค์ด้วยอาการโมโหโทโส แผดเสียงคำรามสนั่น เกือบจะชี้หน้าด่าทอฮว่าเตี่ยนยกใหญ่
สุดท้ายคนใหญ่คนโตของหอเสียงสวรรค์อย่างฮว่าเตี่ยนก็ได้แต่กลั้นใจยอมรับ ฝืนเก็บความขุ่นเคืองอย่างเงียบๆ
สาเหตุก็เพราะข่งหลินเป็นผู้ติดตามข้างกายข่งอวี้ ตำแหน่งและสถานะล้วนไม่ใช่คนอื่นๆ จะเทียบชั้นได้
แต่ว่าในช่วงนี้ข่งหลินถ่อมตนยิ่งเรื่อยมา เขาตระหนักได้แต่ต้นว่าบรรยากาศบนยานลมกรดไม่เข้าที แม้จะรู้ดีว่าฆาตกรที่ฆ่าผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เหล่านั้นก็คืออวี่เสวียน ก็ได้แต่เก็บเงียบ ไม่กล้ากระโตกกระตาก
หนึ่งเพราะกริ่งเกรงจักรพรรดิกระบี่วายุ สองคือหวั่นว่าจะไปสะกิดต่อมโมโหอวี่เสวียนเข้า และฆ่าเขาไปด้วย
เดิมทีข่งหลินตั้งใจว่าหลังจากมาถึงโลกใหญ่แดนธรรมก็จะรีบติดต่อผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง ให้บุกขึ้นยานลมกรดมาคิดบัญชีกับอวี่เสวียนทันที
ไหนเลยจะคาดคิด เหลียงชวนถึงกับออกคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ยานลมกรดจอดอยู่ที่โลกใหญ่แดนธรรม!
“พวกเจ้าหอเสียงสวรรค์บ้าไปแล้วหรือ รีบหยุดยานให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ข่งหลินลุกลี้ลุกลนขุ่นเคือง สีหน้าเข้มขรึม ตาแทบถลน เขาไม่อาจสนใจสิ่งอื่น พุ่งพรวดเข้าโถงประชุมใหญ่ของหอเสียงสวรรค์ทันที
เหลียงชวนสีหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวว่า “ขออภัย สภาพการณพิเศษ เกรงว่ายากจะทำตามประสงค์”
ข่งหลินโกรธจนทั่วร่างสั่นเทิ้ม ชี้หน้าเหลียงชวน “เจ้าเฒ่า เจ้าไม่กล้าล่วงเกินอวี่เสวียนนั่นข้าเข้าใจ แต่เจ้าคิดจะล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งรวมถึงเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของข้าเพราะอวี่เสวียนนี่จริงๆ หรือ”
ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยแววขมขู่
คนใหญ่คนโตของหอเสียงสวรรค์ภายในโถงใหญ่ไม่น้อยต่างหน้าเปลี่ยนสี รสชาติของการเสียบอยู่ตรงกลางเช่นนี้ ทำเอาพวกเขาทั้งอัดอั้นทั้งจนปัญญา
พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินอวี่เสวียนจริงๆ แต่มีหรือจะกล้าล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งและเรือนมรรคดึกดำบรรพ์
ชั่วขณะนั้นทุกสายตาล้วนมองไปทางเหลียงชวน
ก็เห็นสีหน้าเหลียงชวนขรึมลงทันควัน แผดเสียงตวาดลั่น “เฮอะ ลูกน้องคนหนึ่งข้างกายคุณชายข่งอวี้อย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรมาเป็นตัวแทนเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง แล้วเจ้าไปเอาความกล้าหาญเป็นตัวแทนเรือนมรรคดึกดำบรรพ์มาจากไหนกัน”
เสียงดุจอสนีบาต สนั่นหวั่นไหวทั่วโถงใหญ่
ข่งหลินอึ้งไป กล่าวอย่างโมโห “เจ้าเฒ่า นี่เจ้า…”
ตูม!
ทันใดนั้นยานลมกรดเกิดการสั่นโคลงรุนแรงขึ้นระลอกหนึ่ง ผู้ฝึกปราณมากมายบนยานล้วนถูกทำให้ตกใจ
พวกเหลียงชวนต่างหน้าเปลี่ยนสีหน่อยๆ ล่องยานบนทางเดินโบราณฟ้าดารา สิ่งที่กังวลใจมากที่สุดก็การพานพบภัยอันตรายจากธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์
“ไป ไปดูกัน”
คนทั้งขบวนพุ่งพรวดออกจากโถงใหญ่
ไม่นานพวกเขาก็มองเห็นยานสมบัติห้าสีที่มีรูปทรงคล้ายนกยูงลำหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้ายานลมกรด บนยานสมบัติห้าสีลำนั้นแขวนธงรบที่สลักอักษร ‘ข่ง’ หนึ่งผืน โบกสะบัดพลิ้วไหว
“ยานสมบัติห้าสีของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง!”
มีคนร้องอุทาน
พวกเหลียงชวนหัวใจหนักอึ้ง ราวกับถูกสายฟ้าฟาด เรื่องที่พวกเขาไม่อยากเห็นมากที่สุดถึงกับเกิดขึ้นจนได้…
“ยานสมบัติห้าสี? ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งไม่ได้มาดี”
บนกำแพงเรือนพัก เด็กหนุ่มชุดป่านหัวเราะร่วนพลางมองดูภาพเหตุการณ์นี้
“เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง…”
ด้านหน้าเรือนพักอีกแห่ง จักรพรรดิกระบี่วายุขมวดคิ้วน้อยๆ จมสู่ภวังค์เงียบๆ
“ผู้อาวุโส คนของตระกูลข่งมาแล้วจริงๆ หรือ”
ใบหน้างามของหลิ่วชิงเยียนซีดขาวเล็กน้อย ฉายแววตื่นตระหนก
“เจ้าอยู่ที่นี่อย่าไปไหน ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
หลินสวินกล่าวพลางเงาร่างก็หายลับไปกลางอากาศ
ยานสมบัติห้าสีของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งปรากฏขึ้น บีบให้ยานลมกรดจอด หลังจากนั้นคนขบวนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากยานสมบัติห้าสี พรวดพราดขึ้นยานลมกรด
ผู้นำคือชายหนุ่มสวมชุดหลากสี ศีรษะสวมเกี้ยวประดับราชันแสง ใบหน้าดุจหยกงาม ก้าวย่างองอาจ อานุภาพไม่ธรรมดาอย่างที่สุด
ด้านหลังมีชายวัยกลางคนชุดขาวคนหนึ่งกับชายชราชุดเขียวคนหนึ่งติดตามมา แต่ละคนต่างแผ่อานุภาพอันน่าสะพรึงชวนสยดสยองออกมา
นี่ก็คือระดับกึ่งจักรพรรดิสองคน!
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งขับเน้นให้สถานะของชายหนุ่มชุดหลากสีคนนั้นไม่ธรรมดาขึ้นไปอีก
บนยานลมกรดที่แต่เดิมฮือฮาโกลาหล เวลานี้ยังเปลี่ยนเป็นเงียบกริบขึ้นมา บนหน้าแต่ละคนต่างแต้มแววตกใจและกริ่งเกรง
และยามที่พวกเหลียงชวนมองเห็นชายหนุ่มชุดหลากสีคนนี้ เบื้องหน้าก็ดำมือไประลอกหนึ่ง หัวใจกระตุกรัดเกร็งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
ข่งอวี้!
ใครก็คิดไม่ถึงว่าผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ที่ชื่อเสียงเลื่องระบือ ผู้โดดเด่นสะดุดตาในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งคนนี้ ไม่ได้อยู่ที่โลกใหญ่หงเหมิง แต่ดันมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่แทน!
ชั่วขณะนี้พวกเหลียงชวนมึนตื้อ ไม่ทันตั้งตัวกันเลยสักนิด
“นายน้อย!”
และท่ามกลางความเงียบนี้ เสียงร้องเปี่ยมทุกข์ระทมสายหนึ่งพลันดังขึ้น ก็เห็นข่งหลินออกอาการตื่นเต้นแทบคลั่ง พุ่งพรวดเข้าไป น้ำตาแทบจะหลั่งรินออกมา
“เกิดเรื่องอะไรกัน”
หัวคิ้วข่งอวี้ขมวดมุ่น
สาเหตุที่เขารออยู่ที่นี่ ก็เพราะอยากเร่งรัดจับตัวหลิ่วชิงเยียนนั่น จะได้ระบายความคับแค้นในใจออกมาเสียหน่อย
ตอนนั้นถูกหลิ่วชิงเยียนปฏิเสธ ก็ทำให้ในใจเขาทั้งโกรธทั้งอายยิ่งนัก แค้นฝังใจตั้งแต่ตอนนั้น หาไม่ด้วยสถานะของเขา ก็คงไม่ต้องมาดักรออยู่ที่นี่
“นายน้อย เจ้าพวกหอเสียงสวรรค์พวกนี้รังแกกันเกินไปแล้ว ไม่เพียงมองดูผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ข้างกายท่านพวกนั้นถูกฆ่าตาปริบๆ ยังปกป้องและให้ท้ายคนร้ายอีก หากไม่ใช่เพราะท่านปรากฏตัวทันเวลา พวกเขายังไม่คิดจะปล่อยข้าด้วยซ้ำ!”
ข่งหลินสีหน้าบิดเบี้ยว กัดฟันกรอด เล่าออกมาอยากเดือดดาล
หัวใจของพวกเหลียงชวนจมสู่ก้นบึ้งอย่างสิ้นเชิง รู้สึกเพียงมือเท้าเย็นวาบไปพักหนึ่ง