นัยน์ตาดำหลินสวินหรี่ลง ชายชราคนนี้คือผู้แข็งแกร่งที่มองออกในทันทีว่าตนทะลวงขั้น!
เมื่อมองคนอื่นๆ รอบข้าง รวมถึงจินเทียนเสวียนเยวี่ยที่อยู่ข้างกายด้วย ถึงกับไม่มีใครสังเกตเห็นการคงอยู่ของหนึ่งแก่หนึ่งเด็กนั่น
ยังดี ชายชราคลี่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงโบกมือให้
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าน้อยๆ หมุนตัวเดินเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณพร้อมกับจินเทียนเสวียนเยวี่ย
วู้ม!
เมื่อเสียงดังก้องกระหึ่ม ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเปล่งแสง เงาร่างของพวกหลินสวินก็หายลับไปโดยพลัน
“นายน้อย เห็นแล้วหรือไม่ อัจฉริยะแห่งยุคที่มรรควิถีกร้าวแกร่งแกล้วกล้า เดินเหินนั่งนอนล้วนฝึกปราณ แต่หากต้องการทะลวงระดับขั้นได้โดยธรรมชาติ หากไม่มีการสั่งสมที่แน่นหนาหาใดเปรียบย่อมไม่อาจทำสำเร็จได้แน่”
มองส่งหลินสวินจากไปแล้ว ชายชราถึงกล่าวเสียงนุ่มว่า “สิ่งที่โลกใหญ่หงเหมิงแห่งนี้ไม่ขาดแคลนมากที่สุด ก็คือบุคคลเฉิดฉายน่าทึ่งเช่นนี้”
เด็กหนุ่มชุดดำกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เช่นนี้ไม่ยิ่งดีกว่าหรือ ข้ามาโลกใหญ่หงเหมิง ก็เพื่อใช้ดาบของข้าสร้างความปราชัยให้อัจฉริยะผู้กล้าที่ว่าพวกนี้!”
น้ำเสียงคมกริบชวนหวาดหวั่นกับปลายดาบ
ชายชรายิ้มกล่าว “เช่นนั้นก็เริ่มจากแคว้นเมฆาหรือ”
“ดี”
เด็กหนุ่มชุดดำพยักหน้า
เขาใช้ ‘เตา’ เป็นแซ่ ใช้ ‘ต้วนหลิว’ เป็นชื่อ
เขาชื่อว่าเตาต้วนหลิว (ดาบตัดกระแสธาร)
…
แคว้นเมฆา
หนึ่งในสี่สิบเก้าแคว้นแห่งโลกดึกดำบรรพ์ ชายแดนไพศาล เมืองกระจายตัว ความกว้างของอาณาเขตมากกว่าแคว้นเขียวหลายสิบเท่า!
แคว้นเมฆามีเจ็ดสำนักใหญ่ตั้งอยู่ ควบคุมพื้นที่ชายแดนแคว้นเมฆาประหนึ่งเจ็ดยักษ์ใหญ่ กลายเป็นแดนอริยะฝึกปราณในใจผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน
สำนักยุทธ์เสวียนจีก็คือหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่แห่งแคว้นเมฆา อยู่ในลำดับที่สาม
เมื่อเทียบกับแคว้นเขียว ขุมอำนาจฝึกปราณของแคว้นเมฆาย่อมยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย สาเหตุก็เพราะในแคว้นเมฆามีขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิเก่าแก่อยู่ไม่น้อย!
ขุมอำนาจอย่างตระกูลสิงแห่งเมืองหลินอัน หากมาอยู่ในอาณาเขตแคว้นเมฆาก็ยังไม่ใช่แม้แต่ขุมอำนาจชั้นรอง
และในแคว้นเมฆา การจะเทียบว่าขุมอำนาจแห่งหนึ่งมีมาตรฐานชั้นหนึ่งหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่ากำลังหลักของขุมอำนาจนั้นมีระดับกึ่งจักรพรรดิมากกว่าห้าคนควบคุมดูแลหรือไม่!
ส่วนเจ็ดสำนักใหญ่แห่งแคว้นเมฆา อยู่เหนือขุมอำนาจชั้นหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจระดับนายเหนือหัว รากฐานแน่นหนาไม่มีใครยอมใคร
เมืองเนินอุดร
หนึ่งในเมืองของแคว้นเมฆา จัดอยู่ในระดับกลาง ห่างจากเมืองนี้ไปสองสามหมื่นลี้ก็คือ ‘สำนักกระบี่จรดฟ้า’ หนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่
ดังนั้นเมืองนี้จึงรุ่งเรืองสุดขีดเช่นเดียวกัน
นอกเมืองเนินอุดร
วู้ม…
พร้อมๆ กับเสียงก้องกระหึ่มแปลกพิกล ในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมีเงาร่างผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งเดินออกมา
หลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยก็อยู่ในนั้นด้วย
ใช้เวลาเพียงชั่วดีดนิ้วก็ออกจากเมืองพันกระแสแห่งแคว้นหิมะ มาโผล่อยู่หน้าเมืองเนินอุดรแคว้นเมฆาแล้ว ทำเอาหลินสวินยังอดอึ้งค้างน้อยๆ ไม่ได้
นี่ก็คือความอัศจรรย์ของค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ
ทว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณระดับนี้ การโดยสารหนึ่งครั้งก็ต้องจ่ายหนึ่งแสนผลึกมรรค ใช่ว่าใครๆ จะมีปัญญาใช้ได้
“คุณชาย ที่นี่น่าจะเป็นเมืองเนินอุดร จากจุดนี้มุ่งหน้าไปสำนักยุทธ์เสวียนจี ด้วยความเร็วของพวกเราอย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว ในการเดินทางก่อนหน้านี้นางได้ศึกษาเส้นทางมาก่อนแล้ว เข้าใจในเรื่องนี้ดี
“ไปที่เมืองนี้ก่อน รวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับแคว้นเมฆาบางส่วนค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย”
หลินสวินกล่าวพลางมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ไกลๆ
เขายังคงใคร่ครวญว่าหนึ่งแก่หนึ่งเด็กที่พบก่อนหน้าคู่นั้นเกรงว่าที่มาคงไม่ธรรมดา โดยเฉพาะชายชราคนนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!
‘ในโลกใหญ่หงเหมิงแห่งนี้ ทำตัวเงียบๆ สักหน่อยดีกว่าจริงๆ เพราะไม่แน่ว่าระหว่างทางอาจพบเจอสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิเอาได้…’
หลินสวินรู้สึกทอดถอนใจในใจ
“ข่าวใหญ่ ข่าวใหญ่! เจ็ดสำนักใหญ่ตัดสินใจแล้ว หนึ่งเดือนให้หลังจะเปิดม่านศึก ‘ถกมรรค’ ภายในอาณาเขตแคว้นเมฆา!”
“ถึงตอนนั้นจะใช้การคัดเลือกบุคคลชั้นยอดสิบคนในสามระดับปราณ คืออริยะแท้ มหาอริยะ ราชันอริยะ โดยผู้ถูกคัดเลือกจะไปแคว้นกลางมรรค เข้าร่วม ‘งานชุมนุมถกมรรค’ ที่จัดขึ้นโดยหกเรือนมรรคใหญ่!”
“แล้วราชันระดับอมตะเคราะห์เล่า”
“ล้อเล่นอะไรกัน ราชันระดับอมตะเคราะห์ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเข้าร่วม”
หลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยเพิ่งเดินเข้าเมืองเนินอุดร ก็ได้ยินเสียงฮือฮาระลอกใหญ่นี้ดังขึ้นบนท้องถนน ก่อให้เกิดความตกตะลึง
“ศึกแห่งการถกมรรคแคว้นเมฆา?”
หลินสวินอึ้งไป
แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่
สามปีก่อน หกเรือนมรรคใหญ่ประกาศร่วมกันว่าอีกห้าปีให้หลังจะจัด ‘งานชุมนุมถกมรรค’ ครั้งหนึ่ง เชิญชวนสหายยุทธ์ทั่วหล้ามาเข้าร่วม
แต่ว่าการเข้าร่วมก็มีเงื่อนไขที่หฤโหดถึงขีดสุด
นอกจากแคว้นกลางมรรคแล้ว สี่สิบแปดแคว้นอื่นในโลกใหญ่หงเหมิง แต่ละแคว้นล้วนทำได้เพียงคัดเลือกจากระดับอริยะแท้ มหาอริยะ ราชันอริยะ สามระดับนี้ออกมาสิบคนเท่านั้น
เหมือนอย่างระดับราชันอริยะ ในหนึ่งแคว้นอย่างมากที่สุดก็มีแค่สิบคนเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคได้
‘ศึกถกมรรค’ ของแคว้นเมฆา ตระเตรียมขึ้นเพื่อการนี้
ถึงอย่างไรเขตแดนของแดนแคว้นเมฆาก็ไพศาลถึงที่สุด ซ้ำยังมีเจ็ดมาสำนักใหญ่ตั้งอยู่ แต่รายชื่อที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคกลับมีจำกัด
ดังนั้นเจ็ดสำนักใหญ่แห่งแคว้นเมฆาจึงตัดสินใจเปิดศึกถกมรรค ใช้สิ่งนี้มาแย่งชิงรายชื่อที่มีจำกัดนี้
“ที่ข้าออกจากเมืองจักรพรรดิขาวครั้งนี้และมาโลกใหญ่หงเหมิง ก็เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ที่จัดขึ้นโดยหกเรือนมรรคใหญ่ด้วยเช่นกัน”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าวรัวเร็ว นัยน์ตาฉายแววหมายปองเสี้ยวหนึ่ง
ทันใดนั้นหลินสวินก็นึกถึงเด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเสวียนจิ่วอิ้นขึ้นมา เจ้าหมอนี่หลังจากมาถึงโลกใหญ่หงเหมิงก็เคยบอกว่าอยากจะพบหน้าตนอีกครั้งในงานชุมนุมถกมรรค
เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ที่มุ่งหน้ามายังโลกใหญ่หงเหมิงของเสวียนจิ่วอิ้นและจินเทียนเสวียนเยวี่ย ก็เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้เหมือนกัน
“นอกเหนือจากโลกใหญ่หงเหมิง หากผู้ฝึกปราณจากเขตแดนดาราอื่นๆ อยากเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคนี้ ควรทำอย่างไรหรือ”
หลินสวินกล่าวอย่างใคร่รู้
“มีหลายวิธี แต่ทางตรงที่สุดก็คือเข้าร่วม ‘ศึกถกมรรค’ ที่แต่ละแคว้นจัดขึ้นในสี่สิบแปดแคว้นใหญ่หงเหมิง แย่งชิงที่นั่งผ่านการต่อสู้”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าว “ก็เหมือนการถกมรรคของแคว้นเมฆานี่ ไม่เพียงผู้สืบทอดจากเจ็ดสำนักใหญ่ที่สามารถเข้าร่วมได้เท่านั้น ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ไม่ว่าใครที่มีเงื่อนไขตรงตามเกณฑ์ล้วนสามารถเข้าร่วมได้ทั้งสิ้น”
คราวนี้หลินสวินจึงเข้าใจแล้ว กล่าวว่า “กล่าวเช่นนี้ คิดอยากเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่นี้จัดขึ้น การแข่งขันคงไม่ใช่แค่ยิ่งใหญ่ธรรมดาแน่”
คิดๆ ดูแล้วสี่สิบเก้าแคว้นแห่งโลกใหญ่หงเหมิงมีอาณาเขตกว้างขวางปานใด ขุมอำนาจสำนักเผ่าที่กระจายตัวอยู่จะมากมายถึงขนาดไหน
จำนวนผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใน ‘สามระดับอริยะ’ ไม่สามารถประมาณการได้อย่างสิ้นเชิง!
แต่จำนวนคนเข้าร่วมได้มีเพียงแค่นั้น แค่คิดก็รู้ว่ายามเมื่อแข่งขันกันจริงๆ จะดุเดือดและโหดร้ายปานใด
หากบุคคลแห่งยุคบางส่วนที่มาจากโลกใหญ่หงเหมิงก็เข้าร่วมด้วย ย่อมทำให้การแข่งขันที่แต่เดิมก็ดุเดือดอยู่แล้วยิ่งเดือดปะทุมากขึ้นเป็นแน่!
“ถึงอย่างไรก็เป็นงานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่ร่วมกันจัดขึ้น มีหรือจะปล่อยให้ใครหน้าไหนเข้าร่วมได้ตามใจชอบ”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาก็ผุดแววมุ่งมาด “ผ่านการคัดออกและคัดเลือกชั้นแล้วชั้นเล่านี้ ผู้แข็งแกร่งที่อยู่จนถึงรอบสุดท้ายและสามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค แต่ละคนล้วนต้องเป็นบุคคลแห่งยุคที่สุดยอดอย่างแน่นอน!”
หลินสวินขบคิดและเห็นด้วยกับมุมมองนี้เช่นกัน
แต่เมื่อเทียบกับจินเทียนเสวียนเยวี่ย เขาไม่ถึงกับสนใจงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้เท่าใดนัก ถึงขนาดยังไม่อาจไม่จงใจเบี่ยงประเด็น
ช่วยไม่ได้ ฐานะแท้จริงของเขาหากถูกผู้แข็งแกร่งของหกเรือนมรรคใหญ่รู้เข้า จะต้องเกิดปัญหาใหญ่ที่คาดไม่ถึงเป็นแน่
“จริงสิ นี่คือสถานการณ์ของสี่สิบแปดแคว้น แล้วแคว้นกลางมรรคล่ะ หรือว่าผู้ฝึกปราณที่นั่นไม่จำเป็นต้องทำการคัดเลือก”
หลินสวินเอ่ยถาม
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าว “แคว้นกลางมรรค นั่นเป็นถึงสถานที่รวมตัวของเหล่าจักรพรรดิและบรรพจารย์มรรคที่หลบเร้นเก็บตัว ขุมอำนาจชั้นนำที่สุดในฟ้าดาราอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ล้วนอาศัยอยู่ในนั้น ในสถานที่เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องจัดศึกถกมรรคเลยด้วยซ้ำ”
“เพราะต่อให้จัด ลำดับรายชื่อในท้ายที่สุดก็จะถูกผู้สืบทอดจากขุมอำนาจใหญ่อย่างพวกหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่แบ่งสรรกันอยู่ดี”
นางหยุดไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวต่อว่า “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่างานชุมนุมถกมรรคนี่เดิมก็เป็นหกเรือนมรรคใหญ่จัดขึ้น หากผู้สืบทอดของพวกเขาเข้าร่วม ย่อมไม่อาจถูกจำกัดจำนวน”
หลินสวินยิ้มเยาะ “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”
นี่สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นในใต้หล้าแล้ว ย่อมเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นธรรมยิ่ง แต่นี่ก็เป็นความจริง ใครใช้ให้ขุมอำนาจของหกเรือนมรรคใหญ่ยิ่งใหญ่ไพศาลกันเล่า
“อันที่จริงยุติธรรมหรือไม่ ไม่มีใครใส่ใจสักนิด ตั้งแต่อดีตสืบมา หกเรือนมรรคใหญ่เคยจัดงานชุมนุมถกมรรคไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง แต่ท้ายที่สุดสิบอันดับแรกในงานชุมนุมถกมรรคก็แทบจะเป็นผู้สืบทอดจากหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่พวกนี้ทั้งหมด”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าวว่า “ก็เหมือนอย่างกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์นั่น บุคคลแห่งยุคร้อยอันดับแรก เก้าส่วนล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้”
“แต่เจ้าก็เป็นข้อยกเว้น” หลินสวินกล่าวยิ้มๆ
เขาไม่เคยลืมว่าบนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ จินเทียนเสวียนเยวี่ยมีรายชื่ออยู่ในอันดับที่สี่สิบเก้า
จินเทียนเสวียนเยวี่ยอึ้งไป กล่าวอย่างค่อนข้างขวยเขิน “คุณชายอย่าล้อข้าเล่น จากพลังต่อสู้ของท่านกลับไม่ได้ปรากฏบนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องเหนือคาดที่สุด”
หลินสวินบื้อใบ้ไป
แค่กระดานรายชื่อเดียวเท่านั้น ไหนเลยจะครอบคลุมบุคคลแห่งยุคทั้งหมดบนโลกได้
เป็นไปไม่ได้!
อย่างน้อยผู้ทรงฌานอู้หมิงหรือเด็กหนุ่มชุดผ้าป่านเสวียนจิ่วอิ้นที่เขาได้พบเจอ พลังต่อสู้ล้วนน่าจะไม่ด้อยไปกว่าจินเทียนเสวียนเยวี่ย
แต่บนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ก็ไม่มีชื่อของพวกเขาเช่นเดียวกัน
พูดให้ถูกคือ กระดานรายชื่อที่ประกาศโดยเรือนมรรคโลกาสวรรค์กระดานนี้ ย่อมต้องศักดิ์สิทธิ์ถึงขีดสุด ผู้แข็งแกร่งที่ติดอันดับในนั้นแต่ละคนก็ต้องเป็นบุคคลแห่งยุคกันทั้งสิ้น
แต่ควรรู้ว่าทางเดินโบราณฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลปานใด จะต้องมีบุคคลแห่งยุคอีกมากมายที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์อย่างแน่นอน!
หลินสวินส่ายหน้าน้อยๆ ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก
แต่เหนือความคาดหมายของเขา ในช่วงเวลาครึ่งวันที่เอ้อระเหยอยู่ในเมืองเนินอุดร ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนล้วนกำลังถกกันเรื่อง ‘ศึกถกมรรคแคว้นเมฆา’
มีพวกชอบเรื่องสนุก ถึงขั้นหยิบยกผู้สืบทอดบางส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเจ็ดสำนักใหญ่แห่งแคว้นเมฆาออกมา แจกแจงรายชื่อและทำการประเมินวิเคราะห์ทีละคน
อย่างเช่นลู่ตู๋ปู้ ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของ ‘สำนักยุทธ์ว่างเปล่า’ สำนักอันดับหนึ่งในแคว้นเมฆา ถูกทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นอันดับหนึ่งในระดับมกุฎราชันอริยะของแคว้นเมฆา!
และถูกผู้คนมองเป็นหนึ่งในบุคคลยอดนิยมที่มีโอกาสคว้าอันดับหนึ่งในศึกถกมรรคแคว้นเมฆามากที่สุด
บุคคลแห่งยุคที่เลื่องชื่อลือชาบางส่วนในแคว้นเมฆาคนอื่นๆ ก็ถูกวิจารณ์วิพากษ์อย่างร้อนแรง จะให้หลินสวินไม่อยากรู้ยังลำบาก
แต่ก็ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มองออกว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งหมดในศึกถกมรรคแคว้นเมฆาครั้งนี้ยิ่งใหญ่ปานใด
น่าเสียดาย หลินสวินยังคงไม่รู้สึกสนใจต่อเรื่องนี้อยู่ดี
และในวันนั้นเอง เขาก็พาจินเทียนเสวียนเยวี่ยออกไป มุ่งหน้าสู่สถานที่ตั้งของสำนักยุทธ์เสวียนจี…
เขามรรคลมเทพ!