เสียงของจินเทียนเสวียนเยวี่ยราบเรียบ แฝงความเย่อหยิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ ให้ความมั่นใจอย่างที่สุด ถึงขั้นเป็นความรู้สึกย่ามใจ
แต่สำหรับพวกเหิงเซียว หงอวี่ น้ำเสียงนี้อวดดีเกินไปแล้ว
แค่ดูการต่อสู้ก็พอแล้วอย่างนั้นหรือ
แต่ถ้าแพ้ล่ะ สำนักยุทธ์เสวียนจีจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ฮ่าๆ น้องเหิงเซียว ในเมื่อเจ้าหมอนี่ออกมาแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ”
ฝั่งตรงข้ามบนยอดเขา ปี้หยวนจื่อหัวเราะเสียงดัง “เสอจื่อ เจ้าไปเจอสหายที่มาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนสักหน่อย จำไว้ว่าต้องออมมือ ถึงอย่างไรสหายคนนี้ก็ไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจี หากถูกตีจนพิการไปคงแย่แน่”
ฟึ่บ!
ยังไม่ทันสิ้นเชิง เสอจื่อที่อยู่ในชุดดำก็ปรากฏตัวในลานประลอง
ดวงตาเรียวยาวราวกับคมดาบของนางแฝงความเย็นเยียบ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสไม่ต้องห่วง ข้าจะปฏิบัติเป็นพิเศษ”
สีหน้าของพวกเหิงเซียวพลันย่ำแย่อย่างที่สุด
เดิมทีขึ้นลานประลองเองของหลินสวินก็ทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว ในใจไม่สงบอย่างมาก แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะตัดสินใจ ก็ถูกปี้หยวนจื่อชิงตัดสินไปแล้ว
ที่น่าโกรธที่สุดคือ ในคำพูดของปี้หยวนจื่อเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ชั่วร้ายแปลกประหลาด ทำให้คนแค้นจนกัดฟัน
“เฮ้อ”
เหิงเซียวถอนหายใจยาว
เขาตระหนักได้แล้วว่าเรื่องมาถึงขนาดนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงหวังว่าที่จินเทียนเสวียนเยวี่ยพูดจะเป็นจริง เจ้าหนุ่มที่ชื่อจินตู๋อีนั่นจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง
คนใหญ่คนโตสำนักยุทธ์เสวียนจีคนอื่นๆ ต่างรู้สึกซับซ้อนและหดหู่
ว่ากันถึงแก่น ฐานะของหลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่ธรรมดาเกินไป ทำให้แม้พวกเขาจะไม่พอใจก็ทำได้เพียงทนไปก่อน
“หากเจ้าหมอนี่แพ้ ข้าไม่สนว่าเขาจะมีฐานะอะไร แต่ต้องให้พวกเขาชดใช้กับเรื่องนี้อย่างแน่นอน!”
“ใช่ เรื่องเช่นนี้ก็กล้าแทรกแซง ทั้งยังบอกว่าศิษย์แกนหลักอย่างเราสู้ไม่ไหว อวดดีเกินไปแล้ว”
“เฮ้อ ข้าหวังให้เขาชนะจากใจจริง ไม่เช่นนั้นสำนักยุทธ์เสวียนจีของเราก็จะแพ้โดยสมบูรณ์แล้ว…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง หากเขาพ่ายแพ้ก็ไม่ใช่สำนักยุทธ์เสวียนจีของเราแพ้ ยังพอจะพลิกสถานการณ์ได้”
ศิษย์แกนหลักเหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา สีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้
พวกเขาไม่ชอบใจหลินสวินจริงๆ แต่ในใจก็ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายล้มเหลว ทำให้เกิดความขัดแย้งในใจอย่างมาก
จินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่อธิบายอะไรอีก คุณชายที่แม้แต่ระดับกึ่งจักรพรรดิยังฆ่าได้ หากสู้คู่ต่อสู้เหล่านี้ไม่ได้ นั่นต่างหากจึงจะเรียกว่าไม่สมเหตุสมผล
นางหยิบเบาะรองนั่งอันหนึ่งออกมานั่งขัดสมาธิ โบกมือคราหนึ่งสมบัติชงชาก็ปรากฏตรงหน้า จากนั้นเริ่มล้างเครื่องชาและต้มชาอย่างสบายๆ การกระทำเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ท่าทางผ่อนคลาย
ภาพนี้ทำเอาพวกเหิงเซียวต่างผิดคาด สีหน้างุนงง คนหนุ่มสาวของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนนี้เสพสุขกันเกินไปแล้วกระมัง
ศิษย์แกนหลักเหล่านั้นยิ่งอึ้งจนอ้าปากค้าง นาง… นางยังมีกะจิตกะใจชงชาอีกหรือ นางเห็นการประลองครั้งนี้เป็นอะไร
แม้แต่ปี้หยวนจื่อที่อยู่ตรงข้ามยังอึ้ง พลันยิ้มเยาะ “เสอจื่อ ลงมือได้แล้ว!”
ชิ้ง!
กริชเจ็ดชุ่นดำมืดทึบแสงปรากฏในฝ่ามือขาวราวหิมะ เสอจื่อเชิดหน้าเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
กลิ่นอายทั้งร่างแผ่วพลิ้วราวกับหมอกควั ประหนึ่งแสงดำที่ว่างเปล่า
บรรยากาศในลานประลองก็เปลี่ยนเป็นเคร่งครัด กดดัน และตึงเครียดขึ้นมาทันที
ไม่ว่าจะเป็นสำนักยุทธ์เสวียนจีหรือผู้แข็งแกร่งเกาะเทพเวหาทมิฬล้วนหันสายตาไปมองหลินสวิน
ความแข็งแกร่งของเสอจื่อพวกเขาล้วนเคยเห็นมาก่อน แต่สำหรับแขกที่มาจากตระกูลจินเทียนคนนี้… พวกเขาไม่รู้อะไรเลย
และตอนนี้เอง หลินสวินพูดขึ้นอีกครั้ง เอ่ยเตือนว่า “เจ้าลงมือเต็มกำลังจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นจะแพ้อนาถ”
คำพูดผ่อนคลายเรียบง่ายนัก
ปี้หยวนจื่ออึ้งไปอีกครั้ง เจ้าหมอนี่อวดดีนัก!
พวกเหิงเซียวริมฝีปากกระตุกระลอกหนึ่ง ในใจกังวล เจ้าหนุ่มที่คุยโวโอ้อวดเช่นนี้ จะพึ่งได้หรือ
สวบ!
ในลานประลองจู่ๆ เงาร่างของเสอจื่อก็หายไปจากจุดเดิม ราวกับหมอกควันกลุ่มหนึ่ง ทะลุผ่านห้วงอากาศด้วยความเร็วเหลือเชื่อมาปรากฏตรงหน้าหลินสวิน
ที่ไวกว่าการเคลื่อนไหวของนางคือกริชในมือนาง พอสะบัดข้อคมประกายดำสนิทชักนำแสงประหลาดสายหนึ่งขึ้นมา คมประกายแทงเข้าหน้าอกหลินสวินโดยตรง
เร็ว!
เร็วจนเหลือเชื่อ!
คนทั่วไปยากจะจับการกระทำของเสอจื่อได้ ก็มีแค่คนใหญ่คนโตอย่างพวกเหิงเซียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทว่าแม้แต่พวกเขาตอนนี้ยังอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้ การเคลื่อนไหวนี้… เร็วถึงขีดสุด น่ากลัวเหนือคาดหมาย!
กลับเห็นหลินสวินสีหน้าราบเรียบ นิ้วชี้ขวาดีดเบาๆ คราหนึ่ง โจมตีทีหลังแต่กลับถึงก่อน ดีดกริชแหลมคมที่แทงเข้าอย่างแม่นยำ
เคร้ง!
เสียงที่ราวกับขวานดาบกระแทกกันดังขึ้น สะเทือนรอบทิศจนแสบหู
ก็เห็นร่างของเสอจื่อสั่นขึ้นมาพลัน จากนั้นเหมือนพบเจอการจู่โจมที่ประหนึ่งเขาถล่มสมุทรซัดสาด ทั้งตัวถลาถอยออกไปอย่างรุนแรง
กระเด็นออกไปสิบกว่าจั้งเต็มๆ จึงฝืนยืนทรงตัวในกลางอากาศได้ แต่ห้วงอากาศรอบร่างนางพลันยุบตัวแตกออก เสียงกึกก้องครึกโครม
แค่คิดก็รู้ว่าพลังของดรรชนีนี้ดุดันและเผด็จการเพียงใด!
“หืม?”
ปี้หยวนจื่อหรี่ตา รู้สึกประหลาดใจ
“นี่…”
พวกเหิงเซียวต่างตกใจ พวกเขาสามารถจินตนาการได้ ว่าแขกของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียนคนนี้ไม่มีทางพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวแน่
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาไม่เพียงสกัดการโจมตีที่มาอย่างกะทันหันนี้ได้ ยังโจมตีจนเสอจื่อถอยหลังไปสิบกว่าจั้งด้วยการดีดนิ้วลวกๆ!
สำหรับศิษย์แกนหลักเหล่านั้น เพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเบลอ ยังไม่ทันจับรายละเอียดได้ก็เห็นเงาร่างของเสอจื่อถอยออกไปอย่างรุนแรง
ดวงตาของพวกเขาต่างก็เบิกโพลงโดยพร้อมเพรียง เกือบสงสัยว่าตาลายแล้ว
แต่ตอนนี้หลินสวินพูดเสียงเรียบอีกครั้ง “ข้าบอกแล้วว่าลงมือเต็มกำลัง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”
ตอนที่มองไปยังหลินสวินอีกครั้ง สายตาของเสอจื่อได้เปลี่ยนไปแล้ว จริงจังและเคร่งขรึมอย่างยากจะเห็น
การโจมตีก่อนหน้านี้ทำให้เลือดลมในร่างนางตอนนี้ปั่นป่วนยากจะสงบ ความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนถูกภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ชนใส่ร่างอย่างหนักหน่วงก็ไม่ปาน
“สมดังปรารนาของเจ้า!”
นางสูดหายใจลึกคราหนึ่ง อานุภาพรอบตัวเปลี่ยนไป หมอกสีเทาพวยพุ่งปกคลุมเงาร่างของนางจนเลือนราง ราวกับหายไปอย่างไรอย่างนั้น
“ถึงกับไม่สามารถถูกจิตรับรู้จับได้”
“นี่ถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้หรือ”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่นางเอาชนะศิษย์พี่จีเฉียนกับศิษย์พี่หยวนเม่า ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดเลย”
หลายคนตกใจร้องออกมา
ในลานประลอง…
เงาร่างของเสอจื่อปรากฏด้านหลังหลินสวินอย่างไร้สุ้มเสียง ราวกับเงามืดเงาหนึ่ง ไม่ได้ทำให้เกิดคลื่นพลังใดๆ
แย่แล้ว!
พวกเหิงเซียวที่สังเกตเห็นภาพนี้สีหน้าต่างเปลี่ยนไป นี่คือวิชามรรคอะไร เหตุใดจึงเหลือเชื่อเช่นนี้
ฉัวะ!
ทันใดนั้นกริชในมือเสอจื่อพลันแทงใส่หลังของหลินสวิน
รวดเร็ว แม่นยำ และรุนแรง!
และไม่ได้ทำให้เกิดการแผ่กระจายของพลังแม้แต่เสี้ยวเดียว ราวกับพลังทั้งหมดของนางได้หลอมเข้าไปในการแทงนี้
ทว่าครู่ต่อมาเสอจื่อเพียงรู้สึกว่ากริชในมือหยุดชะงักกะทันหัน ไม่สามารถเดินหน้าได้อีกแม้แต่ชุ่นเดียว
ในใจนางสะท้าน ตอนที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นิ้วเรียวยาวสองนิ้วได้หนีบกริชของนางไว้อย่างมั่นคง
ส่วนหลินสวิน ยังคงหันหลังให้นาง!
เวลาราวกับหยุดไปในชั่วขณะนี้ ตอนที่ภาพนี้ปรากฏในสายตาของทุกคน ทุกคนล้วนเกิดความรู้สึกยากจะเชื่อ
อันที่จริงก็คือภาพนี้น่าตกใจเกินไป หลินสวินราวกับหันหลังให้ทุกคน แต่นิ้วมือของเขากลับสกัดการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวที่มาจากด้านหลัง!
สีหน้าของเสอจื่อเองก็เปลี่ยนไป
ทว่าไม่รอนางเปลี่ยนกระบวนท่า ตัวกริชพลันมีพลังพลุ่งพล่านระลอกหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา อานุภาพทำลายล้างรุนแรง
กร๊อบ!
ข้อมือที่กำกริชของนางหักโดยพลัน จากนั้นกล้ามเนื้อทั้งแขนระเบิดออกทุกกระเบียด กระดูกเอ็นแตกเป็นเสี่ยงๆ
จนถึงสุดท้าย ทั้งร่างของนางถูกซัดจนกระเด็นออกไป ร่วงล้มนอกระยะสิบกว่าจั้งอย่างแรง
พรูด!
นางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ในปากกระอักเลือด ส่งเสียงอึดอัดเจ็บปวด ทั้งร่างหมอบอยู่กับพื้น ถึงขั้นลุกไม่ขึ้นอีก
ในลานประลองเงียบสงัด ทุกคนต่างตกใจ!
ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งสำนักยุทธ์เสวียนหรือผู้แข็งแกร่งเกาะเทพเวหาทมิฬ จิตใจต่างสั่นสะท้านรุนแรงในชั่วขณะนี้ เผยสีหน้าเหลือเชื่อ
ก่อนหลังแค่เพียงชั่วพริบตา คนแข็งแกร่งอย่างเสอจื่อชั่วขณะนี้กลับดูไม่เอาไหนถึงเพียงนั้น ถูกกำราบโดยตรง!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ แขกตระกูลจินเทียนที่อยู่ในลานประลองยังไม่เคยหมุนตัวกลับ หันหลังให้กับทุกสิ่ง!
ภาพเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ใครเคยเห็นบ้าง
พวกเขาก่อนหน้านี้ เพราะการเข้าสู่ลานประลองโดยพลการของหลินสวินทำเอารับมือไม่ทัน รู้สึกขึ้งโกรธ คิดว่าหลินสวินต้องการก่อกวน
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ผิดไปจากที่พวกเขารับรู้ก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์ ราวกับสายฟ้าฟาดสายหนึ่ง ทำให้พวกเขามึนงง
เจ้าคนที่คุยโวโอ้อวดคนนี้… ที่แท้ก็ดุดันขนาดนี้!
เห็นทุกอย่างนี้ จินเทียนเสวียนเยวี่ยที่กำลังชงชาเพียงยิ้ม แล้วจดจ่อกับการชงชาอีกครั้ง
ในใจมีความภาคภูมิมีเกียรติอย่าหนึ่ง
ตอนนี้พวกเขาคงจะเชื่อในศักยภาพของคุณชายแล้วใช่หรือไม่
“หากนี่เป็นพลังทั้งหมดของเจ้า ก็ช่างน่าผิดหวังอยู่บ้างจริงๆ”
ในลานประลองหลินสวินหมุนตัว สายตามองเสอจื่อที่หมอบกับพื้นยืนไม่ขึ้นอยู่ไกลๆ อย่างเรียบเฉย
บรรยากาศที่เงียบกริบก็ถูกทำลายไปด้วย เสียงฮือฮาเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากทั่วทุกทิศ
“เสอจื่อกลับแพ้เช่นนี้หรือ”
“เหตุใด… เหตุใดข้ามีความรู้สึกเหมือนฝันไป ไม่สมจริงเกินไปแล้ว…”
“เมื่อครู่นี้เจ้าหมอนี่บอกว่าเขาชื่ออะไรนะ จินตู๋อีอย่างนั้นหรือ เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่พลิกฟ้าเช่นนี้”
แม้แต่ศิษย์แกนหลักเหล่านั้นยังสีหน้าตะลึง นึกถึงก่อนหน้านี้พวกเขายังเยาะเย้ยเสียดสีหลินสวิน บนใบหน้าพลันร้อนวาบขึ้นมา รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า
พวกเหิงเซียว หงอวี่ก็มองหน้ากัน ต่างสามารถเห็นความตกใจในสายตาของอีกฝ่าย
ฟากตรงข้าม กลุ่มผู้แข็งแกร่งเกาะเทพเวหาทมิฬอย่างพวกปี้หยวนจื่อ แต่ละคนต่างเผยท่าทางรับมือไม่ทัน
การต่อสู้ครั้งนี้ ก่อนหลังเพียงไม่ถึงชั่วพริบตา เสอจื่อ…กลับพ่ายแพ้เช่นนี้หรือ
“ข้าแพ้แล้ว ยอมแพ้”
บนพื้นเสอจื่อมุมปากหลั่งเลือด บาดแผลของนางรุนแรงกว่าที่เห็นมาก พลังขับเคลื่อนในกายยังแทบถูกทำลาย บาดเจ็บสาหัสไปทั้งร่างแล้ว
การประลองรอบที่สามนี้ หลินสวินชนะ!
ผลลัพธ์นี้ทำให้พวกปี้หยวนจื่อสีหน้ามืดทะมึน สายตาที่มองไปยังหลินสวินเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร
แต่พวกเหิงเซียว หงอวี่ต่างโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอก สายตาที่มองไปยังหลินสวินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รวมถึงละลายใจ
ก่อนหน้านี้ท่าทีที่พวกเขามีการเสนอตัวเข้าสู่ลานประลองของหลินสวินไม่ดีจริงๆ นี่ทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างพวกเขาอดอักอ่วนไม่ได้
…………………………….