หลายวันนี้หลินสวินกับผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีอย่างพวกเจียงเหิงแลกเปลี่ยนถกมรรค ก็ได้ผลเก็บเกี่ยวไปไม่น้อย
พวกเจียงเหิงอายุยังน้อยก็สร้างความโดดเด่น เหยียบย่างระดับมกุฎราชันอริยะ ย่อมไม่อาจเทียบกับคนทั่วไปได้
มรรคาที่พวกเขาเสาะแสวงแตกต่างกัน เขตแดนมรรคที่แต่ละคนควบรวมก็ไม่เหมือนกัน ทำให้หลินสวินได้เปิดหูเปิดตา ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง
อีกทั้งในตอนที่พูดคุย ก็ทำให้หลินสวินได้รู้ข่าวเกี่ยวกับศึกถกมรรคแคว้นเมฆาบางประการ
ศึกถกมรรคแคว้นเมฆาคราวนี้จะมีผู้แข็งแกร่งระดับอริยะแท้ มหาอริยะ และราชันอริยะเข้าร่วมด้วยกัน
แต่ด้วยมีฐานะเป็นมกุฎราชันอริยะ สิ่งที่พวกเจียงเหิงจับตามองที่สุด ย่อมเป็นศึกถกมรรคระหว่างระดับราชันอริยะ
พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเจียงเหิงต่างพูดถึงผู้โดดเด่นสะดุดตายิ่งบางคนในแคว้นเมฆาตอนนี้
เช่นลู่ตู๋ปู้ ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์ว่างเปล่าซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นเมฆา ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นมกุฎราชันอริยะอันดับหนึ่งในแคว้นเมฆา
เซี่ยอวี่ฮวาผู้สืบทอดลัทธิเทพดาราเมฆซึ่งเป็นสำนักอันดับสองของแคว้นเมฆา อัจฉริยะแห่งยุคที่เพิ่งผงาดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้คนหนึ่ง ชื่อเสียงเจิดจรัสดุจดาวหาง
หรืออย่าง…
เมื่อพูดถึงผู้โดดเด่นในแคว้นเมฆาเหล่านี้ พวกเจียงเหิงต่างเผยความรู้สึกแตกต่างกันไป ทั้งหวั่นเกรง ทั้งมองเป็นศัตรู ทั้งมีจิตต่อสู้หมายจะลองดูเต็มแก่
อีกอย่างในศึกถกมรรคแคว้นเมฆาครั้งนี้ไม่สนใจฐานะ ขอเพียงพลังปราณเข้าเงื่อนไขล้วนสามารถเข้าร่วมได้ทั้งนั้น
นี่ก็ทำให้คนรุ่นอาวุโสมากมายต่างถูไม้ถูมือ บางส่วนถึงกับเป็นคนใหญ่คนโตชั้นอาวุโสในขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ มีชีวิตมาไม่รู้นานเท่าไร ตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้เช่นกัน
เช่นนี้แล้วจะต้องทำให้ศึกถกมรรคแคว้นเมฆายิ่งดุเดือดขึ้นแน่นอน
คนรุ่นอาวุโสสามารถยืนตระหง่านในความรุ่งเรืองเสื่อมถอยของกาลเวลาได้จนบัดนี้ ไม่อาจดูเบาได้เด็ดขาด
เช่นเดียวกัน ผู้กล้าชั้นยอดรุ่นเยาว์บางคน หลายคนต่างเป็นอัจฉริยะที่มีชื่ออยู่บนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ ก็ทำให้ผู้คนกลัวเกรงและให้ความสำคัญเช่นกัน
เรื่องนี้หลินสวินเพียงแค่ฟัง ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา
ในระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นปีศาจผู้กล้าหรือพวกร้ายกาจรุ่นอาวุโสอะไร ที่เทียบกันไม่ใช่มีชีวิตมานานเพียงไหนหรือมีชื่อเสียงมากน้อยเพียงใด ว่ากันถึงแก่นแล้วคือพลังต่อสู้ของแต่ละคนสูงต่ำสิ่งอย่างไรต่างหาก!
ในแง่นี้ หลินสวินไม่กลัวใครอยู่แล้ว
“สหายน้อย”
เหิงเซียวมาแล้ว เอ่ยปากเจือรอยยิ้ม
พวกเจียงเหิงรวมถึงจินเทียนเสวียนเยวี่ยเห็นดังนี้ ต่างจากไปอย่างรู้กาลเทศะ
“สหายยุทธ์มาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ”
หลินสวินลุกขึ้น
“สองเรื่อง เรื่องแรก บรรพจารย์ป๋อหยาจื่อฝากให้ข้ามาบอกสหายน้อยว่า เรื่องที่เจ้าอยากทำเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว”
เหิงเซียวรีบกล่าว
หลินสวินใจสะท้าน รู้ว่าเรื่องที่ป๋อหยาจื่อทำเกี่ยวข้องกับเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียง
เหิงเซียวเอ่ยว่า “แต่บรรพจารย์ป๋อหยาจื่อบอกว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องใหญ่โตนัก เขาต้องหาสหายคนหนึ่งช่วยเหลือ อย่างน้อยหนึ่งเดือน อย่างมากก็สามเดือนถึงจะได้คำตอบที่ชัดเจน ยังขอให้สหายน้อยอย่าได้ร้อนใจไป”
หลินสวินพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อีกเรื่องหนึ่งล่ะ”
“เกี่ยวข้องกับศึกถกมรรคแคว้นเมฆา
เหิงเซียวพูดพลางส่งม้วนหยกชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน “อีกครึ่งเดือนการประลองครั้งนี้ก็จะเปิดฉาก ข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกอยู่ในม้วนหยก”
“ลำบากสหายยุทธ์แล้ว”
หลินสวินกุมมือคารวะแล้วจึงรับม้วนหยกมา
“ข้าตัดสินใจแล้วว่าอีกสิบวันจะพาศิษย์ในสำนักที่เข้าร่วมการประลองออกเดินทาง”
พูดถึงตรงนี้ เหิงเซียวใคร่ครวญแล้วเอ่ยว่า “สหายน้อย เจ้าไม่คิดจะใช้ฐานะศิษย์แกนหลักของสำนักยุทธ์เสวียนจีของข้า เข้าร่วมศึกถกมรรคครั้งนี้จริงๆ หรือ”
ในแววตาของเขาเจือแววตั้งตาคอย
แต่หลินสวินยังส่ายหัว เรื่องนี้เขาตัดสินใจไว้นานแล้ว ถ้าใช้ฐานะผู้สืบทอดของสำนักยุทธ์เสวียนจีเข้าร่วมศึกถกมรรค ย่อมได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ นานา
แต่หลินสวินรู้ดีว่าต่อให้ปิดบังฐานะของตนดีเพียงไหน ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่เปิดเผย ถึงตอนนั้นสำนักยุทธ์เสวียนจีที่เคยให้ความช่วยเหลือตนจะต้องถูกลากไปพัวพันด้วย
“ให้เสวียนเยวี่ยใช้ฐานะผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีเข้าร่วมก็พอแล้ว”
หลินสวินกล่าว
เหิงเซียวเห็นว่าหลินสวินมีท่าทีตัดสินใจแล้วก็รู้ว่าฝืนขอไม่ได้ ทำได้เพียงพยักหน้าเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ เช่นนั้นเจ้าจะต้องรับปากข้า ว่าถ้าเจอเรื่องยุ่งยากอะไรในศึกถกมรรคต้องบอกข้า”
หลินสวินยิ้มพยักหน้า
หลังถามสารทุกข์สุกดิบกันอีกครู่หนึ่งเหิงเซียวก็จากไป
ส่วนหลินสวินถือม้วนหยกกลับถ้ำสถิต เริ่มพลิกอ่าน
…..
สิบวันผ่านไป
เหิงเซียวพาเหล่าผู้สืบทอดที่จะเข้าร่วมศึกถกมรรคแคว้นเมฆาไปยัง ‘เขาเทพว่างเปล่า’ ด้วยตัวเอง
เขาเทพว่างเปล่า เป็นอาณาเขตของสำนักยุทธ์ว่างเปล่าซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นเมฆา
ด้านหลินสวินก็จากไปเงียบๆ ในวันนั้นเช่นกัน
ศึกถกมรรคแคว้นเมฆาครั้งนี้จะมีการคัดเลือกสามรอบ
สถานที่คัดเลือกรอบแรกอยู่ในเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นอาณาเขตของเจ็ดสำนักใหญ่ ขอเพียงตรงตามเงื่อนไขก็ลงชื่อเข้าร่วมได้ทั้งนั้น
ผู้แข็งแกร่งที่ชนะการประลองบนสังเวียนครั้งแล้วครั้งเล่า จึงจะมีโอกาสเข้าร่วมการคัดเลือกรอบที่สอง
และสถานที่คัดเลือกรอบสองก็อยู่ที่เขาเทพว่างเปล่า
ส่วนผู้สืบทอดเจ็ดสำนักใหญ่ไม่ต้องคัดเลือกรอบแรก ก็เข้าร่วมการคัดเลือกรอบที่สองได้เลย
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เหิงเซียวจะพาทุกคนในสำนักมุ่งตรงไปที่เขาเทพว่างเปล่า
ถึงอย่างไรสำนักยุทธ์เสวียนจีก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ หนำซ้ำยังอยู่อันดับสาม เมื่อศิษย์ในสำนักเหล่านี้เข้าร่วมศึกถกมรรค ย่อมมีสิทธิพิเศษ
ส่วนหลินสวินต่างออกไป ทำได้เพียงเริ่มคัดเลือกจากรอบแรก
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหลินสวินคิดจะเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่จัดขึ้น เริ่มแรกต้องแสดงความโดดเด่นในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับแรกสุดเป็นอย่างน้อย
และในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ก็ต้องเข้าไปให้ถึงการคัดเลือกรอบที่สาม…
เพียงคิดก็รู้ว่าด้วยการคัดออกเป็นชั้นๆ เช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคได้ในท้ายที่สุดต้องเป็นบุคคลชั้นยอดอันดับดับต้นๆ ในปัจจุบันแน่
เมืองหลิงเฟิง
เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้สำนักยุทธ์เสวียนจีที่สุด เจริญรุ่งเรือง ขนาดใหญ่ยิ่งนัก เกรียงไกรกว่าเมืองหลินอันที่หลินสวินมาถึงในตอนแรกมาก
อีกห้าวันการคัดเลือกรอบแรกของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาก็จะเปิดฉากขึ้นในเมืองต่างๆ ของแคว้นเมฆา
เมืองหลิงเฟิงเป็นเพียงหนึ่งในนั้น
ผู้ที่รับผิดชอบการคัดเลือกคือผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิเจ็ดคนที่มาจากเจ็ดสำนักใหญ่ ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนทุจริต
ช่วงใกล้ๆ นี้ในเมืองหลิงเฟิงคึกคักหาใดเทียบ ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจากทั่วสารทิศล้วนมากันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
บ้างมาเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกรอบแรก แต่โดยมากมาเพื่อดูการต่อสู้
ถึงอย่างไรความใหญ่โตของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาก็ใช้คำว่ารุ่งโรจน์อย่างไม่เคยมีมาก่อนมาบรรยายได้ ดึงดูดสายตาผู้คนไม่รู้เท่าไรมานานมากแล้ว
ความรู้สึกแรกหลังจากหลินสวินเข้าสู่เมืองหลิงเฟิงก็คืออึกทึกครึกโครมและคึกคัก ทั้งถนนใหญ่และซอกซอยต่างกำลังพูดคุยเรื่องการคัดเลือกรอบแรก
“ในการคัดเลือกรอบแรกนี้ แม้กล่าวว่าผู้สืบทอดจากเจ็ดสำนักใหญ่จะไม่เข้าร่วม แต่ก็ยังดูเบาไม่ได้ ตามที่ข้ารู้มา พวกร้ายกาจจากเผ่าโบราณกับขุมอำนาจเก่าแก่บางส่วนลงชื่อกันแล้วทั้งนั้น”
“ก็ไม่รู้ว่าในการคัดเลือกรอบแรกนี้จะมีม้ามือฝ่าออกมาได้เท่าไรกันแน่ และจะมีใครฝ่าไปถึงการประลองรอบสุดท้ายได้”
“รอดูก็พอ การคัดเลือกรอบแรกนี้จะดำเนินอยู่สามวัน สามวันผ่านไปก็จะตัดสินรายชื่อผู้ที่เข้าคัดเลือกรอบสองได้แล้ว”
บนถนนเสียงสนทนาเซ็งแซ่
แม้แคว้นเมฆาจะเป็นเพียงหนึ่งในสี่สิบเก้าแคว้นของโลกใหญ่หงเหมิง แต่อาณาเขตในแคว้นกลับกว้างขวางหาใดเปรียบ เทียบได้กับโลกอันไพศาลแห่งหนึ่งได้
ขุมอำนาจที่กระจายอยู่ในแคว้นไม่ได้มีเพียงเจ็ดสำนักใหญ่ ยังมีเผ่า ตระกูลและสำนักอื่นอีกมากมาย
ในบรรดาขุมอำนาจน้อยใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้ขาดบุคคลสะดุดตา ขอเพียงเข้าร่วมศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ก็ต้องปรากฏตัวในการคัดเลือกรอบแรก!
ข่าวเหล่านี้หลินสวินได้รู้เป็นอย่างดีมานานแล้ว ย่อมไม่เปลืองใจไปสืบข่าวอีก เขาเดินมุ่งหน้าไป
บริเวณศูนย์กลางเมืองหลิงเฟิง
หน้าเรือนโอฬารหาใดเทียบถูกล้อมรอบด้วยฝูงชนมากมาย เบียดเสียดหนาแน่น
ที่นี่คือสถานที่ลงชื่อเข้าร่วมการคัดเลือกรอบแรก และเป็นสถานที่ที่ครึกครื้นและถูกจับตามองที่สุดของเมืองหลิงเฟิงในตอนนี้
เมื่อหลินสวินมาถึงที่นี่ เสียงร้องตะลึงระลอกหนึ่งดังขึ้น…
“‘ฉู่ชิว’ ผู้สืบทอดสำนักวิญญาณประกายฟ้า! ฝึกปราณมาห้าร้อยปี ตอนนี้เป็นบุคคลระดับมกุฎราชันอริยะที่มีชื่อเสียงในแถบหนึ่งไปนานแล้ว พลังกายของเขาต้านทานการถล่มโจมตีของสมบัติอริยะได้!”
หลินสวินเห็นทันทีว่าชายชุดเงินคนหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ ผมยาวสีเงินทั้งหัว ดวงตามีสายฟ้าไหลเวียน ยามเดินเหินภาคภูมิดุจพยัคฆ์มังกร อิทธิฤทธิ์โอหัง
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้คือฉู่ชิว
“ฉู่ชิว คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มาด้วย ดีเลย ข้าตั้งตารอจะเล่นกับเจ้าในการคัดเลือกรอบแรกนัก”
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น ถัดมาแสงสีเขียวมรกตก็ทะลุอากาศเข้ามา แล้วแปรสภาพเป็นชายชุดเขียวคนหนึ่ง คิ้วกระบี่เนตรดารา เท้าเหยียบกระบี่บินสีแดงเพลิง กลิ่นอายทั้งร่างดุดันน่าสะพรึงกลัว
“‘กู่เจี้ยนสิง’ นายน้อยเผ่าขุมทมิฬ! เขาก็มาแล้วหรือ”
หลายคนตกตะลึง ฮือฮาไม่หยุดหย่อน
กู่เจี้ยนสิง อัจฉริยะมรรคกระบี่ผู้ดื้อรั้นคนหนึ่ง ลือกันว่านานมาแล้วมีคนฐานะสูงในสำนักยุทธ์ว่างเปล่าคนหนึ่งชื่นชมความสามารถของเขา คิดจะรับเขาเป็นศิษย์เบื้องท้าย แต่ผิดคาด กลับถูกกู่เจี้ยนสิงปฏิเสธทันควัน!
คนฐานะสูงผู้นั้นเสียดายเรื่องนี้อยู่นาน เอ่ยว่า ‘เดิมทีเมล็ดพันธุ์มรรคกระบี่ชั้นเลิศในโลกนี้หายากยิ่ง กู่เจี้ยนสิงย่อมเป็นหนึ่งในนั้น แต่กลับไม่มีวาสนากับสำนักยุทธ์ว่างเปล่าของข้า!’
การทอดถอนใจประโยคนี้ครู่เดียวก็กระจายไปทั่ว จึงทำให้ชื่อของกู่เจี้ยนสิงลือลั่น เป็นที่รู้จักในโลก
“หึ เช่นนั้นถึงเวลามาสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะก็พอ”
ฉู่ชิวผู้สืบทอดสำนักวิญญาณประกายฟ้าหัวเราะหยัน เดินตรงดิ่งไปที่เรือนโอ่โถงแห่งนั้น เมินกู่เจี้ยนสิง
ประกายกระบี่แผ่กระจายออกมาจากดวงตากู่เจี้ยนสิง สักพักก็หัวเราะเบาๆ ส่ายหัวน้อยๆ แล้วเดินตามเข้าไปในเรือนใหญ่นั้น
นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้น
ต่อมาผู้โดดเด่นที่มีชื่อเสียงในแถบหนึ่งคนแล้วคนเล่าต่างปรากฏตัว บ้างเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่ บ้างเป็นผู้กล้าเผ่าโบราณ บ้างเป็นคนเก่งกล้าในสำนัก…
คนเหล่านี้บ้างหยิ่งผยองจองหอง บ้างเงียบงันเย็นชา ทั้งยังมีคนงามแห่งยุค สง่างามล่มเมือง
ขอเพียงมีผู้โดดเด่นเช่นนี้ปรากฏตัว บริเวณนั้นก็จะเกิดเสียงร้องตกตะลึงระลอกหนึ่ง ปั่นป่วนไม่ว่างเว้น ทำให้บรรยายกาศในบริเวณนี้ยิ่งคึกคัก
หรือพูดได้ว่าเมืองหลิงเฟิงในอดีตไม่เคยคึกคักอย่างวันนี้
ตั้งแต่เริ่มจนจบหลินสวินสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ประเมินแต่ละภาพอย่างเรียบเฉย อารมณ์ในแววตาไม่หวั่นไหว
ไม่ว่าจะเป็นฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง หรือผู้โดดเด่นคนอื่นๆ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้ล้ำเลิศในระดับเดียวกันจริงๆ พลานุภาพแตกต่างกันไป ล้วนโดดเด่นเหนือธรรมดา
น่าเสียดายที่จนตอนนี้ยังไม่มีใครดึงดูดความสนใจของหลินสวินได้สักคน
——