ตอนที่หลินสวินได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งที่สามสิบเจ็ด ทั่วทั้งลานแสดงมรรคถึงกับเปลี่ยนเป็นเงียบกริบอย่างน่าประหลาด
ทุกคนล้วนมีสีหน้าสะทกสะท้านจนคำพูด
ต่อให้เป็นพวกเถาซงถิง อวี๋ฮูหยิน ในใจก็ไม่อาจสงบได้เช่นกัน
ฉู่ชิวที่ก่อนหน้านี้แสดงความสามารถได้โดดเด่นและสะดุดตามากที่สุด ก็ทำได้เพียงหยุดเท้าก่อนที่การต่อสู้ครั้งที่สามสิบเจ็ดจะเริ่มต้นเท่านั้น
ชัยชนะครั้งนี้ของหลินสวินได้ทำลายสถิติของฉู่ชิวอย่างไร้ข้อกังขา กลายเป็นคนแรกที่คว้าชัยสามสิบเจ็ดครั้งรวด ซ้ำยังยืนหยัดอยู่บนสังเวียนเพียงคนเดียวจนถึงบัดนี้!
ก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครต่างก็คาดไม่ถึง
ที่ตามมาติดๆ คือเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ทั้งลานแสดงมรรค
“จินตู๋อีคนนี้… ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
มีคนตื่นเต้นตะโกนลั่น
ก่อนการคัดเลือกถกมรรค ในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่ถูกผู้คนตั้งความหวังไว้มากที่สุด มีฉู่ชิว มีกู่เจี้ยนสิง และมีจั๋วเฟิ่งอิ่ง…
ไม่มีหลินสวินแค่คนเดียว
แต่ยามนี้กลับเป็นคนที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงอย่างหลินสวินที่กำราบกู่เจี้ยนสิง ทำลายสถิติการต่อสู้อันเลิศล้ำของพวกจั๋วเฟิ่งอิ่ง ฉู่ชิวอย่างต่อเนื่อง!
ใครบ้างจะไม่แปลกใจ ไม่ตกใจ
“ยามเมื่อม้ามืดตัวนี้พุ่งออกมา ก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจ และตอนนี้เขายิ่งมีท่าทีกร้าวแกร่งพร้อมทะยานสู่อันดับหนึ่ง ใครจะเชื่อได้”
มีคนสีหน้ามึนงง
“หมดกัน เดิมทีข้าพนันว่าฉู่ชิวจะเป็นที่หนึ่งในการคัดเลือกถกมรรค ทุ่มทรัพย์สมบัติทั้งบ้านเดิมพันไปหมดแล้ว คราวนี้… จบเห่แล้ว”
ยังมีคนมากมายทำหน้าเจ็บช้ำระกำใจ ทุบอกกระทืบเท้า
และยามนี้บุคคลเด่นสะดุดตาอย่างพวกกู่เจี้ยนสิง เกาหลิงเทียน จั๋วเฟิ่งอิ่ง ฉู่ชิว แต่ละคนต่างก็สีหน้าซับซ้อนเช่นกัน
พวกเขาดีดลูกคิดใคร่ครวญถึงคู่ต่อสู้แต่ละคนอย่างดิบดี แต่มีหนึ่งเดียวที่คาดไม่ถึง คือการมีพวกร้ายกาจไม่เป็นไปตามครรลองอย่างจินตู๋อีโผล่ออกมา
ท่วงท่าแข็งกร้าวไม่มีสิ่งใดขวางได้นั่น ห้อทะยานไม่เห็นฝุ่นชัดๆ!
สำหรับพวกเขาแล้วเหมือนห่างชั้นถึงที่สุด!
“อวี๋ฮูหยิน ข้ากังวลใจว่าคนหนุ่มเช่นนี้ ลัทธิเทพดาราเมฆของพวกเจ้าจะรับไม่ไหวน่ะสิ”
เถาซงถิงทอดถอนใจ
ในใจอวี๋ฮูหยินก็พลิกตลบเช่นกัน พอได้ยินก็ฝืนกล่าวว่า “รับไม่ไหวก็ต้องไหว อย่างไรก็ต้องทุ่มเต็มกำลังไปช่วงชิงให้จงได้!”
คนอื่นๆ ต่างอดส่ายหน้าไม่ได้
ถึงตอนนี้แล้วพวกเขามีหรือจะดูไม่ออก ว่าจินตู๋อีผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกปราณอิสระคนหนึ่ง ความจริงเป็นไปได้มากว่าจะเป็นพวกปีศาจที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดารา
ลัทธิเทพดาราเมฆแม้จะเป็นสำนักอันดับสองในแคว้นเมฆา แต่คิดจะรับปีศาจเช่นนี้เป็นผู้สืบทอด เกรงว่าจะไม่ไหว
ในลานแสดงมรรคฮือฮา กระตุ้นบรรยากาศของการคัดเลือกถกมรรคถึงขีดสุด สายตาทั้งหมดแทบจะมองไปยังร่างหลินสวินเป็นจุดเดียว
เพียงแต่เขากลับดูเหมือนไม่รู้สึก ยืนนิ่งบนสังเวียน รอคอยอย่างเงียบๆ
“คงไม่กระมัง นี่เขาคิดจะสู้ต่ออย่างนั้นหรือ”
ผู้ชมการต่อสู้บางส่วนตกใจยกใหญ่
ทั้งที่นั้นก็ชุลมุนไปพักหนึ่ง
“ข้าล่ะอยากรู้ยิ่งนัก ว่าเขาจะสามารถยืนหยัดได้ถึงขนาดไหนกันแน่”
และมีคนมากมายเหิมฮึก ฉายแววตั้งตาคอยออกมา
ในพื้นที่เข้าร่วมต่อสู้ ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกเหล่านั้นต่างรู้สึกว่าในปากมีรสขม จินตู๋อีไม่ออกไป ไหนเลยพวกเขาจะมีโอกาสเฉิดฉายจรัสแสง
แต่ก็มีคนไม่เชื่อ คิดว่าเวลานี้ไปท้าสู้หลินสวินย่อมเป็นโอกาสดีที่จะสร้างชื่ออย่างหนึ่ง
ต่อให้แพ้ก็ยังถูกผู้คนจับตามอง!
แต่ถ้าชนะขึ้นมา…
ย่อมทำให้ชื่อของตนกึกก้องสะท้านฟ้าอย่างแน่นอน!
ไม่นานนักการต่อสู้ครั้งที่สามสิบแปดของหลินสวินก็เปิดฉากขึ้น
ไม่มีข้อยกเว้น ก็ยังคงเป็นหลินสวินที่ชนะ
เขาที่อยู่บนสังเวียน มั่นคงจนน่ากลัว ประหนึ่งภูผาเทพที่แน่นปึกไม่ไหวติง จนบัดนี้ยังไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้!
ในช่วงเวลาต่อมา ผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าไม่เกรงกลัวบาป พุ่งขึ้นสังเวียนต่อสู้กับหลินสวิน…
และมีผู้แข็งแกร่งบางส่วนที่แต่เดิมปราชัยใต้น้ำมือหลินสวิน หลังจากพักฟื้นคืนแรง ก็พุ่งโถมขึ้นมาบนสังเวียนอีกครั้ง…
แต่น่าเสียดาย ทั้งหมดล้วนปราชัย
และพร้อมๆ กับการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าเริ่มต้นและปิดม่าน เสียงฮือฮา และตกใจในลานแสดงมรรคก็ดังขึ้นในโสตหูไม่ว่างเว้น
เพียงแต่เวลาต่อมา ผู้คนต่างพากันรู้สึกสะท้านขวัญชาวาบอย่างหนึ่ง
หลินสวินมั่นคงเกินไปแล้ว ความรู้สึกที่ให้แก่ผู้คนเหมือนไม่อาจถูกโค่นสยบตลอดกาล
ในระหว่างนี้ไม่รู้มีคนเท่าไหร่คาดการณ์ว่าเขาจะปราชัยในการต่อสู้สักครั้ง แต่สุดท้ายล้วนถูกความจริงฟาดหน้า!
เวลาเคลื่อนคล้อย
ห้าชั่วยามหลังการคัดเลือกถกมรรคเริ่มขึ้น หลินสวินคว้าชัยห้าสิบครั้งรวดบนสังเวียน
เจ็ดชั่วยาม คว้าชัยรอบที่หกสิบแปดติดต่อกัน
เก้าชั่วยาม คว้าชัยไปแปดสิบสี่ครารวด
……
ภายในลานแสดงมรรคหลิงเฟิง สายตาของเหล่าผู้ชมการต่อสู้ล้วนอึ้งค้าง จิตใจชาหนึบ
ความสะท้านสะเทือน ตกใจ แปลกประหลาด ตื่นเต้น ฮึกเหิมและไม่อยากจะเชื่ออะไร… ล้วนไม่มีเหลือแล้ว
เหลือเพียงแต่ความรู้สึก ‘อึ้งงัน’
จนกระทั่งตอนที่หลินสวินคว้าชัยชนะครั้งที่เก้าสิบเก้า แม้แต่ผู้เข้าร่วมที่อยู่ในเขตพื้นที่ต่อสู้คนอื่นๆ ล้วนเกิดความสิ้นหวังในใจ
นี่ยังจะสู้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ใครๆ ต่างคิดว่าอีกไม่นานจินตู๋อีนี่ก็จะยืนหยัดไม่ไหวเพราะพลังกายหมดสิ้น แต่ทุกครั้งล้วนถูกพิสูจน์ว่าคิดผิด
ก่อนหน้านี้ใครๆ ต่างก็นึกว่าตนจะเป็นผู้โชคดีคนนั้น ที่มีโอกาสกำราบจินตู๋อี แต่สุดท้ายล้วนถูกสยบกันหมด!
จวบจนเวลานี้ ผู้เข้าร่วมการต่อสู้เหล่านี้ในใจไม่กล้าหวังหาโชคช่วยอีก ชั่วขณะเดียวก็ไม่มีใครพรวดพราดขึ้นมาท้าต่อสู้กับหลินสวินบนสังเวียนอีก
ทั้งที่นั้นถึงกับเปลี่ยนเป็นเงียบกริบขึ้นมาแบบแปลกๆ โดยฉับพลัน
บนสังเวียน หลินสวินยืนสันโดษเพียงลำพัง แต่ทอดสายตามองรอบทิศกลับไม่มีใครกล้าขึ้นมาต่อสู้อีก!
ผู้ชมการต่อสู้ต่างมึนตื้อไปชั่วขณะ ในลานแสดงมรรคหลิงเฟิงนี้ มีจินตู๋อีอยู่ ใครจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นที่หนึ่ง
เวลาเคลื่อนคล้อยทีละนิดทีละน้อย
บนสังเวียนอื่นการต่อสู้อุบัติขึ้นไม่หยุด มีเพียงสังเวียนที่หลินสวินอยู่เท่านั้นที่เงียบเชียบ ขนาดผู้ท้าสู้สักคนยังไม่มี
นี่ก็คือบารมีที่เกิดขึ้นหลังจากชนะเก้าสิบเก้าครั้งติด!
ต่อให้เป็นพวกเถาซงถิง อวี๋ฮูหยิน ก็ยังอดครุ่นคิดไม่ได้ ว่าในบรรดาผู้สืบทอดแกนหลักของเจ็ดสำนักใหญ่ จะมีสักกี่คนที่ทำได้ถึงขั้นนี้
นี่เพิ่งจะคัดเลือกรอบแรก ในการคัดเลือกรอบที่สอง ม้ามืดที่พุ่งทะยานอย่างจินตู๋อีจะมีฝีมือที่น่าทึ่งขนาดไหน
มีแค่หงอวี่ที่สงบนิ่งที่สุด
เพราะเขารู้ชัดยิ่ง หากเต็มใจ เดิมจินตู๋อีก็มีคุณสมบัติไม่ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรครอบแรกนี้ก็ได้!
บนสังเวียน หลินสวินเฝ้ารอเนิ่นนานก็ไม่เห็นมีคนมาท้าสู้อีก จึงทอดสายตามองไปทางสังเวียนอื่น
ตามกฎแล้วเขาทั้งสามารถรับการท้าสู้ และสามารถไปท้าสู้ผู้อื่นในสังเวียนอื่นๆ ได้ด้วย!
ไม่มีคนมา เช่นนั้นตนก็ต้องเป็นฝ่ายเข้าหากระมัง?
ในใจหลินสวินเพิ่งผุดความคิดนี้ขึ้นมา ก็ตระหนักได้ว่าผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนสังเวียนอื่นล้วนพากันหน้าเปลี่ยนสี
“พี่จิน เดี๋ยวข้าก็จะชนะสิบครารวดแล้ว โปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย!”
มีคนร้อนรน
“พี่จิน การคัดเลือกรอบแรกนี้ทุกคนล้วนยอมรับในพลังต่อสู้ของท่าน ท่านจะไม่เหลือทางรอดให้พวกเราไม่ได้นะ”
มีคนเอ่ยปากขอร้อง
ชั่วขณะหนึ่งผู้แข็งแกร่งที่กำลังต่อสู้ดุเดือดบนสังเวียนเหล่านี้ล้วนหยุดการเคลื่อนไหวในมือ แต่ละคนสีหน้าจืดเจื่อน
ทั่วลานตะลึงงัน ภายในใจผู้ชมการต่อสู้ล้วนสะท้านไหว ดูสิ จินตู๋อีผู้นี้ทำเอาผู้คนตกใจจนกลายเป็นสภาพไหนแล้ว
มุมปากหลินสวินกระตุกน้อยๆ อย่างไม่เป็นที่จับสังเกต สุดท้ายก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ช่างเถิด พวกเจ้าสู้ต่อไป”
กล่าวเสร็จเขาก็ออกจากสังเวียนไป
คราวนี้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ บนสังเวียนถึงได้มีท่าทีปานยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจยาว จนกระทั่งมองส่งเงาร่างของหลินสวินหายลับไปจากลานแสดงมรรคถึงได้เก็บความคิด เริ่มสู้กันต่อ
“ในที่สุดจินตู๋อีก็ไม่สู้ต่ออีก!”
ภายในลานแสดงมรรค เสียงฮือฮามากมายดังขึ้น
“นี่คือยิ่งสูงยิ่งหนาวสินะ หาคู่ต่อสู้ที่คู่ควรไม่พบ ก็ได้แต่จากไปเช่นนี้…”
มีคนทอดถอนใจ
“วิธีการคว้าชัยชนะเช่นนี้ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด ไม่อาจสั่นคลอน ไร้ศัตรูทัดเทียม ได้แต่เลือกถอดใจเอง แค่ไม่รู้ว่ายามที่การคัดเลือกรอบสองเริ่ม จินตู๋อีผู้นี้จะเดินไปได้ไกลแค่ไหนกันแน่”
มีคนฉายแวววาดหวัง
การคัดเลือกรอบสองจะเปิดม่านขึ้นที่ ‘เขาเทพว่างเปล่า’ ซึ่งสำนักยุทธ์ว่างเปล่าตั้งอยู่
ถึงตอนนั้นผู้แข็งแกร่งที่ผ่านการคัดเลือดรอบแรกจากพื้นที่ต่างๆ ในแคว้นเมฆา ล้วนจะเข้าร่วมพร้อมกันในนั้น
อีกทั้งผู้สืบทอดเจ็ดสำนักใหญ่ก็จะปรากฏตัวด้วยเช่นกัน!
ตอนนั้นจึงจะเป็นการต่อสู้ดุเดือดอย่างแท้จริง การถกมรรคที่สำแดงย่อมมีสีสันยิ่งกว่า ทำให้ผู้คนเฝ้าคอยยิ่งกว่า
‘ถึงตอนนั้นไม่ว่าต้องควักจ่ายมากเท่าใด ข้าก็ต้องไปดูที่เขาเทพว่างเปล่าสักหน่อย ว่าจินตู๋อีจะถูกใครเอาชนะกันแน่’
คนมากมายต่างลอบตัดสินใจ
“ชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด ผลงานเช่นนี้ ในการคัดเลือกรอบแรกทั่วทั้งแคว้นเมฆา เกรงว่าคงไล่นิ้วนับได้เลย”
พวกเถาซงถิง อวี๋ฮูหยิน หงอวี่ ต่างเกิดสังหรณ์รุนแรงภายในใจ
ลำพังแค่ฝีมือในวันนี้ของจินตู๋อี ยามการคัดเลือกรอบสองเริ่มขึ้น ย่อมไม่อาจเผยฝีมือแบบธรรมดาทั่วไปแน่!
เสียงวิพากษ์วิจารณ์และฮือฮาในลานแสดงมรรคล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน
เขาออกไปนานแล้ว เดินกลับไปโรงเตี๊ยมตามลำพัง
วันนี้ผ่านการต่อสู้เก้าสิบเก้าครั้ง ทำให้เขาเข้าใจพลังมหามรรคที่คนระดับเดียวกันเก้าสิบเก้าคนครอบครองทั้งหมด ภายในใจสั่งสมการหยั่งรู้เอาไว้มากมายนานแล้ว
ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงก็เริ่มฝึกปราณทันที
ในสมอง โลกมายาหุ่นกระบอกของตงหลิวซื่อ อาภรณ์สวรรค์ไร้ตะเข็บของหวังเจินหยาง นรกดาบครวญของเกาหลิงเทียน ม่านกระบี่ธุลีเพลิงของกู่เจี้ยนสิง…
รูปร่าง กลิ่นอาย ท่วงทำนองของเขตแดนมรรคแต่ละอย่างล้วนทะลักสู่กลางใจหลินสวินราวกับกระแสน้ำหลาก
จนกระทั่งต่อมา เขตแดนกระบี่เมืองจักรพรรดิขาวของจินเทียนเสวียนเยวี่ย เงากระบี่มหาสหัสของกึ่งจักรพรรดิข่งอิน โลกบงกชสามสิบหกชั้นของกึ่งจักรพรรดิชวีเหรา ทางนรกไร้หวนของเสอหลิงผู้สืบทอดสำนักโบราณจรัสเทพ…
การหยั่งรู้ที่เกี่ยวกับเขตแดนมรรคทั้งหมดเหมือนหมื่นกระแสกลับสู่ต้นสาย กลายเป็นการหยั่งรู้มากมายซึมซาบเข้าสู่จิตใจหลินสวิน
เขตแดนมรรค
ใช้มหามรรคที่ตนครอบครองทั้งหมดเป็นรากฐาน พลังเขตแดนที่ควบรวมขึ้นดุจดั่งโลกมหามรรคที่เบิกขึ้นแห่งหนึ่ง!
คุณลักษณะของเขตแดนมรรคยิ่งสูง สื่อถึงการควบคุมพลังมหามรรคของผู้ฝึกปราณที่ยิ่งแข็งแกร่ง อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมายามโรมรันต่อสู้ก็ยิ่งน่ากลัว
หลังจากหลินสวินเหยียบย่างระดับมกุฎราชันอริยะเมื่อนานมาแล้ว ก็อาศัยการควบคุมพลังมหามรรคควบรวมเขตแดนมรรคออกมา ทว่ากลับเป็นแค่ต้นแบบที่เลือนรางอย่างหนึ่งเท่านั้น
และตั้งแต่ตอนนั้นจนกระทั่งในเวลานี้ เขาก็เอาแต่ขัดเกลาและศึกษานัยเร้นลับของเขตแดนมรรค เพื่อควบรวมเขตแดนมรรคหนึ่งเดียวใต้หล้าที่สมบูรณ์เต็มเปี่ยมออกมา!
และยามนี้ ภายใต้การหยั่งรู้มากมายที่สั่งสมไว้ในใจ ภายในใจหลินสวินราวกับเห็นแจ้งฉับพลัน เริ่มสำแดงและหลอมเขตแดนมรรคแห่งตนขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
——