“เจ้ากับฟางหยวนเคยพบกันมาก่อน?”
สืออวี้ถงสงสัยและถามต่อ “เจ้าเป็นศิษย์ของจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุผู้ยิ่งใหญ่ลู่เหรินเจีย และเขาก็ชอบส่งเสริมคนรุ่นใหม่ เขาต้องชอบใจที่ได้รู้เรื่องฟางหยวนผู้มีพรสวรรค์!”
ได้ยินคำขู่อันสุภาพแล้ว ฟางหยวนก็ยังคงใจเย็นอยู่ หรี่ตาลงเผยให้เห็นสายตาเย็นเยียบ “เจ้าปรากฏตัวขึ้นตอนท้ายของการต่อสู้ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะตั้งใจยื่นมือเข้าช่วยเจ้าสำนักผู้นี้ลับ ๆ?”
เขาเคยเห็นพี่สาวน้องสาวคู่นี้สู้กับเจ้าสำนักห้าผีเคียงข้างกันมาก่อน เขารู้ว่าคงจะไม่ได้โชคดีถึงเพียงนั้นและสืออวี้ถงย่อมนำผู้ช่วยมาด้วยเป็นแน่
สืออวี้ถงนั้นเอาชนะอู่จงธรรมดาผู้อื่นได้โดยง่ายแม้ไม่มีความช่วยเหลือใด
ต่อให้มีนักรบศักดิ์สิทธิ์ต้องการกำจัดพวกนาง พวกนางก็ยังสามารถปกป้องตัวเองและหนีรอดไปได้
อย่างไรเสีย การเป็นศิษย์รักของจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ และในช่วงวุ่นวายเช่นนี้ นางจะไม่นำของล้ำค่าสำหรับป้องกันตัวเองติดตัวมาด้วยสักหลายชิ้นได้อย่างไร?
ฟางหยวนยังไม่ลืมที่หลิงอิ๋นสู้กับโลหิตสังหารด้วยประกายสีมรกตของนาง
‘เพราะจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุสามารถควบคุมไฟศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำการแปรธาตุได้และผลที่ได้นั้นเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนหลายคนใฝ่ฝันหา ดังนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะร่ำรวยมาก… ถ้าข้าจู่โจมออกตอนนี้ ข้ามีความมั่นใจที่จะจัดการทั้งสองคนได้เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น ดังนั้นย่อมเป็นการฉลาดกว่าที่จะจัดการกับพวกเธอทีละคน!’
“น้องสาวผู้นี้จะกล้าได้อย่างไร?”
แม้ว่านางจะเป็นศิษย์ของเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ นางก็ยังมีสถานะต่ำกว่าอู่จง
ถึงแม้ว่าศิษย์วิญญาณจะควบคุมพลังธาตุก่อกำเนิดและสามารถเรียกใช้เคล็ดพลังธาตุบางอย่างได้ พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้เมื่อต้องรับมือกับพลังธาตุที่แท้จริง
หลิงอิ๋นรู้สึกขนลุกชันเมื่อฟางหยวนจ้องมองไปที่นาง นางรู้สึกไม่ปลอดภัย และยังรู้สึกละอายอยู่เล็ก ๆ
“ถ้าอย่างนั้น ก็คุยเรื่องสำคัญกันเสียก่อน!”
ฟางหยวนหันหน้าไปและตรงเข้าเรื่องขณะมองสืออวี้ถง “จุดประสงค์ที่เจ้าสำนักมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองคืออะไร?”
“นี่…”
สืออวี้ถงตัวแข็ง
นางตั้งใจจะเอาชนะท่านหมอแห่งหุบเขาสันโดษเพื่อให้เขารู้ถึงพลังของนางก่อนที่จะบีบบังคับเอาข้าววิญญาณออกมา
แต่ว่า อีกฝ่ายนั้นตอนนี้เป็นถึงอู่จง!
ไม่เพียงแค่อู่จง แต่อู่จงผู้นี้ยังมีพลังอำนาจมากกว่านางด้วย!
แล้วเช่นนี้นางจะแจ้งเงื่อนไขของนางออกไปได้อย่างไรเล่า?
“เหอเหอ… ข้าได้ข่าวว่าคู่หมั้นของเหลยเยว่อยู่ที่นี่ ดังนั้นก็เลยตั้งใจมาเพื่อเยี่ยมเยียนเป็นการเฉพาะ บรรยากาศเมื่อครู่เป็นแค่การหยอกล้อกันเล่นใช่หรือไม่?”
หลิงอิ๋นก้าวมาข้างหน้าหลายก้าวก่อนจะเข้าไปกอดแขนเสื้อสืออวี้ถงเอาไว้ราวกับต้องการซ่อนความรู้สึกของนาง
“ถูกต้อง! ข้ามาเพราะเช่นนั้น!”
อู่จงผู้หนึ่งนั้นมีคุณค่าพอให้สร้างสัมพันธ์ที่ดีด้วย และโดยเฉพาะเมื่ออู่จงผู้นั้นช่างแข็งแกร่ง!
ถ้านางสามารถโน้มน้าวให้เขาเข้ารวมสมาพันธ์ได้ เสียศิษย์หญิงสักคนไปก็ไม่นับว่าสำคัญ!
หลังจากชั่งน้ำหนักเรื่องราวแล้ว สืออวี้ถงก็สรุปออกมาเช่นนี้ และมองไปทางหลินเหลยเยว่
‘อาจารย์…’
เมื่อหลินเหลยเยว่เข้าใจความตั้งใจของอาจารย์ของนาง นางก็หน้าระเรื่อขึ้นและรู้สึกต่อต้าน
ด้วยนิสัยหยิ่งทระนงของนางนั้นย่อมไม่พ้องกับการที่นางถูกทำเหมือนเป็นของขวัญหรือของชดเชย และที่ทำให้เรื่องแย่ลงไปอีกก็คือฟางหยวนเคยปฏิเสธนางมาแล้วครั้งหนึ่ง!
‘ช่างเป็นผู้มีประสบการณ์โดยแท้ คำของเจ้าสำนักช่างหนักจริง ๆ…’
ฟางหยวนสังเกตเห็นท่าทางของหลินเหลยเยว่ทันที
เขานึกถึงที่สืออวี้ถงโน้มน้าวให้อวี้ชิงเหลิ่งบังคับให้เขาปฏิเสธการหมั้นหมายก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับที่นางปฏิบัติต่อเขายามนี้ หลังจากเห็นว่าเขามีความสามารถสูงเพียงใด
“ลืมมันไปเสียเถอะ เหตุใดข้าจึงต้องเข้าไปพัวพันกับสัญญาหมั้นหมายด้วย?”
ฟางหยวนโบกมือ “กลับไปเถอะ ข้าไม่ส่งแล้ว!”
ได้ยินคำพูดไร้หัวใจแล้ว สืออวี้ถงก็มองหลินเหลยเยว่และฝืนยิ้มออกมา
พวกเขารู้ว่ามันไม่สำคัญกับฟางหยวนเลยว่าพวกเขาจะอยู่ข้างเดียวกันหรือไม่ตอนนี้ นอกจากนี้ พวกนางยังรู้สึกได้ถึงความรำคาญในคำของเขา
หลินเหลยเยว่ตัวสั่น
หลังจากที่ในที่สุดนางก็โน้มน้าวตัวเองให้เสียสละอนาคตของนางเพื่อสำนักได้แล้ว ฟางหยวนก็กลับปฏิเสธนางอย่างไม่ไยดี
ภาพนี้กลายเป็นเรื่องชวนหัวไปเมื่อเทียบกับการต่อสู้ในตอนเริ่มแรก!
ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นแดงก่ำรู้สึกเหมือนทุกคนกำลังเยาะเย้ยนางอยู่ นางไม่สามารถควบคุมตนเองได้ น้ำตาไหลออกมา ขณะที่นางหมุนตัวกลับออกวิ่งหนีไป
“คิคิ… ศิษย์ของข้าค่อนข้างซุกซน อย่าได้ถือสา!”
สืออวี้ถงถอยก้าวหนึ่ง “ในเมื่อนายท่านฟางไม่ได้ตั้งใจ เช่นนั้นน้องหลิงอิ๋นและข้าก็ไม่รบกวนท่านต่อแล้ว พวกข้าขอลา!”
ในฐานะเจ้าสำนัก คำพูดของนางย่อมมีน้ำหนัก
ขณะที่พวกเขาจากไป ก็ไม่มีเกิดความวุ่นวายขึ้น มีอู่จงและศิษย์วิญญาณนำทาง ที่เหลือล้วนมีระเบียบ
…
ในป่า สืออวี้ถงบอกให้ศิษย์ในสำนักหาตัวหลินเหลยเยว่ ขณะทำท่าให้หลิงอิ๋นไปอีกทาง
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าผาเล็ก ๆ และมองออกไป ทุกแห่งล้วนเป็นป่าเขียวขจี
“ดี พวกเราอยู่ห่างออกมาถึงสิบลี้แล้ว พวกเราคุยกันที่นี่!”
ขณะที่สายลมโชยมาแผ่ว ๆ สืออวี้ถงก็พูด “แม้ว่าฟางหยวนจะมีความสามารถสูงกว่าข้า ข้ายังสามารถรับรู้ถึงเขาได้!”
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจ! แต่ว่า เผื่อเอาไว้…”
หลิงอิ๋นหัวเราะคิกคักขณะดึงเอายันต์แผ่นหนึ่งออกมา มันเผาตัวเองลุกเป็นไฟโดยไม่มีลมสักนิด จากไฟสีแดง ตราวิญญาณอันหนึ่งก็ลอยออกมา เปล่งประกายแล้วประทับตัวเองเข้าที่หน้าผากของนาง ส่งประกายออกมาวูบหนึ่ง
“อืม… ไม่มีอู่จงคนที่สองอยู่แถวนี้!”
นางหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะสรุปออกมา
“ด้วยความสามารถของแผ่นยันต์นั้น เจ้าสามารถเพิ่มพลังเวทย์และเพิ่มความสามารถในการตรวจจับเทียบเท่ากับนักรบศักดิ์สิทธิ์ ข้าค่อยโล่งใจ!”
สืออวี้ถงพยักหน้าด้วยความพอใจและชื่นชมที่หลิงอิ๋นสละยันต์แผ่นนี้โดยไม่ลังเลเพื่อนาง
นางไม่มีจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจึงไม่สามารถฟุ่มเฟือยได้เช่นนาง
“พี่สาว ท่านคงไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ ใช่หรือไม่?”
หลิงอิ๋นยิ้มล้อเลียน “ท่านพยายามวางแผนนี้ขึ้นมา แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องมันเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้! ถ้าข่าวนี้กระจายออกไป ตระกูลต่าง ๆ และยังกลุ่มต่าง ๆ ที่พวกเราชักจูงเข้ามาอาจจะเปลี่ยนฝ่ายได้”
“พวกเราทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเสีย ใครเล่าจะรู้ว่าจู่ ๆ เขาจะกลายเป็นอู่จงคนหนึ่งขึ้นมา?”
สืออวี้ถงรู้สึกขมขื่น นางส่ายหน้าและตัดสินใจ “หลังจากพบเขาแล้ว ข้าก็แน่ใจว่าการหายตัวไปของผู้อาวุโสฮั่นเกี่ยวข้องกับหุบเขาสันโดษ! นอกจากนี้ อาจจะเกี่ยวพันไปถึงผู้มีพลังอื่น ๆ อีก…”
“ท่านจึงไม่อนุญาตให้ข้าสู้เพื่อครู่นี้ใช่หรือไม่?”
หลิงอิ๋งเล่นกับกำไลหยกที่ข้อมือของนาง “ถ้าพวกเราร่วมมือกันสู้กับเขา พวกเราอาจจะเอาชนะเขาได้ เหมือนที่พวกเราสู้กับเจ้าสำนักห้าผีครั้งก่อน เหอเหอ…”
นางเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “ก่อนสงครามจะเริ่ม การเปลี่ยนแปลงในมณฑลชิงเหออาจจะกระทบกับอาจารย์ของข้า ท่านมีความมั่นใจที่จะโน้มน้าวเขาเข้ามาอยู่ฝ่ายเราหรือไม่?”
“สำหรับตอนนี้นั้น ข้าเกรงว่าจะไม่!”
สืออวี้ถงกัดริมฝีปาก “เจ้าเองก็เห็นการปฏิเสธการหมั้นหมายแล้วนี่ เห็นท่าทีตอบสนองของเขาแล้ว เจ้าน่าจะบอกได้ว่ามันไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว ถ้าเราจะโทษใครสักคน ก็ต้องโทษศิษย์ของข้าที่ไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้เหมาะสม…”
“เช่นนั้นนี่ก็เป็นปัญหา ถ้าเขาเลือกที่จะโจมตีใส่พวกเราในเวลาวิกฤติ ในฐานะอู่จงผู้หนึ่ง เขาจะนำปัญหามาให้เราได้มากนัก!”
หลิงอิ๋นดูจะหมดหวัง
“น้องสาว เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
สืออวี้ถงเดา “จู่โจมก่อน? ใช่แล้ว! ชิงลงมือก่อนเป็นความคิดที่ดี!”
“เช่นนั้นก็อย่าช้าอีกเลย ข้าจะไปหาอาจารย์ของข้าและให้เขาส่งผู้ฝึกยุทธ์เก่ง ๆ มาช่วยเรา!”
หลิงอิ๋นตอบ
แม่นางทั้งสองนั้นตัดสินใจได้เร็วนัก เพียงไม่กี่คำ พวกนางก็สรุปแล้วว่าไม่มีทางที่จะโน้มน้าวให้ฟางหยวนช่วยเหลือพวกนางได้ และก็เปลี่ยนเป็นแก้ปัญหาโดยการสังหารเขาได้อย่างรวดเร็ว!
นอกเสียจากพวกนางจะมีทรัพยากรมากพอ ไม่ใช่นั้นก็ต้องกำจัดสิ่งที่กีดขวางอยู่ก่อนสงครามจะเริ่ม
“เป็นความคิดที่ดี!”
สืออวี้ถงต้องการพูดบางอย่างแต่ถูกขัดด้วยพลุสีแดงบนท้องฟ้า
“นั่นเป็นสัญญาณของสำนัก ดูเหมือนพวกเขาจะพบเหลยเยว่แล้ว โอ้…”
สืออวี้ถงพยักหน้า “นางยังไม่เป็นผู้ใหญ่นัก บางทีข้าอาจจะไม่ควรใช้ข้าววิญญาณและเม็ดยาวิญญาณช่วยนางผ่านประตูชางเลยเมื่อตอนนั้น…”
“ถ้าเจ้าไม่ช่วยให้นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำลังภายใน แล้วนางจะปกป้องตนเองได้อย่างไรในช่วงสงครามและสถานการณ์อันพลิกผันไปมา? นี่เพียงแสดงความห่วงใยและความรักที่ท่านมีต่อนางเท่านั้น…”
หลิงอิ๋นยิ้ม “ข้าเพียงแค่พูดเล่น แน่นอนว่าท่านต้องปลอบโยนศิษย์ของท่านหลังจากได้พูดคุยกันแล้ว!”
“ขอบคุณที่น้องสาวเข้าใจ ข้าขอไปก่อนละ!”
ได้ยินว่าหลิงอิ๋นเข้าอกเข้าใจถึงเพียงนี้ สืออวี้ถึงก็ลุกขึ้นและใช้วิชาตัวเบา กระโดดเพียงไม่กี่ครั้ง นางก็หายลับไปในป่า
“เฮ้อ… ข้าอิจฉาเหลยเยว่นักที่มีอาจารย์ที่ดีถึงเพียงนี้”
หลิงอิ๋นรู้ว่าอาจารย์และศิษย์ต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพื่อพูดคุยกันดังนั้นจึงไม่ได้ตามนางไป นางมองไปทางที่สืออวี้ถงจากไป ถอนหายใจ และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
เสียงจิ้งหรีดดังอยู่รอบ ๆ ทำให้ป่าดูเงียบวังเวงกว่าที่เคย
สายลมพัดผ่านใบหน้าของนาง นางตัวสั่น
นางสัมผัสได้ถึงอันตราย และสมองก็พลันว่างเปล่า ราวกับว่านางทำบางอย่างพลาดไป
“อันตราย? เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่ข้าตรวจสอบแล้วว่ารอบ ๆ นี้ปลอดภัย! แม้ว่าข้าจะแยกกับพี่สาวแล้ว ตราบใดที่ข้าไม่ได้ถูกตามตั้งแต่แรก แล้วข้ายังต้องกังวลใดอีก?”
ถึงอย่างนั้น ฝ่ามือของหลิงอิ๋นก็ถูกำไลข้อมือหยกอย่างไม่รู้ตัวขณะกวาดตามองรอบ ๆ อย่างตื่นตัวเต็มที่
“เจ้ารู้ตัวแล้ว!”
เสียงดังมาจากไกล ๆ เป็นเสียงที่ยังอ่อนวัยและยังนำความรู้สึกคุ้นเคยมา
“เป็นเจ้า!”
ขณะที่สายหมอกจางไป หลิงอิ๋นก็เห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากหมอกและนางก็กัดฟันแน่น “ฟางหยวน!!! เป็นไปไม่ได้! แม้ว่าเจ้าจะเป็นอู่จง เจ้าก็ไม่สามารถซ่อนตัวจากสืออวี้ถงและข้าได้!”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงยังไม่สามารถตรวจพบข้าเล่า? เจ้าอยากจะเดาดูไหม?”
ฟางหยวนขยับเท้าและทั้งร่างเขาก็ลอยมาข้างหน้า ร่างของเขาแบ่งออกเป็นสิบร่างทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกงงงวย
แล้วความเร็วของเขายังต่างไปจากตอนสู้กับสืออวี้ถงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ในเวลาเดียวกัน พลังกดดันเวทย์มหาศาลก็แผ่ออกมา
“นักรบศักดิ์สิทธิ์?”
สีหน้าของหลิงอิ๋นเปลี่ยนไป