ที่ยอดเขาชอุ่มดินแดนศักดิ์สิทธิ์
หมอกลอยล่องแยกออกเผยให้เห็นอินทรียักษ์
“แกว๊ก!”
ที่หน้าผา เงาร่างของราชานกหงเอี่ยนป๋ายปรากฏขึ้น ที่ด้านหลัง มีนกสีขาวตัวเล็กจำนวนมากตามมา เมื่อมันเห็นว่าผู้ที่มาถึงเป็นใคร พวกมันก็ตื่นเต้น
“ฝุบ!”
เส้นแสงสีขาวพุ่งผ่านมา เป็นฮวาหูเตียว
“ข้ากลับมาแล้ว!”
ฟางหยวน ที่ขี่อยู่บนหลังอินทรีดำรู้สึกตื้นตันเมื่อเห็นสัตว์วิญญาณของตน
อินทรีดำหางเหล็กของเขานั้นไม่เพียงแบกเขามา ที่กรงเล็บของมันยังมีกล่องเหล็กใบมหึมา และในกล่องก็คือราชาปลาวิญญาณ
ส่วนปลาชนิดอื่น ๆ อย่างปลาวิญญาณหรือปลาเมามาย พวกมันไม่โชคดีเท่า พวกมันถูกแปรรูปและตากแห้งเก็บไว้ในไข่มุกภูผานที
สมบัติที่หยางฟานทิ้งเอาไว้ดูภายนอกเหมือนจะไร้ประโยชน์ แต่เมื่อใช้มันในการเก็บสิ่งของ มันก็ทำให้ฟางหยวนสะดวกสบายมากขึ้น และทำให้เรื่องง่ายขึ้นเมื่อเขาต้องออกเดินทางท่องเที่ยวในอนาคต
“ไม่มีที่ใดสะดวกสบายเทียบได้กับบ้านของข้าจริง ๆ!”
ฟางหยวนสั่งให้อินทรีดำหางเหล็กร่อนลงและพึมพำออกมาขณะเดินไปดูราชานกหงเอี่ยนป๋ายและฮวาหูเตียว
แน่นอนว่า ถ้าที่อยู่อันลึกลับของเขานี้ถูกผู้อื่นล่วงรู้เข้า ราชวงศ์ของประเทศเซี่ยย่อมหมายตามันเป็นแน่
สำหรับเขา หน้าที่ในฐานะเจ้าเมืองอี้ซานฝูนั้นไม่สำคัญ มันจะมีอะไรสำคัญไปกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยอดเขาชอุ่มได้?
“เคล้ง! เคล้ง!”
มีเสียงกระแทกดังมาจากกล่องเหล็กอย่างต่อเนื่อง
“เจ้าก็ยังมีพลังงานเหลือล้นแม้ว่าจะถูกขังเอาไว้ในกล่องเหล็กนี่ตั้งนาน!”
ฟางหยวนแตะคางตัวเองและพูด “เอาละ… มีสระน้ำเล็ก ๆ อยู่ใต้หน้าผานี่ มันจะเป็นของเจ้าเมื่อได้รับการขยับขยายเรียบร้อย!”
ในเมื่อเขาทำการปลูกพืช จะไม่ให้เลี้ยงปลาไว้เสียหน่อยได้อย่างไร?
สระน้ำใต้หน้าผานั้นเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาเอาไว้
ไม่ว่าราชาปลาวิญญาณจะแข็งแกร่งเพียงใด หากไร้อิสระที่มันเคยมีอย่างแม่น้ำใหญ่และทะเล มันก็จะดุร้ายน้อยลงอย่างช้า ๆ
“ข้าคิดว่าข้าร่ำรวยมากแล้วตอนนี้…”
หลังจากกลับมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ฟางหยวนก็เริ่มจัดเก็บสมบัติที่เขามี
สวนสมุนไพรวิเศษนั้นสำคัญที่สุด แต่ว่าข้าวหยกเพลิงนั้นก็ละเลยไม่ได้เช่นกัน
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยอดเขาชอุ่มตอนนี้นั้นได้รับการปกป้องด้วยหมอกสะกด หญ้าวงเดือนและบุปผากงจักรรอบ ๆ ยอดเขา ที่ด้านในนั้น ไร่สวนมีฮวาหูเตียวและราชานกหงเอี่ยนป๋ายคอยดูแล ทำให้มันสงบสุขเป็นที่สุด พืชในไร่และต้นไม้ในสวนสมุนไพรนั้นเจริญเติบโตได้ดี ฟางหยวนสามารถเก็บเกี่ยวใบชาของฤดูนี้ได้แล้ว และยังเมล็ดพืชหยกแดงก็เติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นต้นไม้เล็ก ๆ ที่แข็งแรง
“ข้าเปิดเผยความสามารถของข้าออกไปเล็กน้อยตอนที่อยู่ในประเทศจู และน่าจะดึงดูดความสนใจบางส่วน ข้าควรจะกำจัดความสงสัยในตัวข้าออกไปจะดีกว่า!”
หลังจากเขากลับมาที่กระท่อมฟาง ฟางหยวนก็นั่งลงขัดสมาธิและผ่อนลมหายใจยาว
ความผิดพลาดและประสบการณ์ของหลิวเอี๋ยน เจ้าเมืองอี้ซานฝูคนก่อนนั้นเป็นสิ่งย้ำเตือนต่อฟางหยวน
หลิวเอี๋ยนนั้นเพียงแค่มีโอกาสเล็กน้อยที่จะทะลวงผ่านอุปสรรค์เข้าสู่ขอบเขตแยกธาตุก็ต้องประสบเข้ากับปัญหามากมายแล้ว แล้วผู้มีพรสวรรค์เช่นฟางหยวนเล่าจะต้องเผชิญกับอะไร?
เพื่อป้องกันไว้ก่อน เขายังต้องรักษาความลึกลับเอาไว้และไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นมากเกินไปเผื่อพวกเขาจะจับจ้องตนอยู่
“ตีแล้วหนี อืม… ข้ากลายเป็นโจรไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ขณะที่ฟางหยวนคิดถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะและมีสีหน้าเย็นชา “ดูเหมือน… ข้าจะต้องทำลายความหวังของพวกเขาซะ!”
ถ้าทำเช่นนั้น เขาก็อาจจะอยู่แค่ระดับนี้ต่อไปหรือว่าพยายามเพิ่มความสามารถและทะลวงผ่านสู่ขอบเขตแยกธาตุก็ได้เช่นกัน!
“บนเส้นทางจ้าวแห่งฝันนี้ ข้ามาถึงระดับสูงสุดของขอบเขตรวมธาตุแล้ว การทะลวงด่านครั้งนี้คงจะยากมาก จิตใจของข้าต้องส่งผลต่อสิ่งของที่จับต้องได้ นำวัตถุจากโลกแห่งความฝันมาสู่โลกแห่งความจริง… มันจะเป็นเรื่องง่ายไปได้อย่างไรกัน?”
“เพื่อการนี้ ข้าทำได้เพียงรอโอกาส ถัดไปก็คือตั้งมั่นบนเส้นทางการฝึกยุทธ์!”
“ในเมื่อข้าดึงดูดความสนใจจากประเทศจูเป็นอย่างมาก ข้าก็ควรพักอยู่ที่ยอดเขาชอุ่มสักระยะเพื่อฝึกตน…”
ฟางหยวนมองหน้าต่างสถานะแล้วก็เริ่มคิด
ขอบคุณราชาพิษผู้โชคร้าย เจียอู๋หมิง ฟางหยวนนั้นไม่ใช่แค่มีแนวคิดถึงเคล็ดวิชาใหม่แต่ยังมีความก้าวหน้าในด้านกระบวนท่าโดยรวมของเคล็ดวิชานั้นด้วย
…
ครึ่งเดือนผ่านไป
ฟางหยวนนั้นกินอาหารอิ่มแล้วและกำลังดื่มชาวิญญาณอยู่ จากนั้นเขาก็ไปที่สวนด้านหลัง
หายใจเข้า… และออก…
เพียงแค่หายใจอย่างง่าย ๆ ก็มีสายลมไหลเวียนไปรอบ ๆ สวน พลังเวทย์รวมตัวกันเป็นเกลียววน ราวกับที่ใจกลางนั้นมีสัตว์ร้ายตัวใหญ่อยู่ด้านใน
“เคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนจากตระกูลหยางนั้นสร้างรากฐานให้ผู้ฝึก! เคล็ดลมปราณนี้สร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบย่อยอาหาร และสามารถพัฒนาต่อไปได้ด้วยการกินอาหารวิเศษลงไปให้มาก… ข้ามีทั้งข้าววิญญาณ ชาวิญญาณ ดอกไม้และผลไม้วิเศษมากมาย!”
ผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชานี้จากตระกูลหยางย่อมไม่สามารถมีทรัพยากรฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ดังนั้น ฟางหยวนจึงสามารถฝึกวิทยายุทธ์ได้ก้าวหน้าเร็วกว่าปกติมาก
“เมื่อมีพื้นฐานแน่นย่อมมีพลังธาตุแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้อื่นทั่วไป ในระดับอู่จง ผู้ที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่ง… เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กของข้านั้นมีพื้นฐานอยู่บนเคล็ดลมปราณอย่างง่ายและมันช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กรงเล็บอินทรีของข้า เช่นนั้น นี่ก็จะเป็นการชดเชยการมีวิชากำลังภายในที่ด้อยกว่า!”
เดิมที เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กก็มีข้อจำกัด และสามารถฝึกได้ระดับสูงสุดที่ประตูทองที่ 12
ฟางหยวนในตอนนั้นฝ่าข้อจำกัดนี้ในโลกแห่งความฝันซึ่งไม่เคยมีผู้ได้สามารถทำได้มาก่อน ข้อจำกัดถูกผลักไปที่ประตูทองที่ 13 และเขาก็สามารถขึ้นเป็นอู่จง ดังนั้น เคล็ดวิชานี้ในแบบของฟางหยวนนั้นต่างไปจากต้นฉบับแล้วเล็กน้อย
หลังจากใส่พลังจากเคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนลงไป ความแตกต่างนั้นยิ่งน่าตกตะลึง
“จากที่ข้าทดลอง ข้าทำได้ในโลกแห่งความฝันและขยับขึ้นเป็นอู่จงในโลกแห่งความจริง การเปิดชีพจรศักดิ์สิทธิ์แรกและรวมชีพจรศักดิ์สิทธิ์เพื่อฝ่าสู่ประตูทองที่ 14 ย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กฉบับที่ดีกว่านี้ไม่ใช่ฉบับเดิมอีกต่อไปแล้ว ข้าจะเรียกเคล็ดวิชาใหม่นี้เป็นเคล็ดอินทรียักษ์กายาเหล็ก!”
ด้วยความคิดเช่นนี้ในใจ ตัวอักษรเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กในหน้าต่างสถานะของเขาก็ค่อย ๆ เลือนไปและชื่อก็เปลี่ยนไป
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 12.0
พลังลมปราณ: 12.0
พลังเวทย์: 9.9
สายวิชา: จ้าวแห่งฝัน
การฝึกตน: [จ้าวแห่งฝัน (ระดับสูงสุดของขอบเขตรวมธาตุ)], อู่จง
วิทยายุทธ์: [อินทรียักษ์กายาเหล็ก (ระดับ 1) (9 ใน 10 ส่วน)], คาถาสะกด, ก้าวมายา
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)]”
“วิชาอินทรียักษ์กายาเหล็ก— วิทยายุทธ์อันเป็นเอกเทศที่มีพื้นฐานจากการรวมเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กและลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนเข้าด้วยกัน วิชานี้เกิดจากพลังธาตุและเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยลมปราณยิ่งใหญ่ เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันตัวเอง การใช้พิษ พลัง และพลังหยิน ระดับปัจจุบันอยู่ที่ 9 ใน 10 ส่วนของการกำเนิดชีพจรศักดิ์สิทธิ์จุดแรก!”
ทั้งหมดนี้เขียนขึ้นโดยมีระดับประสบการณ์ที่ได้รับมาเป็นฐานแต่ก็ยังพบว่าติดข้อจำกัดเอาในก้าวสุดท้าย
“หากข้าสามารถสร้างชีพจรศักดิ์สิทธิ์แรกได้สำเร็จ ข้าก็จะเรียกได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปิดชีพจรและข้าก็จะมีพลังมากพอที่จะกดข่มทุกผู้บนแผ่นดินนี้…”
กล้ามเนื้อของฟางหยวนตึงเขม็งขึ้นด้วยลมปราณยิ่งใหญ่ ผิวของเขาดูแข็งแกร่งราวกับเหล็ก แต่ที่ภายนอกก็ยังดูเป็นผิวปกติเหมือนคนทั่วไป นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากเขาใส่ลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนเข้าไปในเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก
“ตอนนี้ลมปราณในร่างข้านั้นแน่นหนาและความแข็งแกร่งของร่างกายก็อยู่ในระดับสูงสุด! นี่สมกับที่เป็นเคล็ดวิชาอันดับสูงในอาณาจักรต้าเฉียน!”
ฟางหยวนค่อย ๆ สำรวจความสามารถของวิชาใหม่นี้ ทันใดนั้น ก็มีเส้นพลังปรากฏขึ้นบนร่างของเขา ราวกับงูตัวเล็ก เส้นพลังนี้เคลื่อนที่ไปรอบ ๆ และดูราวกับเป็นมายาภาพ
นี่คือชีพจรศักดิ์สิทธิ์แรกที่เขาสร้างขึ้น แต่ว่า เพราะมันยังไม่เสถียร ดังนั้นมันจึงดูเหมือนเป็นมายา
“ข้าถึงข้อจำกัดของการฝึกยุทธ์ในฐานะจ้าวแห่งฝันแล้ว หลังจากนี้ ข้าไม่สามารถเพิ่มระดับขึ้นไปได้โดยการฝึกฝนอย่างหนักด้วยตัวเองคนเดียว…”
ฟางหยวนพึมพำกับตัวเองและเรียกราชานกหงเอี่ยนป๋ายมา “ได้เวลาไปจัดการกับเรื่องในอี้ซานฝูและหาโอกาสพัฒนาตัวเองต่อไป!”
…
ในเมืองอี้ซานฝู
ในคฤหาสน์เจ้าเมือง ผู้คนเบียดเสียด
โจวเหวินอู่ อวี้ซินโหลว และคนอื่น ๆ ตอนนี้นั้นมีภาพลักษณ์อันมั่นคง พวกเขาเติบโตขึ้นอีกเล็กน้อยและจัดการงานต่าง ๆ ของอี้ซานฝูร่วมกับจางชิงเฟิง
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
ทันใดนั้น เสียงร้องหลายครั้งก็ดังมาและใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความดีใจ “เสียงร้องนี่… ท่านเจ้าเมืองกลับมาแล้ว!”
พวกเขารีบออกไปที่สวนด้านหลังทันที สายลมแรงหอบใหญ่มาพร้อมกับการปรากฏกายของฟางหยวนและราชานกหงเอี่ยนป๋าย
“คารวะท่านเจ้าเมือง!”
พวกมันทั้งหมดรีบกำจัดความคิดที่อยู่ในใจทิ้งไปขณะคารวะฟางหยวน
“ไม่ต้องมากพิธี เรียกทุกคนมารวมกันที่ห้องโถงใหญ่!”
ฟางหยวนโบกมือ
“ขอรับ นายท่าน!”
ไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา หลังจากนั้นครู่เดียว ห้องโถงใหญ่ก็เต็มและฟางหยวนเดินไปนั่งที่ของเขา
หนิวติ้งเทียน จางชิงเฟิง และเจ้าหน้าที่หน้าใหม่ของสำนักงานเมือง โจวเหวินอู่ อวี้ซินโลหว หวงฝูเหรินเหอ และ… ใบหน้าที่คุ้นเคยและใบหน้าใหม่ ๆ ล้วนปรากฏอยู่ที่นี่ โอ้ และศิษย์ทั้งสอง เฉินจื่ออิงและหลานรั่ว พร้อมกับชายวัยกลางคนที่ไว้เครายาว ผู้ชายคนนี้คือบิดาของเฉินจื่ออิง เฉินชิ่ง พวกมันทั้งหมดโค้งตัวลงและทักทายฟางหยวน “ท่านเจ้าเมือง!”
“ลุกขึ้นเถอะ!”
ฟางหยวนยกมือขวาขึ้นและทุกคนก็ถูกบังคับให้ลุกขึ้นขัดกับความตั้งใจของตน กระทั่งหนิวติ้งเทียนก็ด้วยและเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย
‘พลังร้ายกาจอะไรเช่นนี้!’
ด้วยความสามารถนี้ แม้ว่าเขาจะกระจายพลังไปรองรับคนของเขาทั้งหมด แต่มันก็เป็นเพียงคำสั่งเล็ก ๆ ก่อนจะเก็บพลังกลับไปอย่างไม่ต้องพยายามมาก
แน่นอนว่า ฟางหยวนย่อมไม่ทำให้ตัวเองลำบากและเพียงแค่ต้องการแสดงความสามารถของเขาออกมาเท่านั้น
“ก่อนหน้านี้ข้าเก็บตัวฝึกวิชา ที่นี่เกิดเรื่องใหญ่อะไรหรือไม่?”
เขาข้ามคำพูดเกริ่นนำทั้งหมดและพุ่งเข้าเรื่องทันที
“หลังจากจัดแจงใหม่แล้ว ตอนนี้พวกเรามีทหารทั้งหมดสามหมื่น แต่ไม่มีศัตรู เรียกได้ว่าค่อนข้างสงบสุขขอรับ!”
หนิวติ้งเทียนรายงานเป็นคนแรก
“ส่วนทางด้านพลเมือง ราคาสินค้าในท้องตลาดเริ่มเสถียร ความทุกข์ยากจากสงครามครั้งก่อนค่อย ๆ ดีขึ้น แม้ว่าพลเมืองจะยังพูดถึงว่าเคยมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ก้าวต่อไปของข้าคือรวบรวมผู้ลี้ภัยขยับขยายไปที่พื้นที่รกร้าง!”
โจวเหวินอู่รายงานอย่างใจเย็นพร้อมวิธีการที่ชัดเจนและมีเหตุผล
แต่ว่าอวี้ซินโหลวกลับลังเลเล็กน้อย “มีเรื่องหนึ่งขอรับ องค์หญิงเซี่ยหลิงอวิ๋นจากประเทศเซี่ยส่งสาส์นมาขอพบท่าน! แต่ว่าท่านไม่อยู่ที่นี่ ข้าจึงจัดให้นางพักอยู่ที่เรือนรับรอง”
“เซี่ยหลิงอวิ๋น?!”
ฟางหยวนขมวดคิ้ว
เขารู้สึกว่านางมาที่นี่ต้องมีเหตุผลบางอย่าง
“นางมาทำไม?”
“นางเขียนจุดประสงค์ของการมาเยือนเอาไว้ในสาส์นที่ส่งมา เกี่ยวกับการประชุมหยวนอู่!”
โจวเหวินอู่ตอบ
“การประชุมหยวนอู่?”
ฟางหยวนงันไปเล็กน้อย เขารู้สึกถึงความคุ้นเคยของคำคำนี้และนึกถึงที่ได้อ่านในหนังสือมาก่อนหน้านี้
ด้วยการอธิยายของคำนี้จากคนของเขา จากนั้นเขาก็เข้าใจมันได้แล้ว
การประชุมนี้ก็คล้ายกับการประชุมระหว่างประเทศ
พูดตามเหตุผลแล้ว การแยกตัวออกจากประเทศเก่าและตั้งตนเป็นประเทศใหม่นั้นย่อมต้องได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากประเทศอื่น ๆ ทุกประเทศ โดยยกขึ้นเป็นหัวข้อการประชุมและผ่านการยอมรับในระหว่างการประชุม
ก่อนหน้านี้ ประเทศหยวนนั้นมีอิทธิพลสูงสุด แต่ในประเทศทั้งหมดนั้น ประเทศอู่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้น การประชุมนี้จึงเกิดขึ้นโดยมีสองประเทศนี้รับบทเป็นเจ้าภาพสลับกันไป และจากนั้นมาก็กลายเป็นประเพณี ทำให้เรียกการประชุมนี้ว่าการประชุมหยวนอู่
“การประชุมนี้ อันที่จริงแล้ว ก็คือพื้นที่ให้ทุก ๆ ประเทศแสดงอำนาจทางทหาร!”
โจวเหวินอู่ดูกังวลเล็กน้อยเพื่อพูดถึงเรื่องนี้ “ถ้าพวกเราไม่มีคุณสมบัติให้เข้าประชุม พวกเราก็จะเลี่ยงการเกิดสงคารไม่ได้ และเรื่องเช่นนี้ก็เกิดขึ้นหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา!”
‘ไม่ใช่ว่าเป็นพื้นที่ให้ชนเผ่าเร่ร่อนและประเทศเกษตรกรรมแสดงความแข็งแกร่งออกมาหรอกหรือ?’
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกายและสรุปออกมาเช่นนี้