อ่า……พอได้นึกถึงแล้ว มันจะไม่เจ็บได้ยังไง?
สมมติไม่เจ็บ แล้วทำไมต้องเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปพัวพัน?
สมมติไม่เจ็บ คนโง่ที่ไหนจะเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเดิมพันในการแข่งขันนี้?
ซึ่งรางวัลมันก็แค่ เขาหันกลับมามองตัวเองนี่นะ?
ใช้เวลาสามปี ในการบังคับตัวเองให้รู้จักเย็นชาและไร้หัวใจ บังคับตัวเองให้ยอมรับความจริง แต่พอนึกถึงมันขึ้นมาได้……มันช่างโหดร้าย แม้แต่โอกาสที่จะให้ตัวเองได้หดหัวอยู่ในกระดอง ก็ยังต้องพับเก็บเหรอ?
พยายามพูดโน้มน้าวตัวเองแทบตายว่าแค่ไม่สนใจและไม่รัก นับแต่นี้ไปก็จะสามารถหนีไปจากวังวนแปลกๆนี้ได้แล้ว สุดท้ายทั้งๆที่คิดว่าไม่ได้รักและสนใจแล้ว แต่ทว่ากลับไม่สามารถหนีออกไปจากวังวนนี้ได้
ที่แท้ ก็ยังรู้สึก
ที่แท้ ที่ตรงนั้น ก็ยังคงเจ็บปวด
ที่แท้ ความรู้สึกที่รักคนคนหนึ่งจนตามืดตามัว มันยังฝังลึกอยู่ในใจมาตลอด
เธอเงยหน้ามองเพดาน เวลานี้ ณ ตอนนี้ เธอหวังเป็นอย่างมากว่าเธอจะเหมือนตัวละครในนิยายที่ถูกรถชนและความจำเสื่อม จนสามารถลืมเลือนมันไปได้
ถ้าเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ มันคงจะดีมากๆ
ท่ามกลางสายตาของคนในห้อง หญิงสาวเริ่มไม่เหมือนเดิม อารมณ์ของเธอดูหนักหน่วงเป็นอย่างมาก
ช่างแต่งตัวกำลังจะเอ่ยปากพูดถากถาง “ช่าง……” หญิงสาวค่อยๆหยิบชุดขึ้นมา พร้อมส่งเสียงเกรี้ยวกราดอย่างนิ่งๆ
“ออกไป”
ช่างแต่งตัวรู้สึกเสียหน้าแปลกๆ “คุณเจี่ยน คุณคิดว่าคุณเป็นนายหญิงของบ้านหลังนี้เหรอ? มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับฉัน?”
“ออกไป”
ทุกคนคิดว่าหญิงสาวจะอับอายจนหน้าซีดเซียว เมื่อถูกช่างแต่งตัวพูดจาถากถาง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า หญิงสาวจะหยิบกรรไกรบนโต๊ะขึ้นมาแล้วก็ “ฉับ!”
“คุณทำอะไร!” ช่างแต่งตัวตะคอกอย่างร้อนใจ
ไม่มีใครสังเกตเลยว่า มือของหญิงสาวกำลังสั่น ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีใครสังเกตเห็น ว่าหญิงสาวกำลังพยายามเอาชนะร่างกายสั่นระริกที่กำลังหลุดการควบคุม
แววตาเหยียดหยันของเจี่ยนถงกวาดมองสองมือที่กำลังถือกรรไกรกับชุดกระโปรง ทำไมเธอจะไม่รู้…..ว่ากำลังมีแววตาแบบไหน ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง ไม่ว่าเธอจะเจ็บปวดและเสียใจเท่าไหร่ ร่างกายนี้ก็ทำได้แค่เรียนรู้จาก “ความหวาดกลัว”ที่ไม่อาจลืมเลือนได้ในสามปีนั้น
ไม่ว่าแผ่นหลังของเจี่ยนถงจะเหยียดตรงอย่างสง่าผ่าเผยแค่ไหน แต่สามปีนั้นร่างกายนี้กลับถูกตีตราด้วย “ความต่ำต้อย” เมื่อพบเจอเรื่องราวน่ากลัว ก็จะบังเกิดความหวาดกลัวตามเงื่อนไข ตามมาด้วยอาการสั่นกลัว
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างแข็งกร้าว “ออกไป ถ้าพวกเธอยังอยากทำงานนี้อยู่”
“คุณ………”
“อีกอย่างฝากบอกพ่อบ้านเซี่ยด้วย หยุดเล่นละครหลอกเด็กได้แล้ว”
“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร!” สีหน้าของช่างแต่งตัวซีดขาว ลนลานหาข้อแก้ตัว
“เซิ่นซิวจิ่น ไม่ได้ชอบผู้หญิงใส่ชุดสีขาว เขาชอบผู้หญิงใส่ชุดสีชมพูต่างหาก” เสียงแข็งกระด้างของเจี่ยนถงเอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่ง
“ห๊ะ?” คำพูดของเจี่ยนถงฟังดูแปลกๆ ตอนแรกช่างแต่งตัวไม่เข้าใจ แต่พอผ่านไปแค่ชั่วครู่ ก็เข้าใจในทันที
บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่ได้รังแกง่ายเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ผู้หญิงคนนี้อาจจะกุมจุดอ่อนอยู่ในมือก็เป็นได้ ใบหน้าหมดจรดของช่างแต่งตัวเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมามาก
“ไปกันเถอะ” ผ่านไปสักพัก ช่างแต่งตัวก็เอ่ยพูดเสียงหนัก
เจี่ยนถงหันหลัง เลือกใส่ชุดเดรสสีดำจากตู้เสื้อผ้า แล้วนำเสื้อตัวนอกมาคลุมเอาไว้ สวมใส่รองเท้าส้นสูง หันกายเดินออกไปจากห้องนอน
ตึก ตึก ตึก……
ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ก้าวสาม……..
ก้าวหนึ่ง….ทำไมต้องรู้ตัว? ทำไมไม่ปล่อยให้เธอสับสน ปล่อยให้คิดว่าไม่ได้รักไม่ได้สนใจแล้วล่ะ?
ก้าวสอง…..ตกลงรักหรือเกลียดกันแน่? หรือทั้งรักทั้งเกลียด?
ก้าวสาม…..หลังจากนี้ จะหนีหรืออยู่? ต้องเลือกแบบไหน? อยากให้เธอเลือกแบบไหน! หรือว่าต้องเลือกสนใจ แต่สำหรับเธอแล้ว เบื้องลึกในใจ กลับยอมรับตัวเลือกนี้ได้ยากเหลือเกิน
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่เพราะว่ารักจนเจ็บปวดต่างหาก เพราะฉะนั้นจึงเลือกที่จะกล่อมตัวเองทุกวันว่า ไม่ได้สนใจอีกแล้ว
ทำไม ทำไมวันนี้ต้องมาเจอช่างแต่งตัวเฮงซวยคนนี้ด้วย!
ทำไม ทำไมช่างแต่งตัวถึงได้ปากมากพูดเรื่องพวกนี้กับเธอ!
ทำไม ความรู้สึกเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถึงได้ลืมยากแบบนี้!
เสิ่นซิวจิ่น ฉันควรเผชิญหน้ากับคุณยังไงดี
ถ้าต้องสนใจ เธอก็ไม่สามารถทำใจยอมรับ “ความสนใจ” นี้ได้อีก
ถ้าต้องเกลียด
เกลียดคนอย่างเขา เธอก็ยิ่งเกลียดตัวเองมากกว่า!
การดึงดันที่จะรักคนคนหนึ่งอย่างด้อยค่า สำหรับเธอแล้ว มันมีแต่ความรู้สึกต่ำต้อย สิ่งที่น่ากลัวก็คือ เธอไม่อาจปฏิเสธความต่ำต้อยนี้ได้! คนอย่างเจี่ยนถงไปตายน่าจะดีซะกว่า เธอหลับตาลง เมื่อในที่สุดก็มาถึงบันได