ในค่ำคืนอันเงียบสงัด Memory Houseได้หลับไหลสู่ความฝันเช่นกัน
เวลากลางคืนในเอ๋อร์ไห่เงียบสงบมาก
ตอนกลางวันร้อนตับจะแตก แต่ตอนกลางคืนกลับมีลมพัดมา
มีร่างเงาดำร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้นแล้วหายไปตรงทางเดินไปยังประตูของMemory House ที่นั่นมีประตูไม้ที่ไม่ได้เปิดมาเป็นเวลานาน แม้แต่ผู้ช่วยงานที่เข้ามาทำงานในMemory Houseมาเป็นเวลานานก็ยังไม่เคยเห็นประตูนี้เปิดออก
มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้น จากนั้นกุญแจดอกหนึ่งก็ถูกเสียบเข้าไปในรูแล้วส่งเสียงดัง “คลิก” ประตูไม้ถูกเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
เธอเป็นเถ้าแก่เนี้ยของMemory Houseแห่งนี้นั่นเอง
เถ้าแก่เนี้ยที่ในสายตาของทุกคนมองว่าเธอเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ที่อารมณ์ดี อ่อนโยน และเงียบสงบมาก
แต่ในตอนนี้ ทุกคนที่รู้จักเธอจะต้องรู้สึกเหลือเชื่ออย่างแน่นอน เพราะ ณ เวลานี้ เถ้าแก่เนี้ยที่อ่อนโยนในสายตาของใครๆนั้นช่างเฉยเมย มีความเศร้าโศกซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาของเธอ
ใบหน้าอันเฉยเมยนั้นมีนัยน์ตาเศร้า พร้อมฝีเท้าอันหนักอึ้ง…… “ฉัน ฉันมาหาคุณแล้ว” เสียงทุ้มดังขึ้นช้าๆ
แต่ในห้องนั้นไม่มีใครนอกจากเธอ
เธอยกเท้า ก้าวเดินเข้าไปข้างใน ในMemory Houseนี้สถานที่ที่เธอคุ้นเคยที่สุดเกรงว่าจะไม่ใช่ห้องเธอ แต่เป็นที่ห้องนี้
แม้ไม่ต้องเปิดไฟ เธอก็คลำทางไปข้างหน้าในความมืดได้ เธอดูไม่กังวลใดๆ ทุกอย่างที่นี่เธอคุ้นเคยกับมันมากกว่าใครๆ
เมื่อเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ มือเธอก็แตะไปที่ขอบโต๊ะ และคลำโต๊ะนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสัมผัสบางอย่างเข้า “แช๊ก!” จากนั้นไฟก็สว่างขึ้นในทันที มือของเธอถือท่อนไม้ที่ติดไฟนั้นด้วยอาการสั่นเล็กน้อย และเดินมาถึงโต๊ะพร้อมกับธูปสองอันแล้วจุดมันขึ้น
“ฉันยังจำมันได้ดี วันนั้นที่ไฟลุกโชนขึ้นสู่ท้องฟ้า ผู้คนมากมายมองอยู่ด้านนอก บางทีอาจเพราะไฟแรงเกินไป หรือบางทีฉันไม่เป็นที่ชื่นชอบของใครๆ ผู้คนมากมายมีเพียงคุณเท่านั้นที่วิ่งเข้ามา……คุณมันโง่จริงๆ……”
เธอจุดเทียนแล้วดับไม้ขีดไฟ จากนั้นหยิบเครื่องหอมจากโต๊ะแท่นบูชาอีกครั้ง เอนกายไปจุดไฟแล้วค่อยๆ สอดเข้าไปในกระถางธูป ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เธอเงยหน้าขึ้นมองดูภาพถ่ายตรงหน้า
“เทศกาลผีในปีนี้มาถึงแล้ว เมื่อประตูเมืองเฟิงตูเปิดขึ้น อาลู่ คุณมาหาฉันได้ไหม?”(ประตูเมืองเฟิงตูหรือประตูนรกเป็นสถานที่ที่กล่าวว่าผู้ล่วงลับสามารถผ่านมายังโลกได้)
ภาพถ่ายหน้างานศพของอาลู่นั้นยิ้มอย่างสดใส หญิงสาวนั่งเงียบๆอยู่หน้าโต๊ะมองดูรูปถ่ายตรงหน้า แน่นอนว่าเธอไม่มีรูปอาลู่หรือกระดูกของอาลู่แต่อย่างใด ส่วนภาพนั้นมาจากความทรงจำของเธอที่มีอยู่ ซึ่งเธอได้ให้จิตรกรเร่ร่อนที่เดินทางมาเอ๋อร์ไห่วาดให้
รอยยิ้มนั้น……เจิดจ้าอย่างเห็นได้ชัด
หญิงสาวบีบฝ่ามือของเธออย่างรุนแรง……เธอเจ็บใจจริงๆ
“เพียงข้ามผ่านหยินและหยางมา……อาลู่ มาหาฉันหน่อยได้ไหม?” จมูกของหญิงสาวเริ่มติดขัด “อาลู่ ฉันมักจะฝันถึงคุณก่อนที่จะมาที่เอ๋อร์ไห่ แต่ทำไมเมื่อฉันมายังเอ๋อร์ไห่ที่คุณใฝ่ฝันแล้ว คุณก็ไม่มาหาฉันอีกเลย?”
หญิงสาวพูด ดวงตาของเธอค่อยๆเปียกชื้นขึ้น “อาลู่ ถ้าคุณไม่มาปรากฏตัวในความฝันของฉันอีกแบบนี้ ฉันก็แทบจะลืมรูปลักษณ์ของคุณแล้วนะ”
แม้เธอจะบอกว่าตนไม่เหงา แต่ที่จริงแล้วเธอเหงามาก
เธอคิดถึงอาลู่ แต่อาลู่ไม่เคยมาปรากฏในความฝันของเธออีกเลย
จาวจาวนั้นเป็นคนดีมาก แต่ก็ไม่อาจเดินเข้าไปอยู่ในใจเธอได้
เธอสัญญาว่าจะใช้ชีวิตทุกวันให้ดี เหมือนกับตอนที่เธอและอาลู่อยู่ในกรงเหล็กนั้น อาลู่บอกว่าอยากจะมองดูท้องฟ้า ทะเลก้อนเมฆในทุกๆวันอย่างสบายอารมณ์และเงียบสงบ
เธอใช้ชีวิตอย่างที่อาลู่ต้องการอย่างจริงจัง ใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน……แต่ละวันเธอนอนบนโซฟา ดื่มชาและดูทิวทัศน์งดงาม……แต่เธอกลับหนักอึ้งจนหายใจไม่ออก
เธอนั่งยองๆ ฉีกกระดาษเงินที่เตรียมไว้ทีละชิ้นๆ แล้วโยนมันลงในเตาอั้งโล่ พลางสนทนากับอาลู่ราวกับว่าอาลู่ไม่เคยตาย และอาลู่ยังอยู่เคียงข้างเธอ
“คุณไม่มีครอบครัว ฉันคือครอบครัวของคุณ อยู่ที่นั่น…… อย่าโชคร้ายไปเจอเพื่อนอย่างฉันทำร้ายคุณอีกนะคะ”
เธอสนทนาไม่หยุดจนกระทั่งกระดาษเงินหมด หญิงสาวจึงค่อยๆยืนขึ้น เนื่องจากเธอนั่งยองๆเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อเธอยืนขึ้นขาของเธอจึงชา และเซไปข้างหลัง
ยังไม่ทันจะอุทานออกมา เธอก็รู้ดีว่าต้องล้มอย่างไม่เบาแน่นอน
ร่างกายที่กำลังจะล้มลงสู่พื้น จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งเข้ามาพยุงเธอเอาไว้อย่างแรงที่เอว
“ระวัง!”
หญิงสาวมองไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นคนอื่นเข้ามา “คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เธอใช้หางตามองไปที่ประตู เธอจำได้ชัดเจนว่าเธอปิดประตูแล้วหลังจากเข้ามา
ดวงตาคู่นั้นจ้องมองคนที่อยู่ข้างหลังอย่างระแวดระวัง เขา…… เขาเห็นและได้ยินอะไรมากแค่ไหน?
ผู้ที่เดินมานั้นทำท่าทางดูไร้เดียงสา “พอดีผมนอนไม่หลับก็เลยลงมาเดินเล่น บังเอิญเดินผ่านมาเห็นมีไฟเปิดอยู่ในนี้ ผมก็เลยยืนที่ประตูและมองเข้ามาข้างใน โชคดีนะที่เผมเห็นพอดีว่าคุณกำลังจะล้มลง ไม่อย่างนั้น……”
เขาเหลือบมองเตาอั้งโล่ที่มีประกายไฟบนพื้นอีกครั้ง “ดึกดื่นป่านนี้คุณยังมานั่ง……เผากระดาษอยู่อีกเหรอ?”
หญิงสาวเม้มปากไม่พูดอะไรออกมา
“ญาติ?” เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย…อะลู่คือใคร?
เขามองไปที่โต๊ะตามสัญชาตญาณ เนื่องจากตอนที่อยู่ตรงประตู เขามองรูปนี้ได้ไม่ชัด
หญิงสาวจงใจเข้าบดบังสายตาของเขา แต่ถึงจะอย่างนั้น……เธอก็เตี้ยกว่าเขามาก
แม้ว่าเธอจะบังเอาไว้เกือบทั้งหมด แต่เขาก็ยังมองเห็นมันได้
ผู้หญิง?
“ผมได้ยินคุณเรียกว่าอะลู่……ญาติคุณเหรอครับ?”
เขาถามอย่างสงสัย
สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที “คุณลู่ชอบสอบถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากเหรอคะ?”
อาลู่เป็นคนที่เชื่อมโยงปัจจุบันกับอดีตของเธอเข้าด้วยกัน แม้ว่าเธออยากจะลืมอดีตและความรักนั้นไป แต่มันก็เคยมีอยู่จริง
ลู่หมิงชูเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วและยกขึ้น “เอาละครับ ผมไม่ดีเอง เถ้าแก่เนี้ยมีอะไรให้กินไหม?”
……
ในยามดึกของเมืองS ณ คฤหาสน์ตระกูลเจี่ยน มีพายุลูกหนึ่งกำลังก่อตัวขึ้น
เจี่ยนโม่ป๋าย ถือรายงานการตรวจสอบ 3 ฉบับด้วยมืออันสั่นเทา เขาอ่านดูรายงานทั้งสามฉบับนี้มาเกือบทั้งวันแล้ว แต่เหงื่อก็ยังคงหยดลงบนหน้าผากของเขาไม่หยุด เขาไม่อยากจะเชื่อเลยอีกทั้งยังตกใจกลัวด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นดัง “ควับ!” แล้วเดินไปที่ห้องนอนของเจี่ยนเจิ้นตงและคุณนายเจี่ยนอย่างรวดเร็ว ด้วยเสียงเท้าอันเร่งรีบของเจี่ยนโม่ป๋ายที่ตรงทางเดิน
ตึงๆๆๆ!
เสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบสร้างความรำคาญให้กับเจี่ยนเจิ้นตงที่กำลังจะผล็อยหลับในห้องนอน ใบหน้าของเขารำคาญเล็กน้อย “ใคร?”
“พ่อเอง เปิดประตูหน่อย พ่อเอง”
เมื่อเจี่ยนเจิ้นตงได้ยินว่าเป็นเจี่ยนโม่ป๋าย ใบหน้าของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย คุณนายเจี่ยนซึ่งนอนตะแคงอยู่ข้างๆก็ตื่นขึ้นเช่นกัน “โม่ป๋าย พ่อหลับไปแล้ว มีเรื่องอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้”
แต่คนที่นอกประตูไม่ได้จากไปทันที
“พ่อครับ เปิดประตูก่อนได้ไหม ผมมีเรื่องสำคัญมาก”
เจี่ยนเจิ้นตงผลักคุณนายเจี่ยนเบาๆ “ไปเปิดประตู”
คุณนายเจี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องลุกขึ้นมาสวมชุดคลุมจากนั้นเดินไปที่ประตู เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
“โม่ป๋าย ดึกแล้วนะ……” เธอพูดพร้อมกับเปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก ลูกชายของเธอที่ยืนอยู่ตรงประตูก็พุ่งเข้ามาราวกับพายุฝน เสื้อคลุมที่คุณนายเจี่ยนสวมอยู่ก็ถูกกระแทกหล่นลงพื้น “เอ๊ะ! เจ้าลูกคนนี้นี่!……”
“พ่อครับ พ่อรู้ว่าน้องสาวผมอยู่ที่ไหนใช่ไหม?!” ทันทีที่เจี่ยนโม่ป๋ายเข้ามา เขาก็ถามเจี่ยนเจิ้นตงอย่างไม่รีรอ
จู่ๆ บรรยากาศในห้องก็เย็นลง
เจี่ยนเจิ้นตงก้มหน้า “ลูกมีน้องสาวที่ไหนกัน”
“เสี่ยวถงไงครับ เจี่ยนถง!”
“บ้านเราไม่มีคนชื่อเจี่ยนถง อย่าพูดถึงผู้หญิงดื้อรั้นคนนี้อีก เอาละนี่ก็ดึกแล้ว กลับไปนอนได้แล้ว”
“พ่อครับ! ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว! การจับคู่เซลล์ของพ่อกับแม่ไม่ประสบผลสำเร็จ!” รายงานทั้งสามฉบับนั้น ฉบับหนึ่งเป็นรายงานการวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของเขา และอีกสองฉบับคือหลังจากที่เขารู้เรื่องมะเร็งเม็ดเลือดขาวของเขา ก็ได้ใช้ผลการตรวจสุขภาพของพ่อและแม่เมื่อครึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมักจะตรวจทุกๆครึ่งปี เขาเอาผลนั้นไปวานให้หมอที่คุ้นเคยกันนำไปตรวจดูว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่