เจี่ยนโม่ป๋ายมองเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดจนกัดฟันกร่อน “เธอวางใจเถอะ!พี่จะทำให้ได้แน่นอน!”เขาพูด “พี่จะใช้ชีวิตต่อดีๆแน่นอน”หัวเราะอย่างเย็นชา “เธออย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน!”
เจี่ยนถงมองร่างเงาที่เดินจากไปอย่างเด็ดขาดนั้น จนกว่ามองไม่เห็นร่างเงานั้นอีกต่อไป ฝืนทนทุกอย่างไว้ แล้วกวาดสายตามองรอบๆแวบหนึ่ง “ไม่มีอะไรแล้ว ไปทำงานของแต่ละคนกันเถอะ”
พริบตาเดียวลูกน้องในออฟฟิศก็หนีกระเจิงเหมือนนกที่แตกตื่น
พอหันหลังถึงเห็นเลขาที่โดนน้ำร้อนลวกมือ กำลังนั่งเก็บเศษแก้วอยู่บนพื้น
“ไม่ต้องเก็บแล้ว ฉันให้เธอหยุดงานครึ่งวันไปทำแผลที่โรงพยาบาล เรียกพนักงานทำความสะอาดมา……” ระหว่างที่เจี่ยนถงพูดได้คิดไปด้วยครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ ไม่ต้องเรียกพนักงานทำความสะอาดมาแล้ว เธอไปโรงพยาบาลเลย”
เลขามองเจี่ยนถงอย่างซาบซึ้งในพระคุณ และกล่าวคำว่าขอบคุณรัวๆ “ขอบคุณประธานเจี่ยนค่ะ ขอบคุณค่ะๆ”
ความซื่อสัตย์ของเลขาคนนี้ ทำให้ใบหน้าที่แข็งกระด้างของเจี่ยนถงอดอ่อนโยนลงไม่ได้ “ไปเถอะ เดินทางระมัดระวังความปลอดภัยด้วย ไม่ต้องรีบร้อน ถ้าฝ่ายบุคคลถามขึ้นมา เธอก็บอกว่าฉันเป็นคนให้เธอหยุดงานเอง”
เลขาคนนั้นหันหลังเดินไป “ประธานเจี่ยนดีจังเลยค่ะ ไม่เหมือนที่คนอื่นพูดเลย”
เลขาพูดจบก็ได้เอามือกุมปากไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ……พูดแบบนี้ คงไม่ทำให้ประธานรู้สึกว่าเธอเป็นคนพูดจาลับหลังคนอื่นมั้ง เธอได้มองสำรวจเจี่ยนถงที่อยู่ด้านหน้าอีก กลับพบว่าเหมือนประธานเจี่ยนไม่ได้ยินคำพูดที่เธอพูดเลย ได้โบกมือให้เธอพร้อมยิ้มอ่อนๆ “รีบไปเถอะ”
“อืม!”ในใจเธอผ่อนคลาย ใบหน้าอ่อนเยาว์ได้เผยรอยยิ้มที่ชิวๆออกมา “ขอบคุณประธานเจี่ยนค่ะ” แม้แต่พูดจาก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงแจ่มใสขึ้นมา
สายตาของเจี่ยนถงได้กวาดผ่านใบหน้าเยาว์วัยไร้เทียมทานนั้น ได้มีความใจกว้างของผู้อาวุโสมากขึ้น
ขณะนี้ถึงตระหนักได้ว่า ที่แท้ตัวเองอยู่ในเรื่องที่พัวพันกันไม่เลิกของหลายปีนั้น ได้แก่ลงเรื่อยๆแล้ว
รอบๆเงียบสงบลง ริมทางเดินก็ว่างเปล่า มองไปไม่เห็นร่างเงาของใครสักคนอีก ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่คุ้นเคยได้คืบคลานเข้ามาหาอีกครั้ง แต่เธอยังจะผ่อนคลายลงมาไม่ได้–เธอ ยังมีแขกอยู่
“คุณคาย์อัน วันนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ที่ให้คุณมาเห็นภาพแบบนี้” เธอพูดอย่างละอายใจ เกรงใจแต่ก็ห่างเหิน
คาย์อัน เฟโรกิได้ยินแล้ว แสงในแววตาได้มืดมนลง……ยังใกล้ชิดเธอไม่ได้อีกเช่นเคยเเหรอ?
เขามองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ท่าทีที่เกรงอกเกรงใจแต่ห่างเหิน รอยยิ้มที่
พอเหมาะพอดี ดูแล้วอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วกลับมีความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อย……เขา ชักจะคิดถึงเธอในสามปีก่อนแล้ว
“สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของการร่วมงาน ความคิดเห็นของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป เมื่อครู่ฉันก็ได้บอกคุณไปแล้ว คุณคาย์อันลองพิจารณาดูได้ค่ะ การร่วมงานหลังจากเพิ่มรายละเอียดแล้ว จะทำให้เราทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์มากขึ้นเป็นสองเท่าเลยค่ะ”
แววตาของคาย์อันยิ่งอยู่ยิ่งผิดหวัง……เขาไม่อยากฟังงานที่เบื่อเน่านี้ พูดคุย……เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน และต่างคนต่างพูดคุยถึงเรื่องตัวเองบ้างไม่ได้หรือไง?
“ผู้ชายคนเมื่อกี๊ เป็นลูกชายคนโตของตระกูลเจี่ยนใช่มั้ยครับ” คนคนนั้นย่อมเป็นลูกชายคนโตของตระกูลเจี่ยนอยู่แล้ว เมื่อกี๊อีกฝ่ายก็ได้พูดถึงฐานะของเขาแล้ว ที่คาย์อันอยากพูดคือ “เจี่ยนโม่ป๋าย ผมเคยได้ยินอยู่ เห็นก่อนหน้านี้เขาป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวใช่มั้ยครับ?”
ถึงแม้คือกำลังถามเจี่ยนถง แต่กลับเป็นน้ำเสียงที่บอกเล่า
คนที่อยู่ในวงในของเมืองSมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าช่วงนี้ตระกูลเจี่ยนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง?
รวมถึงเจี่ยนโม่ป๋ายป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
และรวมไปถึงเจี่ยนซื่อกรุ๊ปเปลี่ยนเจ้าของ
เจี่ยนถงไม่ได้พูดต่อจากเขา เธอหลุบตาลงและเงียบกริบ คอยฟังด้วยท่าทีที่อ่อนโยน
คาย์อัน เฟโรกิย่อมสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเธออยู่แล้ว มุมปากมีรอยยิ้มที่ขมขื่น……เธอฉลาดมากจริงๆ
ไม่ตอบคำถามเขา ก็แสดงว่าปฏิเสธที่จะคุยประเด็นนี้ต่อ
“เสี่ยวถง” จู่ๆเขาได้ยื่นมือมากุมฝ่ามือของเจี่ยนถงไว้ “เสี่ยวถง ไม่ว่าเขาพูดอะไร ผมก็เชื่อใจคุณ” คาย์อันแสดงออกอย่างเคร่งขรึมและมีความรู้สึกนับถือสุดๆ
เจี่ยนถงไม่ได้ขัดขืนออกจากฝ่ามือของอีกฝ่ายในทันที สายตามองลงไปด้านล่าง เคลื่อนย้ายลงไปทีละคืบ และได้หยุดอยู่บนฝ่ามือที่เธอถูกกุมเอาไว้ เงียบสงัด เงียบจนแม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังสามารถได้ยิน
ทันใดนั้น เธอเผยรอยยิ้มอ่อนๆออกมาอย่างไร้เสียง แววตาที่ใสสะอาด ดูไม่ออกเลยว่ามีอารมณ์อ่อนไหว ไร้สุขไร้ความชื่นมื่น มีแค่ดวงตาที่ใสสะอาด “ขอบคุณมากค่ะ”
คำพูดที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ว่องไวเฉียบขาด
แม้กระทั่งไม่มีคำพูดที่เกินเลยสักคำ
แต่กลับทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของคาย์อันได้ค่อยๆตึงเครียดขึ้น มือข้างที่กุมฝ่ามือเธอไว้ได้กุมแน่นยิ่งขึ้น เหมือนของที่อยู่ในฝ่ามือเขากำลังจะบินจากไป ความลนลานใจที่อธิบายไม่ได้ เขาแค่อยากออกแรงกุมสิ่งที่อยู่ในฝ่ามือไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น
เจี่ยนถงขมวดคิ้วเล็กน้อย……เจ็บ เขาใช้แรงมากเกินไป
ฝ่ามือถูกกุมจนเจ็บ เธอกลับไม่มีท่าทีแข็งกร้าวที่จะไปปัดออก
ยิ่งไม่ได้ร้องคำว่า”เจ็บ”ออกมาสักคำ
ไม่มีความจำเป็น ไม่ใช่เเหรอ?
ในใจมีความเยาะเย้ยตัวเองเสี้ยวหนึ่ง
แววตามีความสงสารเพิ่มมากขึ้น ไม่รู้ว่ามองไปยังคาย์อัน เฟโรกิที่อยู่ตรงข้าม หรือว่าสงสารตัวเธอเอง
คาย์อัน เฟโรกิตัวสูงมาก โครงกระดูกของชาวต่างชาติค่อนข้างใหญ่กว่า คาย์อัน เฟโรกิที่สูงใหญ่ ทำให้เธอมีความรู้สึกว่าตัวเองเล็กมาก มีภาพลวงตาที่ต้องการๆปกป้อง……แต่ นั่นเป็นแค่ภาพลวงตาเฉยๆ
เธอแหงนหน้าขึ้น พร้อมเผยรอยยิ้มที่ชิวๆออกมา “คุณคาย์อัน ขอบคุณความเชื่อใจของคุณค่ะ” เสียงของเธอ ผ่อนคลายแต่ไม่มีอารมณ์ที่มากกว่า
ฝ่ามือของคาย์อันได้กุมแน่นด้วยจิตใต้สำนึกอีกครั้ง อารมณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในใจเขายิ่งอยู่ยิ่งเยอะ เยอะจนเขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมนาทีนี้ถึงได้หงุดหงิดและกระวนกระวายใจ
เขากุมฝ่ามือของผู้หญิงให้แน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ว่ายิ่งกุมแน่นเท่าไหร่ ในใจยิ่งรู้สึกว่างเปล่า
รู้สึกเหมือนมีของบางอย่างสัมผัสไม่ได้อีกจริงๆ
ไม่……เขาปล่อยมือในทันที
สีหน้าเคร่งขรึม “แผนการดำเนินงานที่ประธานเจี่ยนเสนอมา ผมจะลองพิจารณาอย่างจริงจังครับ วันนี้ผมยังมีธุระต่อ ขอตัวก่อนนะครับ” ไม่รอให้เจี่ยนถงตอบ เขาก็ได้ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอกแล้ว
ร่างเงานั้นเดินไปอย่างรวดเร็วและเร่งรีบ เหมือนหนีเตลิดเปิดเปิงยังไงอย่างงั้น
เจี่ยนถงใช้สายตาส่งร่างเงานั้น จากนั้นได้ก้มมองฝ่ามือที่ถูกกุมจนแดงแวบหนึ่ง อุณหภูมิที่ร้อนระอุยังคงหลงเหลืออยู่ในฝ่ามืออีกเช่นเคย พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที สุดทางเดินก็ว่างเปล่าไม่มีคนแล้ว
ทันใดนั้นเธอได้ยิ้มมุมปากเบาๆ “ขอบคุณความเชื่อใจของคุณค่ะ”
เพียงแต่ ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เธอหันไปที่อีกฝั่งของริมทางเดิน เดินไปยังทิศทางที่คาย์อันจากไปอย่างเชื่องช้า
ที่นั่น เป็นห้องน้ำของชั้นนี้
เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเชื่องช้าเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องกั้นของห้องน้ำอย่างคุ้นเคย ดึงประตูออกเบาๆ แล้วหยิบไม้ถูพื้น ผ้าเช็ดทำความสะอาด ถังน้ำและไม้กวาดออกมาจากด้านใน
แต่ละคนมีด้านที่เชี่ยวชาญไม่เหมือนกัน–สามปีก่อน เธอก็คือพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่ง
หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องกั้นขึ้นมา เธอตักน้ำอย่างเชื่องช้าแล้วยกถังน้ำขึ้น บนไหล่มีผ้าเช็ดทำความสะอาดวางพาดอยู่ มืออีกข้างถือไม้กวาดและไม้ถูพื้นไว้ เดินออกมาจากห้องน้ำ อยู่ในริมทางเดินที่เงียบกริบนี้ได้ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างกะโผลกกะเผลก
เธอเดินเชื่องช้ามาก ไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย
พอเดินมาถึงหน้าออฟฟิศของเธอ เธอได้วางถังน้ำลง และนั่งลงมาเก็บกวาดเศษแก้วบนพื้น และคราบน้ำบนพื้นอย่างเอื่อยเฉื่อยและคุ้นเคยสุดๆ