แบกร่างกายที่เหนื่อยล้าไปทั้งตัวไว้ รถของเจี่ยนถงได้ขับมาถึงใต้ตึกของที่พัก แต่กลับไม่ได้ไปจอดที่โรงจอดรถชั้นใต้ดิน เธอนั่งอยู่ในรถแต่ไม่ค่อยอยากลงจากในรถเลย เลื่อนกระจกรถลงครึ่งหนึ่ง ยื่นศีรษะออกมาเล็กน้อย พร้อมเงยหน้ามองขึ้นไปบนตึก
ไฟของห้องนั้นสว่างไสว
ก่อนที่เสิ่นซิวจิ่นมาจะพัก ส่วนมากที่นี่จะมืดสนิท
ตอนนี้ดีแล้ว แสงไฟสว่างไสว แสดงให้เห็นว่าในบ้านมีคนคนหนึ่งกำลังรอเธอกลับไป
แต่ทำไม เธอถึงได้รู้สึกต่อต้านขนาดนี้
วันนี้ผ่านไปอย่างโกลาหลมาก คาย์อัน เฟโรกิ เจี่ยนโม่ป๋าย จากสนามรบหนึ่งไปยังอีกสนามรบหนึ่ง บ้าน เป็นที่ที่เป็นส่วนตัวที่สุด แต่เธอกลับไม่รีบร้อนที่จะเข้าบ้าน
ช่วงเที่ยง ซีเฉินมาเอากุญแจกับเธอ ไม่ได้พูดจาสักคำ เอากุญแจเสร็จก็จากไปเลย กลับทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญเลย ในสายตาแม้แต่คนโง่ที่มีสติปัญญาแค่แปดขวบก็ทนรับไม่ได้
เสียงโทรศัพท์ได้ดังขึ้นอย่างเร่งรีบในรถที่เงียบสงัด
เธอยื่นมือหยิบมา
“ออกมาดื่มแก้วหนึ่งสิ……เอ่อ……พี่ดื่มเหล้า เธอดื่มชา”
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ เจี่ยนถงผ่อนคลายจิตใจที่ตึงเครียดด้วยจิตใต้สำนึก ใบหน้าเรียวเล็กเผยความดีอกดีใจออกมา “โอเคค่ะ ที่เดิม?”
“อืม ที่เดิม พี่รอเธอนะ”
พอคุยสายเสร็จ เจี่ยนถงได้วางมือถือลง บิดกุญแจรถ ลังเลไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยื่นศีรษะดูหน้าต่างบานที่เปิดไฟสว่างของบนตึก
เธอเม้มปากและใจแข็งเหยียบคันเร่งลงไป……ไม่ควรใจอ่อน อย่าไปใจอ่อน เขาอยู่บ้านไม่มีทางหายไปไหนสักหน่อย
รถได้จอดลงที่ไนท์คลับแห่งหนึ่ง ภายใต้การนำทางของพนักงานได้พาเธอมาถึงห้องที่หรูหรา
“มานั่งเร็ว ชาผูเอ่อร์ที่มาใหม่”
“พี่เมิ่งมีใจแล้วค่ะ รู้ว่าฉันชอบชาตัวนี้” เจี่ยนถงทำตัวสบาย พอเดินเข้ามาในห้องก็ได้วางกระเป๋าลง ถอดเสื้อคลุมออกแล้วนั่งลงไปเลย
“คนงานยุ่ง หญิงแกร่ง ช่วงนี้เป็นไงบ้าง?”
ซูเมิ่งพูดไปด้วย และรินชาให้เจี่ยนถงไปด้วย
เจี่ยนถงหัวเราะ “พี่เมิ่ง มีอะไรก็พูดมาตรงๆดีกว่าค่ะ คนงานยุ่งหญิงแกร่งอะไร ฉันฟังแล้วอึดอัด”
“เอาล่ะๆ ไม่แซวเธอแล้ว” ซูเมิ่งพูดตรงๆ “พี่ได้ยินมาเรื่องหนึ่ง”
“พี่เล่ามาเลยค่ะ”
“ยังจำเซียวเหิงได้มั้ย?”
เจี่ยนถงหลุบตาลงสงบเยือกเย็น “คุณชายใหญ่ของบริษัทเซียวซื่อกรุ๊ปใช่มั้ยคะ?”
ซูเมิ่งเป็นคนระดับไหน แค่ฟังน้ำเสียงของเจี่ยนถงก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงเซียวเหิง
เรื่องของสมัยก่อนยังเป็นหนามที่คอยทิ่มแทงใจจริงๆด้วย
“ใช่ ก็เขานั่นแหละ ช่วงนี้เขาปรากฏตัวอยู่ที่ไนท์คลับบ่อยมาก”
ไม่รอให้ซูเมิ่งพูดจบ เจี่ยนถงก็ได้พูดเบาๆ “คุณชายเซียวเป็นเพลย์บอยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่แปลกเหรอกค่ะ”
ซูเมิ่งฟังแล้วกลอกตาไปมา แค่พริบตาเดียวก็เดาความคิดของเจี่ยนถงออกอย่างทะลุปรุโปร่ง พร้อมหัวเราะเบาๆ “เห็นได้ชัดเจนว่าเธอตกข่าว” ซูเมิ่งเขย่าเหล้าในมือเบาๆ “เชอะ”ไปคำหนึ่ง “เหอะ ประธานเจี่ยน ยังไงเธอก็เป็นถึงประธานใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รู้ข่าวไม่เท่าทัน แบบนี้ไม่ได้เชียวนะ”
เจี่ยนถงไม่ได้ตอบคำถามเธอ ได้คอยจิบชาและรอคำพูดถัดไปของซูเมิ่ง
“หลายวันก่อน พี่เจอคุณชายเซียวที่ตงหวง คุณชายเซียวเจ้าชู้เสเพลน่ะมันไม่แปลกเหรอก แต่ถ้าเขาอยู่กับลู่หมิงชู ประธานลู่ล่ะ?”
เจี่ยนถงหลุบตาลง ขนตาสั่นเล็กน้อย “พี่มองเห็นอะไร?”
“เธอก็รู้ว่าพี่เป็นคนของBoss พี่ทำงานให้กับBossมาหลายปีแล้ว เมื่อเทียบกับพวกเสิ่นเอ้อ พี่ย่อมเทียบไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาสัมผัสที่หกของผู้หญิงแม่นยำมาก”
ซูเมิ่งวางแก้วเหล้าในมือลงกะทันหัน “แกร๊ง”เบาๆเสียงหนึ่ง เสียงที่กระทบกับโต๊ะได้ทำให้ขมวดคิ้ว ซูเมิ่งเพ่งมองมาที่เจี่ยนถง “Bossเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
เจี่ยนถงไม่ทันตั้งตัว เศษชาในมือสั่นไปครู่ น้ำชาในเศษชาสั่นจนหยดอยู่บนโต๊ะหลายหยด สายตาของซูเมิ่งเคลื่อนไหวไปด้านล่าง สุดท้ายได้เผยแสงเยือกเย็นหล่นอยู่ที่บนน้ำชาที่สาดออกมาหลายหยดนั้น
“อย่าพูดจาเหลวไหล” เจี่ยนถงพูดเบาๆ
“เสี่ยวถง เธอรู้ดีอยู่ว่าพี่อยู่ในสถานบันเทิงมาตั้งนาน เมื่อก่อนเธอเองก็เคยอยู่สถานที่แบบนั้น เข้าใจเรื่องหนึ่งดีที่สุด–คนที่สามารถอยู่ในสถานที่แสงสีแบบนั้นได้ สังเกตสีหน้าและคำพูดเก่งที่สุด”
ซูเมิ่งชี้เจี่ยนถง “เธอ หลอกพี่ไม่ได้เหรอก”
เจี่ยนถงก้มหน้าไว้ มือสองข้างยังคงถือถ้วยน้ำชาไว้ สงบเยือกเย็นมาก ราวกับเวลาได้หยุดชะงักไว้
ซูเมิ่งไม่ได้ยกตนข่มท่านอีก แต่แค่จ้องเจี่ยนถงที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเปล่งประกาย
ผ่านไปตั้งนาน
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นเหรอก”
เจี่ยนถงแน่วแน่ไม่สั่นคลอน พร้อมพูดอย่างเรียบเฉย
เธอเชื่อใจซูเมิ่ง แต่กลับไม่สามารถเอาคนคนนั้นไปเสี่ยง
ก่อนหน้านี้นี่เอง ในใจเธอตระหนักได้จุดหนึ่งอย่างชัดเจน–เธอไม่ยอมเอาเขาไปเสี่ยง ไม่ยอมเลยสักนิด
เธอเชื่อใจซูเมิ่ง ถ้าเป็นเรื่องของเธอเอง เธอสามารถบอกซูเมิ่งได้อย่างหมดเปลือก
แต่เรื่องของคนคนนั้น เธอไม่อยากพูด
ถึงเธอไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่เมื่อครู่ก็ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า–เธอสามารถเกลียดคนคนนั้น สามารถเคืองคนคนนั้น แม้กระทั่งสามารถแก้แค้นคนคนนั้นได้ แต่ไม่สามารถให้คนคนนั้นเจออันตราย
ซูเมิ่งไม่ได้ซักไซ้ต่อ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เสี่ยวถง พี่แค่อยากบอกเธอว่าลู่หมิงชูไม่ใช่คนดีอะไร แต่ไหนแต่ไรเซียวเหิงไม่ชอบขี้หน้าลู่หมิงชู คนที่อยู่ในวงการทั่วทั้งเมืองSมีใครบ้างที่ไม่รู้ ตอนนั้นคุณชายเซียวกับลู่หมิงชูไม่ถูกกัน ต่างก็หมั่นไส้อีกฝ่าย อีกอย่างBoss……ก็ไม่ได้โผล่มาให้เห็นนานมากแล้วจริงๆด้วย”
หนังตาของเจี่ยนถงกระตุก แววตามีความระมัดระวังเสี้ยวหนึ่ง เธอเงยหน้ามองซูเมิ่งอย่างลุ่มลึก……แม้แต่ซูเมิ่งก็เริ่มดูออกว่าผิดปกติแล้ว แล้วท่านแก่เสิ่นล่ะ?
คุณท่านที่เก่งและชาญฉลาดคนนั้น เกรงว่าก็คงเกิดความสงสัยแล้วเช่นกัน
เธอได้มองซูเมิ่งอย่างลึกซึ้งอีกทีหนึ่ง ซูเมิ่งกลับเปลี่ยนประเด็นในเวลานี้
“Bossมีพระคุณกับพี่”
เธอหัวเราะเบาๆทีหนึ่ง กุมมือตัวเองไว้และวางอยู่บนโต๊ะ แววตามีอดีตผุดขึ้นมา ค่อนข้างเลือนลาง “พี่เป็นหนี้ชีวิตBossพี่ไม่ใช่คนเนรคุณ เจี่ยนถง ก่อนที่จะเจอเธอ พี่ไม่เคยฝ่าฝืนคำพูดและคำสั่งของBossแม้แต่คำพูดเดียว เธอเท่านั้นที่ทำให้พี่หน้าไหว้หลังหลอกกับเขา เธอรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไร?”
“พี่เคยบอกว่าฉันเหมือนพี่ในอดีต”
ริมฝีปากของซูเมิ่งเผยรอยยิ้มที่เศร้าหมองออกมา “ใช่ เธอเหมือนพี่ในอดีต แทนที่จะบอกว่าช่วยเธอ สู้บอกว่าช่วยตัวพี่เองดีกว่า พี่ช่วยเหลือเธอ ก็เหมือนได้ช่วยพี่ในอดีต ถึงแม้พี่รู้ดีว่าพี่ในสมัยนั้น ไม่ได้เพราะตอนนี้พี่ทำอะไรไป ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านั้นได้ เจี่ยนถง พี่อยากให้เธอมีความสุข เหมือนกับที่พี่อยากให้พี่ในสมัยนั้นมีความสุข”
เจี่ยนถงไม่เคยเห็นด้านเศร้าโศกแบบนี้ของซูเมิ่งเลย ระหว่างที่หายใจมีแต่ความรู้สึกที่เสียใจ
“ที่จริงBossเขาแคร์เธอมาก แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าอะไรคือความรู้สึก อะไรคือความรัก เขา……”
“พี่เมิ่ง!” เจี่ยนถงได้พูดขัดจังหวะซูเมิ่งทันที พร้อมกุมถ้วยน้ำชาในมือไว้แน่น “ที่พี่นัดฉันมาในวันนี้ ถ้าเพื่อมาพูดคุยจิบชาผ่อนคลายจิตใจ ฉันขอบคุณพี่มาก อย่างอื่น ฉันไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้ค่ะ”
เจี่ยนถงหน้าซีดเหมือนกระดาษ ในแววตาแสนเจ็บปวด “เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรทั้งชีวิตของฉัน รักเขา เป็นจุดเริ่มต้นของความผิด ฉันรักเขาแทบจะขาดใจ……ฉันถึงได้เอาครึ่งชีวิตของฉันแลกเข้าไปด้วย”
ทันใดนั้นเจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเบ้าตาแดงก่ำ “พี่เมิ่ง ครึ่งชีวิตยังไม่พออีกเเหรอ?”