มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเพราะความไม่ระมัดระวังของตัวเอง
ลังไม้หนักๆที่กำลังหล่นลงมาก่อให้เกิดเสียงดั่งสนั่นขึ้นภายในห้อง แต่ฉันกลับรับมันเอาไว้ได้ด้วยมือข้างเดียว
ทุตเต้ : [ค..คุณหนูคะ….]
ภายในหัวไม่สามารถประมวลสถานการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวฉันที่ความคิดหยุดไปและอยู่ค้างในท่ารับลังไม้แบบนั้น ได้เสียงของทุตเต้ช่วยดึงสติกลับคืนมา
แมรี่ : [อะ คือว่า นี่มัน]
ฉันกำลังถือลังไม้ด้วยความลุกลี้ลุกลนอยู่ก็ได้โยนมันไปทางอื่น ฉันรีบหันกลับไปหาทุตเต้ด้วยความร้อนรน แต่ว่า ฉันกลับพูดอะไรไม่ออก
เพราะขณะที่ฉันหันกลับไปมองเธอ เธอเดินถอยหนีฉันไปเก้านึงด้วยสีหน้าหวาดกลัว
หวาดกลัว
นี่สินะคือการที่ถูกคนอื่นปฏิเสธ
ชีวิตก่อนของฉันก็เคยได้รับอะไรแบบนี้ด้วยสินะ ทั้งความรู้สึก สงสาร เห็นใจ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ว่า ไม่มีเลยสักครั้งที่ถูกคนที่รู้จักปฏิเสธ แต่ก็นะคนพวกนั้นคงไม่อุตส่าห์ถ่อมาหาฉันถึงโรงพยาบาลตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ชีวิตในตอนนี้เองก็เหมือนกัน คนที่ฉันรู้จักและให้ความสำคัญกับฉันก็มีแค่ครอบครัวกับเหล่าคนใช้เท่านั้น
เพราะแบบนี้ ทุตเต้ที่หันมาทางฉันด้วยสีหน้าซีดเผือดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นั้นทำให้หัวใจของฉันเจ็บปวดทรมานราวกับถูกบีบ
แมรี่ : [คือว่า…นี่น่ะ]
(ต้องพูดอะไรออกไปสักอย่าง ต้องหาข้อแก้ตัวอะไรสักอย่าง แต่ว่า ขนาดตัวฉันเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะสามารถรับของหนักๆแบบนั้นได้)
ความคิดยุ่งเหยิงไปหมดไม่สามารถคิดอะไรได้เลย
และในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงของเหล่าคนใช้กำลังเข้ามาในห้องเก็บของกัน จะเข้าใจสถานการณ์กันหรือป่าว เมื่อยืนยันได้แล้วว่าฉันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แล้วก็พา
ฉันกลับห้อง ฉันถูกพวกผู้ใหญ่ล้อมรอบ และถูกพากลับห้องไปในสภาพที่ไม่ สามารถต่อต้านอะไรได้ ความคิดที่จะขัดขืนนั้นก็ทิ้งไปได้เลย
หลังจากเรืองนั้นผ่านมาหลายชั่วโมง ณ กลางดึกขณะที่ทุกคนหลับ
ฉันนั่งเหม่ออยู่บนเตียงภายในห้องคนเดียว ตั้งแต่เกิดเรืองขึ้นฉันก็ขังตัวเองภายในห้องไม่ได้ก้าวออกไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว
ตอนนี้ฉันยังไม่อยากที่จะพบใคร โดยเฉพาะทุตเต้…
บางทีเธออาจจะแสดงสีหน้าแบบนั้นอีกก็ได้ พอนึกถึงสีหน้าที่หวาดกลัวนั้นก็ทำให้ฉันเกิดปอดแหกขึ้นมา
(บางทีคงจะคิดว่าฉันเป็นสัตว์ประหลาดก็ได้ ฉันต้องถูกเธอเกลียดแล้วแน่ๆเลย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการถูกคนอื่นปฏิเสธมันจะน่ากลัวแบบนี้)
ฉันมองเพดานแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง
และ ในตอนนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทุตเต้ : [คือว่า…คุณหนูคะ…]
ฉันได้ยินเสียงของทุตเต้ดังมาจากอีกฝั่งของประตู ทำให้หัวใจของฉันเจ็บปวดราวกับถูกบีบ
แมรี่ : [ยะ..อย่าเข้ามานะ! ขอให้ฉันได้อยู่คนเดียวเถอะ!]
ฉันรีบลุกออกจากเตียง เพื่อไปล็อคประตู
ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ว่าหยุดตัวเองไม่ได้ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะว่า ที่อยู่ตรงนี้น่ะคือตัวฉันในเมื่อก่อน
ทุตเต้ : [คุณหนู…จะโกรธ…ก็ถูกแล้วค่ะ]
(เอ๊ะ? โกรธ?)
คำพูดที่ไม่คาดคิดของทุตเต้ทำให้ฉันที่อยู่ตรงหน้าประตูต้องตั้งใจฟัง
ทุตเต้ : [ในตอนที่กำลังจะเกิดอันตรายกับคุณหนู ดิฉันควรต้องเข้าปกป้องคุณหนูด้วยร่างกายของตัวเอง แต่ว่า ดิฉันกลับกลัวจนก้าวขาไม่ออก]
แมรี่ : [พูดอะไรน่ะ ถ้าตอนนั้นมารับแทนฉันล่ะก็ ทุตเต้จะเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนักซะเองไม่ใช่หรอ?]
ตัวฉันนั้นยังไม่ได้ตระหนักถึงความคิดของคนทั่วไปที่ว่า ตัวฉันที่เป็นขุนนาง กับ เธอที่เป็นสามัญชน ที่ถูกจ้างมานั้นแตกต่างกันมากขนาดไหน
ทุตเต้ : [ดิฉันน่ะ!]
ทุตเต้พูดเสียงดังขึ้นมา
ทุตเต้ : [ดิฉันน่ะ…ตั้งแต่วันที่คุณหนูเกิด…นายท่านได้บอกว่า หน้าที่ดูแลเด็กคนนี้เป็นหน้าที่ของเธอ ตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้รับรู้ความหมายในการมีชีวิตของตัวเอง 3 ปีนับตั้งแต่ตอนนั้นมา ดิฉันก็พยายามเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างเพื่อที่จะสามารถยืนอยู่ข้างคุณหนูได้]
เสียงของเธอเริ่มค่อยๆแผ่วเบาลงเรือยๆ
ทุตเต้ : [ทั้งๆที่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่ในตอนที่สำคัญดิฉันกลับกลัวจนขาสั่น น่าสมเพชตัวเองที่ในตอนนั้นไม่สามารถก้าวขาออกไปได้สักก้าว]
ความเงียบได้เข้าครอบงำพวกเราทั้งสองคน
ทุตเต้ : [คุณหนูคะ…ถึงจะรู้ว่าดิฉันอาจจะไม่ควรพูดเรืองนี้ แต่ว่า ข้อร้องล่ะค่ะ ขอโอกาศให้ดิฉันอีกสักครั้ง….ขอโอกาศให้ดิฉันได้อยู่เคียงข้างคุณหนูอีกครั้ง…ได้โปรดเถอะ…ค่ะ]
คำพูดช่วงหลังๆเริ่มอู้อี้ บางทีอาจจะร้องไห้อยู่ก็ได้
(ฉันนี่มันบ้าจริงๆ ที่ไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นนอกจากเรืองของตัวเองเลย เหมือนกับชีวิตที่แล้วเลยแค่เรืองที่ตัวเองจะมีชีวิตอยู่ยังไงก็เต็มกลืนแล้ว จนไม่ได้คิดถึงเรืองของคนอื่นเลย)
เธอเองก็คงจะกังวลเหมือนกัน
สำหรับเธอแล้วคงจะเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ จนกลัวว่าอาจจะทำให้ฉันผิดหวังและไม่ยอมให้เธอทำหน้าที่นี้แล้ว
ทุตเต้ : [โปรดให้ดิฉัน…ได้อยู่เคียงข้าง…คุณหนู ด้วยเถอะค่ะ]
อาจจะเป็นเพราะความกลัวที่สะสมมาจนถึงตอนนี้ทำให้อารมณ์และความรู้สึกของเธอมาถึงที่สุดแล้ว ทำให้ทุตเต้ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
3 ปี
ช่วงเวลา 3 ปีนั้น เธอได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายเพื่อ(ฉันคนเดียว)
(พอตอนนี้ลองกลับมาคิดดู เธอกลัวฉันงั้นหรอ? แล้วถ้างั้นทำไมเธอถึงมาที่ห้องฉันล่ะ ที่ปฏิเสธอยู่ตอนนี้มันก็ตัวฉันเองไม่ใช่หรือไง? กลัวที่จะถูกปฏิเสธจนตัวเองปฏิเสธซะเอง)
พอคิดได้แบบนั้นก็เริ่มรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป พอได้รับรู้ว่าจิตใจของตัวเองนั้นคับแคบเพียงใด น้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นมา
แมรี่ : [ขอโทษนะ ทุตเต้…ฉันขอโทษนะ…ที่ทำให้เธอกลัว…ขอโทษนะ]
พอรู้สึกตัวแล้ว ฉันจึงเปิดประตู ข้างหน้าของฉันมีสาวน้อยคนนึงกำลังยืนร้องไห้พร้อมกับขอโทษอยู่
เธอก้มหน้าลงและพยายามอดทนอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียงมองฉันด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ รู้สึกอึดอัดจัง
และในคืนนั้น ที่หน้าห้องของฉัน มีเสียงว่า (ขอโทษนะ) ซ้ำไปซ้ำมา และเสียงร้องไห้ของฉันที่ดังไปทั่วคฤหาสน์ จนพวกผู้ใหญ่ทำอะไรกันไม่ถูก
ถึงจะนอกเรืองไปหน่อย เกี่ยวกับเรืองที่ฉันยกลังไม้นั่นได้…
ทุตเต้ : [อ่อ เรืองนั้นหรอคะ นายท่านเล่าให้ฟังน่ะค่ะ ว่าตอนท่านอายุ 5 ปี ท่านก็ยกหินที่ใหญ่กว่าตัวเองได้แล้วน่ะค่ะ สมกับเป็นลูกสาวตกใจหมดเลยค่ะ แล้วเรืองนั้นทำไมหรอคะ?]
ทุตเต้ยิ้มละบอกมาแบบนั้น เยียมไปเลย มายฟาเธอร์
(อืม หรือว่านี่จะเป็นพันธุกรรมหรือป่าว? ไม่สิ จะใช่อย่างนั้นแน่เหรอ?…ก็ฉันน่ะ ไม่เคยฝึกอะไรเลยนี่นา?)
แล้วพลังของฉันมันคืออะไรกันแน่ กว่าจะรู้เรืองนั้นก็เป็นเรืองราวหลังจากนี้อีกไม่นานค่ะ