Dungeon Defence – ตอนที่ 24

แม่ค้าแห่งกึนคัสก้า, พวกเลือดผสม, ลาพิส ลาซูรี่

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 4, วันที่ 5

ณ สำนักงานบริษัทกึนคัสก้า

 

 

อันดับที่ 71st, จอมปีศาจดันทาเลี่ยน

 

สายสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับจอมปีศาจอันซื่อบื้อผู้นี้ค่อนข้างลึกซึ้งเลยทีเดียว

 

 

เมื่อ 1 ปีก่อน โดยการติดสินบนบรรดาคนในบริษัท เราจึงได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของดันทาเลี่ยนมาครอง

 

เดิมที บริษัทกึนคัสก้าไม่ได้ปฏิบัติต่อจอมปีศาจที่อันดับต่ำกว่า 60 ในฐานะลูกค้าหรอกนะ เพราะมันจะเป็นการลดระดับภาพลักษณ์ของบริษัทลง นั่นคือเหตุผลของพวกเขา

 

แต่ทว่า สำหรับเราแล้วจอมปีศาจเช่นดันทาเลี่ยนนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้พวกจัณฑาลเช่นตัวเราประสบความสำเร็จเราจึงต้องหลอกใช้จอมปีศาจ แต่เหล่าจอมปีศาจที่มีอันดับสูงคงจะไม่แม้แต่ติดต่อธุรกิจกับเราแน่ๆ เพื่อการนั้น ดันทาเลี่ยนจึงเป็นตัวเลือกซึ่งเหมาะสมที่สุด

 

มันไม่เป็นไรหรอกที่จะด่าทอเราและเรียกเราว่าเด็กสาวผู้ถูกความทะเยอทะยานบดบังตาน่ะ

 

เพราะยังไงซะ มันก็คือเรื่องจริงนี่นา

 

“ฮ่าๆๆ การที่คนของกึนคัสก้าเข้ามาหาผู้ยิ่งใหญ่เฉกเช่นตัวข้า นับว่าพวกเจ้ามีสายตาที่ดีสมกับที่เป็นบริษัทซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของปีศาจเลยว่ะ “

 

ในตอนแรก ดันทาเลี่ยนได้ต้อนรับเราด้วยความดีใจ การที่ได้รับเชิญเป็นลูกค้าของกึนคัสก้ามีความหมายเฉกเช่นเดียวกันกับถูกยอมรับว่าเป็นจอมปีศาจที่มีอิทธิพลสูง ด้วยเหตุนี้เขาจะต้องกำลังมีความสุขมากๆแน่

 

“แกชื่ออะไร?”

 

“เราผู้นี้เรียกว่าลาพิส ลาซูรี่ค่ะ”

 

“โอ้โห รูปร่างของแกจัดว่าเด็ดเลยว่ะ “

 

สายตาของฝ่าบาทได้กวาดมองไปทั่วเรือนร่างของเรา

 

“……”

 

นี่เราควรจะบอกว่าเขาไม่ได้มีอันดับที่ 71 โดยไร้เหตุผลหรือเปล่า? แถมเขาส่งกลิ่นเหม็นสาบหยั่งกับพวกลูกกะจ๊อกเลย ถึงเขาจะเกิดเป็นจอมปีศาจ แต่เขาไม่มีทั้งคุณประโยชน์หรือพรสวรรค์ใดๆเลย

 

แต่ไม่เป็นไร เรามาที่นี่โดยทำใจไว้แล้วว่าเรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้

 

…… แต่ว่า หากคุณถามว่าเรารู้สึกผิดหวังมั้ย งั้นตัวเราก็จะพูดแน่นอนว่าเราคิดอย่างงั้นแหละ

 

“ดีมาก แล้วเผ่าพันธุ์ของเจ้าคืออะไรล่ะ? “

 

“เราคือซัสคิวบัสค่ะฝ่าบาท”

 

“ซัสคิวบัส! นั่นทำให้มันมีเสน่ห์มากกว่าเดิมอีกแฮะ”

 

แม้มันอาจจะแค่ครึ่งเดียว แต่เราก็ยังคงเป็นซัสคิวบัสอยู่ดี ถึงแม้ว่าดวงตาของเราจะปิดสนิท แต่เราก็สามารถรู้สึกได้ถึงแรงปรารถนาทางเพศของคนอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวเรา และในขณะนี้ จอมปีศาจดันทาเลี่ยนก็กำลังหื่นกระหายต่อตัวเราอยู่

 

ในชั่วชีวิตของเรา เราได้เจอสายตานับร้อยนับพันจากผู้คนที่ปรารถนาร่างกายของเรา แน่นอนว่าเราไม่มีเจตนาที่จะแสร้งทำตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องหรอกนะ เรายินดีอย่างยิ่งที่จะยอมกลายเป็นภริยาของจอมปีศาจซะด้วยซ้ำไป

 

เด็กสาวผู้ยอมขายเรือนร่างของเธอเพื่ออำนาจ

 

มันไม่มีอะไรน่าแปลกประหลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกเนอะ ใช่มั้ยล่ะ?

 

ในฐานะที่เป็นแม่ค้า เราคิดว่าทัศนคตินี้เหมาะสมเป็นอย่างมากเลยแหละ

 

…… เว้นแต่ ปัญหาที่ว่าไม่มีจอมปีศาจคนใดบ้าพอที่จะซื้อร่างกายของเราน่ะ

 

“จงเงยหน้าขึ้นซะ ในเมื่อวันนี้เป็นวันที่ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้รับการยอมรับจากบริษัทกึนคัสก้าแล้ว ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในช่วงเวลาค่ำคืนนี้ ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะขอจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับแกเอง “

 

“ฝ่าบาท เราผู้นี่เป็นพวกเลือดผสมระหว่างซัสคิวบัสกับมนุษย์นะคะ “

 

“……”

 

เงียบกริบ

 

สีหน้าของจอมปีศาจได้ค้างชะงักในทันที

 

ใช่แล้ว แม้ว่าจะได้รับสายตาที่เต็มไปด้วยกามตัณหาของผู้คนนับร้อยนับพันก็ตาม นี่คือเหตุผลที่ทำไมเรายังคงบริสุทธิ์อยู่จนถึงบัดนี้ และปฏิกิริยาของทุกๆคนที่ได้ยินเรื่องชาติกำเนิดของเราก็คือแบบนี้แหละ ช่างน่าทึ่งมากเนอะ

 

“งานเลี้ยงฉลองได้ถูกยกเลิก”

 

จอมปีศาจได้ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

 

“และกลับไปบอกพวกพ่อค้าจากกึนคัสก้าด้วยว่า พวกมันจะต้องชดใช้อย่างแสนสาหัสสำหรับการที่ได้กำแหงดูหมิ่นผู้ยิ่งใหญ่คนนี้!”

 

“แต่เราผู้นี้ถูกสั่งมาว่า…..”

 

“ไอ้สวะพันทางที่สามหาวนี่!”

 

ถุย

 

จอมปีศาจได้ถ่มน้ำลายใส่

 

น้ำลายหยดนั้นได้ตกลงสู่ใบหน้าของเราจังๆ เราได้ยินมาว่าฝ่าบาทไม่มีพรสวรรค์ในด้านศิลปะการต่อสู้ใดๆเลย แต่ดูเหมือนว่าเราไม่ควรเชื่อในข่าวลือเหล่านั้นนะ ดูซิอย่างน้อยเขาก็มีทักษะการยิงธนูที่ใช้ได้นี่?

 

“……”

 

ทันทีที่จอมปีศาจได้ออกไปจากห้องรับแขก

 

เราได้นำเอากระจกเล็กๆกับผ้าเช็ดหน้าออกมา ด้วยมือที่ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เราก็เช็ดน้ำลายออกจากใบหน้าของเราอย่างคล่องแคล่ว ถ้าคุณคิดว่าเรื่องพรรณนี้เกิดขึ้นกับตัวเราเพียงแค่ครั้งสองครั้งแล้ว นั่นคือการคาดคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์

 

มันเกิดขึ้นเป็นหลายแสนครั้งแล้วแหละ

 

อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้, ใช่มะ?

 

กล่าวสั้นๆก็คือ ดันทาเลี่ยนเป็นไอ้ซื่อบื้อที่ไร้ทางเยียวยาแล้ว โดยส่วนมากมันคงจะไม่มีใครชอบเขาหรอกเว้นแต่แม่ของเขาเองน่ะ ถึงแม้ว่าจอมปีศาจไม่ได้เกิดมาจากระหว่างคนสองคนก็เหอะ แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยความผิดเพี้ยนทางเวทมนตร์น่ะ

 

ไม่เป็นไร

 

เราได้ตัดสินใจแล้วว่า

 

ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเศษสวะที่เกินกว่าจะใช้การได้แล้ว งั้นสิ่งที่คุณต้องทำก็คือปรับปรุงบุคลิกลักษณะของพวกเขาใหม่ซะก็สิ้นเรื่อง

 

 

 

เราได้อำพรางตัวเองให้คล้ายมนุษย์และขายแผนผังปราสาทของจอมปีศาจให้กับบรรดานักผจญภัย

 

ทั้งจำนวนกำลังพล, ตำแหน่งของกับดักและแม้กระทั่งเส้นทางของทหารลาดตระเวน เรามอบให้ทุกสิ่งทุกอย่าง

 

 

 

พวกนักผจญภัยค่อนข้างละโมบโลภมาก

 

ทันทีที่พวกเขาได้รับแผนผัง พวกเขาก็ตรงไปยังปราสาทของจอมปีศาจโดยพลัน ประมาณสามหรือสี่รอบเลยล่ะมั้ง? เนื่องจากการรุกรานของบรรดานักผจญภัยตัวปราสาทจึงได้กลายเป็นซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันเป็นการบำบัดด้วยวิธีการทำให้ตกใจอย่างสุดขีดน่ะ

 

แม้ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนจะเป็นหนอนตัวอ่อนที่เกินเยียวยาอย่างแท้จริง แต่ถ้าปราสาทของเขาถูกทำลายอย่างราบคาบล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกน้องทั้งหมดของเขาตาย? มันมีโอกาสที่เขาอาจจะฟื้นคืนสติปัญญาของเขาก็เป็นได้เนอะ

 

แนวคิดแบบสุดขั้วอย่างนี้เป็นลักษณะพิเศษของเราเลยแหละ

 

เรายินดีที่จะรับคำชมเชยน้า

 

เนื่องจากคำชมเชยไม่ต้องจ่ายเงินใดๆเพื่อให้ได้มันมาน่ะ

 

และแน่นอนว่าเรายังมีจุดมุ่งหมายอื่นอีก

 

ลองนึกดูสิว่าสถานการณ์แบบไหนกันที่จอมปีศาจดันทาเลี่ยนจะประสบพบเจอ การป้องกันปราสาทของเขาได้พังทลายลง กองทัพของเขาก็หายไปด้วยเช่นเดียวกัน ตอนนี้เขาจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้างล่ะ? หรือว่าจะเป็นที่เตียงนอนของเขาซึ่งอยู่ในซากปรักหักพัง? หรือว่าผ้าคลุมสีดำที่คุณจอมปีศาจใส่เดินไปรอบๆด้วยความสง่าผ่าเผยจะกลายเป็นผ้าคลุมเวทย์มนต์และสร้างปาฏิหาริย์ออกมาอย่างฉับพลันน้า?

 

อา

 

โชคดีจังที่ยังมีคนนึงเหลืออยู่

 

ไม่ใช่ว่ายังมีนังแม่ค้าซัสคิวบัสที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพิเศษของเขาอยู่เหรอ?

 

มันเป็นการปรับเปลี่ยนอย่างง่ายๆ

 

ถ้าอีกฝ่ายดูเหมือนพวกเขาจะไม่เชื่อใจคุณ— งั้นก็กำจัดทุกๆคนที่เขามีทีท่าจะไว้ใจซะ เหลือไว้แต่ตัวคุณเอง

 

แม้มันอาจจะมีอีกแนวทางที่จะได้รับความไว้วางใจจากเขาโดยการใช้ระยะเวลาสักพักนึง แต่ถ้ามันมีคุณลักษณะที่พ่อค้าต้องพึงมีกันทุกคนล่ะก็ งั้นมันคงจะเป็นองค์ความรู้ที่ว่า ‘ช้า’ ที่จริงแล้วมีความหมายเช่นเดียวกันกับคำว่า ‘เสียเวลาเปล่า’ อ่ะนะ

 

เราคือแม่ค้าแห่งกึนคัสก้า

 

การสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ใดๆก็ตามเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้

 

 

 

นักผจญภัยได้ทำลายตัวปราสาท

 

แต่ทว่าพวกเขาดันล้มเหลวในการจับตัวฝ่าบาทดันทาเลี่ยนมา พวกเขาได้เดินออกมาจากถ้ำด้วยอารมณ์โมโหโกรธา เนื่องจากพวกเขาได้กลับบ้านมือเปล่า

 

เราได้ว่าจ้างนักฆ่าระดับมือพระกาฬเพื่อฆ่าพวกเขา

 

“ช่วยฆ่าพวกเขาทั้งหมดด้วยนะ”

 

“ทั้งหมดเลย?”

 

“ใช่ อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียวล่ะ”

 

พวกนักผจญภัยรู้ว่าเราเป็นคนที่ขายแผนผังให้พวกเขา แม้จะมีโอกาสเพียงหนึ่งในพันว่า ถ้าข่าวเกี่ยวกับตัวเราเผยแพร่ไปยังที่อื่นมันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ เราเลยต้องกำจัดพยานให้เรียบร้อยซะ

 

ทั้งกลุ่มแรก, กลุ่มที่สอง และกลุ่มที่สาม พวกเขาถูกฆ่าทิ้งทั้งหมดโดยนักฆ่า ถ้าเราต้องการจะสารภาพอะไรบางอย่างณ ที่นี้ งั้นมันคงจะเป็นเรื่องที่เรามุ่งหวังความสมบูรณ์แบบโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เราได้ทำลงไปน่ะ

 

“…… กลุ่มที่สี่ไม่ได้ออกมาจากถ้ำงั้นเหรอ?”

 

ในช่วงเวลานั้นเอง เราก็ได้รับรายงานที่คาดไม่ถึงมาก่อน

 

นักฆ่าได้พยักหน้าตอบรับ

 

“ใช่ ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะตายไปแล้ว “

 

“ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนไม่เหลือกองกำลังอยู่ในปราสาทของเขาแล้วนี่นา มันไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกนักผจญภัยจะเสียชีวิตลงนะ ลองตรวจสอบดูอีกครั้งเถอะ”

 

“ข้าได้ตรวจดูเรียบร้อยแล้ว”

 

นักฆ่าได้เปล่งเสียงอันรำคาญออกมา

 

“ไม่ใช่ว่ากลุ่มของนักผจญภัยนี้มีแค่ 10 คนเองหรอกหรือ? ข้าได้หารอบๆถ้ำทั้งหมดแล้วและพบศพแค่ 10 ศพเอง ถึงแม้ว่ามันยากที่จะยืนยันแน่นอนได้เนื่องจากหัวของพวกเขาถูกตัดออกและแขนขาของพวกเขาถูกฉีกกระชากเกลื่อนกลาดก็เถอะ “

 

“…… นั่นมันน่าแปลกนะ”

 

หรือว่าฝ่าบาทดันทาเลี่ยนมีไพ่ลับซ่อนไว้ในแขนเสื้อของเขา?

 

ไม่ว่าเราจะมองย้อนกลับไปยังไง เราก็ได้จับตามองจอมปีศาจตลอดเวลามาเป็นปีแล้วนะ มันไม่น่าจะมีความลับที่เราไม่สามารถหาเจอได้นี่ ……

 

หรือมันจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น? นี่เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า? ……เราเนี่ยนะ?

 

เราไม่เคยประเมินผู้คนสูงเกินไปหรือต่ำเกินไปมาโดยตลอด ตัวเราเองก็ถูกรวมอยู่ในนี้ด้วย การมีสายตาหยั่งรู้อันปราดเปรื่องเป็นความสามารถพิเศษของเรา เราสามารถดูออกว่าคนไหนคือเศษอาหารโสโครกอันน่าสะอิดสะเอียนที่อยู่ในหลุมสิ่งปฏิกูลตื้นๆ

 

มันไม่ใช่พรสวรรค์ที่จะมอบให้ใครก็ได้หรอกนะ

 

“พวกนักผจญภัยถูกฆ่าได้ยังไง?”

 

“ข้าไม่รู้”

 

“มันมีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งภายใน….”

 

“ก็ข้าบอกว่าข้าไม่รู้ไง!”

 

นักฆ่าได้เขม็นมองมาที่ตัวเรา

 

ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขาคือความดูถูกเหยียดหยาม

 

“อย่าทำมาเป็นพูดลอยหน้าลอยตาต่อข้าสิฟะ! แค่ความจริงที่ว่าข้าได้พูดคุยกับพวกพันทางก็น่าขยะแขยงมากพออยู่แล้ว! ห่าเอ้ย ข้านี่ตกต่ำถึงขนาดนี้เลยหรือไงกัน………ที่ต้องมารับเงินจากพวกจัณฑาล! “

 

นักฆ่าได้ถ่มน้ำลายมาทางเท้าของเรา

 

ดูเหมือนเขาจะรู้สึกละอายใจที่ได้สูดอากาศเดียวกันกับเราล่ะมั้ง โอ้, งั้นเราขอประทานอภัยด้วยละกันนะ

 

เมื่อใดก็ตามที่มีคนถ่มน้ำลายต่อหน้าตัวเรา เรามักจะสงสัยว่าของเหลวในร่างกายเหล่านั้นมาจากไหนกัน เราทำได้เพียงแค่หวังว่าพวกเขาจะไม่ดึงมันออกจากสมองของพวกเขาน่ะ เพราะปัญญาที่ต่ำต้อยอยู่แล้วของพวกเขาจะมีแต่แย่ลงเท่านั้นแหละ

 

“รีบๆเข้าและจ่ายเงินค่าว่าจ้างมา อัตราก็ 4 เหรียญทองต่อหัว แน่นอนว่านั่นเป็นเงินจำนวน 32 เหรียญทองน่ะ ข้าจะขอบอกแกตอนนี้เลยละกันนะว่าอย่าพยายามต่อรองราคา มันเป็นสิ่งที่ ‘ตามที่สัญญากันไว้’ ตราบเท่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามสัญญา งั้นทุกอย่างจะจบลงโดยไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น “

 

“นักฆ่าก็เน้นคำมั่นสัญญาด้วยงั้นเหรอ, เข้าใจแล้ว”

 

“เฮ้ย นังจัณฑาล ข้าไม่มีอารมณ์จะมาเล่นมุขตลกหรือว่าขอหลับนอนกับคนอย่างแกหรอกนะ นี่ข้าต้องถ่มน้ำลายใส่หน้าแกแทนที่จะลงบนพื้นเพื่อให้แกเข้าใจหรือไงกัน? “

 

“มองที่ตาของเรา”

 

“นี่ สักวันนึงแกอาจจะต้องชดใช้ที่ทำตัวแบบนั้น …… “

 

“มองตรงเข้าไปในดวงตาของเรา”

 

นักฆ่าได้ขมวดคิ้วของเขา

 

ยังไงซะเขาก็ไม่สามารถแตะต้องตัวเราได้เพราะสัญญาจ้างของพวกเราอยู่ดี เขาจึงได้แต่จ้องมองมาที่เราอย่างหงุดหงิด

 

เราก็ได้มองรับสายตาของเขาและพูดอย่างชัดเจนว่า

 

“เงียบซะ มองเข้าไปในดวงตาของเรา”

 

“……”

 

“นับขนตาทั้งหมดของเราทีละเส้น จำสีดวงตาของเราไว้ ทั้งพื้นผิวของลูกตา พินิจดูตามรูปแบบนี้อย่างช้าๆ “

 

“…… มีเหตุผลอิงประวัติศาสตร์อะไรหรือเปล่าต่อคำพูดไร้สาระนี้?”

 

“ไม่ มันมีไม่มีเลย”

 

เรานำเอาขวดแก้วเล็กๆออกมาจากเสื้อโค้ทของเรา

 

มันเป็นขวดแก้วที่เต็มไปด้วยของเหลวอันโปร่งแสง

 

“เว้นแต่ มันมีความนัยบางอย่างต่อคุณน่ะ”

 

“นั่นมีไว้เพื่ออะไรฮะ?”

 

“มันเป็นยาพิษ, สำหรับคุณน่ะ คุณนักฆ่าผู้ทรงเกียรติ “

 

“……”

 

นักฆ่าได้หยุดชะงักแข็งทื่อกับที่

 

มันเป็นสิ่งน่าเพลิดเพลินใจเสมอที่ได้เฝ้ามองดูการเปลี่ยนทางสีหน้าของผู้คนเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างกะทันหัน มันคงจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในความสุขเล็กๆของชีวิตเลยก็ว่าได้

 

“ช่างเป็น …… มุขตลกที่ห่วยแตกจัง …… “

 

“ค่าว่าจ้างได้ถูกส่งไปยังกลุ่มมือลอบสังหารในนิฟเฮมแล้วล่ะ หัวหน้าของคุณได้บอกให้เราส่งต่อข้อความนี้ว่า ‘คลื่นน้ำต้องรู้ด้วยตนเองว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะหยุด และตอนนี้มหาสมุทรเป็นสีฟ้าดังนั้นมันจึงเป็นเวลาที่จะต้องยุติและกลืนเรือลงแล้ว’ “

 

เค้าหน้าของนักฆ่าเริ่มซีดเซียว

 

“เสียงเรียกหาของโพไซดอน…… “

 

“มันดูเหมือนจะเป็นโคลงกลอนที่ใช้กันทั่วไปในกลุ่มมือลอบสังหารนะ”

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แก…..?”

 

“ตั้งแต่เริ่มแรกเลย”

 

ใช่ตั้งแต่แรกเลย

 

เราอาจจะเป็นคนที่ชื่นชอบคนมีฝีมือเหนือล้ำเป็นพิเศษ แต่เราได้ร้องขอกำลังคนที่สามารถ ‘ใช้แล้วทิ้ง’ ได้ กลุ่มมือลอบสังหารจึงได้จัดหาบุคคลที่เหมาะกับความต้องการของเราอย่างสมบูรณ์แบบ

 

ไม่ว่าพวกเขาจะใช้กำลังคนของพวกเขาอย่างเหมาะสมหรือยังไม่ได้กำหนดแนวทางความซื่อตรงของกลุ่ม แต่ในเรื่องนี้กลุ่มมือลอบสังหารในนิฟเฮมได้รักษามาตรฐานไว้ได้ดีมาก องค์กรอื่นๆควรเรียนรู้จากพวกเขาเอาไว้นะ

 

นักฆ่าได้รับขวดแก้วเล็กๆจากเรา

 

“มีคำพูดสุดท้ายอะไรบ้างมั้ยที่คุณต้องการจะพูดน่ะ?”

 

“……”

 

นักฆ่าได้จ้องมองที่ขวดแก้วสักพักก่อนที่จะดึงจุกออกและดื่มยาพิษในอึกเดียว จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นและเริ่มพูดพึมพำออกมาว่า

 

“เวรเอ้ย”

 

เป็นระยะเวลานานทีเดียว

 

“เวร……”

 

นักฆ่าได้หมดลมหายใจลงอย่างสมบูรณ์

 

เรานำเอากริชออกมาและปาดคอของนักฆ่า เพราะเราได้ยินมาว่านักฆ่ามือฉมังสามารถแกล้งตายได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ ครั้งที่หนึ่ง สอง สาม และสุดท้ายครั้งที่สี่ เราจึงแน่ใจว่าชีวิตของอีกฝ่ายได้จบสิ้นลงแล้ว

 

เราน่าจะสารภาพให้มั่นเหมาะอีกทีนึงณ ตรงนี้ว่า

 

ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็จะเน้นความสมบูรณ์แบบเสมอ

 

เอาเถอะ ยังไงซะมันก็มีความจำเป็นที่จะต้องพบปะกับฝ่าบาทดันทาเลี่ยนด้วยตัวเองอยู่แล้ว

 

การหลอกใช้นักผจญภัยและการว่าจ้างนักฆ่าไม่ได้ใช้เงินเพียงเล็กน้อยหรอกนะ มันถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มนำเงินลงทุนของเรากลับคืนมา

 

ถ้า, เนื่องด้วยวิกฤติในครั้งนี้, บุคลิกของฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงล่ะก็ …… นั่นน่าจะเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด แต่ถ้าบุคลิกของเขายังคงเหมือนเดิม งั้นคนเดียวที่จอมปีศาจจะสามารถพึ่งพาได้ก็คือตัวเรานั่นแหละ มันเป็นเดิมพันที่เราไม่สูญเสียอะไรอยู่แล้ว

 

มันเป็นไปตามที่เราชื่นชอบเลย

 

 

 

 

 

งั้นตอนนี้

 

เราจะขอออกล่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่ติดกับแล้วล่ะนะ

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset