Dungeon Defence – ตอนที่ 89

▯จอมมารเเห่งความเเมตา อันดับ 9 ไพม่อน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7

ที่ราบบรูโน ปีกซ้ายของกองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว

 

“······นี่น่ะมันคือ.”

 

ลมหายใจหลุดออกมาจากริมฝีปากของผู้หญิงคนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ

 

การเปลี่ยนเเปลงกระเเสการต่อสู้เป็นไปอย่างเร่งด่วน จนกระทั่งเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา สิ่งต่างๆ ไม่ได้ไหลไปเร็วแบบนี้ ทั้งปีกซ้ายและปีกขวาแต่ละฝ่ายต่างจะจัดการกองทัพเดียวและทำการต่อสู้ระยะประชิด เราวางแผนที่จะบุกจู่โจมครั้งแรกด้วยยุทธวิธีมาตรฐานแบบนั้นในวันนี้······

 

เเต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หน่วยที่นำโดยหญิงสาวที่รู้จักกันในชื่อ ฟาร์นาเซ่ ได้ล้ำออกมาข้างหน้า กระแสธาราก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะตัวแทนของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว แม้จะเป็นมนุษย์ก็ตาม ในมุมมองของศัตรู เธอเป็นคนทรยศที่พวกเขาต้องจัดการโดยเร็วที่สุด หากใครก็ตามสามารถได้หัวของฟาร์เนเซ่มา ก็น่าจะถือว่าเป็นพระเดชสูงสุดสำหรับกระดานเกมนี้เเล้ว

 

กองทัพมนุษย์ได้สั่งการทหารม้าของพวกเขาบุกเข้ามา จากทัพเเรกมาจาก ราชอาณาจักรโปแลนด์-ลิทัวเนีย จากนั้นจักรวรรดิฟรังเซีย สาธารณรัฐบาตาเวีย ราชอาณาจักรทูทัน······· แต่ละกองทัพแข่งขันกันเเสดงเอกนุภาพ ส่งทหารม้าเข้าศึก

 

มันเป็นการเดินศึกที่เเย่มาก

 

ทหารม้าที่พุ่งเข้ามาพร้อมกันจากทุกทิศทุกทางไม่สามารถปฏิการเป็นทีมกันได้ถูกต้องและไม่คุ้นชินต่อสภาพพื้นที่ราบกับอากาศเลวร้ายเป็นพิเศษตอนนี้ได้ หลังจากปริมาณฝนตกได้เพิ่มน้ำให้กับผืนดินที่เต็มไปด้วยความชื้นแล้ว พื้นดินที่ราบก็กลายเป็นแอ่งน้ำ เมื่อกีบเท้าหลายหมื่นตัวเคลื่อนผ่านน้ำโคลนนั้น⎯⎯⎯⎯ แผ่นดินจึงยุบตัวกลายเป็นหล่มคล้ายหนองในทันที

 

สิ่งที่ตกลงมาบนกองทหารม้าของศัตรูที่ตกลงไปในโคลนและกำลังตะเกียกตะกายอยู่ก็คือสายฝนห่าลูกธนูจากหน้าไม้ที่วางอยู่หน้าหน่วยของ ฟาร์นาเซ่ ดูเหมือนว่าเธอกำลังรอฝนนี้ตกอยู่ตลอดเวลา เพราะจากด้านหน้าของพวกทหารถูกขวางด้วยโคลนและด้านหลังของพวกเขาถูกดันโดยกำลังเสริมที่ใกล้เข้ามาจากกองทัพอื่น ทหารม้าซึ่งประกอบด้วยทหารไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นนายจึงถูกสังหารลง ณ ที่ตรงนี้สิ้น

 

“······”

 

ผู้หญิงคนนี้ตัวเเข็งทื่อ

 

นั่นเรียกว่าการต่อสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

······คล้ายกับ พันธมิตรจันทร์เสี้ยวของเรา ของเราพวก กองทัพครูเซดเดอร์ ของมนุษย์ก็เป็นการรวมกันเป็นพันธมิตรหลวมๆเช่นกัน พวกเขาไม่มีเอกภาพผู้นำในการบังคับบัญชา เมื่อทหารม้าเริ่มถูกสังหาร บางประเทศก็สั่งให้พวกเขาล่าถอย ในขณะที่ชาติอื่น ๆ ส่งทหารม้าเข้ามามากขึ้นเพื่อช่วยชีวิตสหายของตนที่ตกอยู่ในอันตราย เป็นครั้งที่สอง กองทหารม้าที่ถอนกำลังออกไปและกองทหารม้าที่กำลังจะมาถึงเข้าปะทะกันเอง

 

เสียงกรีดร้องที่มาจากกองทหารของศัตรูสามารถได้ยินได้จากที่นี่ ซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่หลากระจายไปทั่วที่ราบซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็กลายเป็นส่วนเดียวกับโคลน พร้อมทั้งมีฝนตกหนักโปรยลงมาบนร่างเหล่านั้นจากฟากฟ้า ผู้หญิงคนนี้ลืมแม้กระทั่งการบังคับบัญชากองทหารของเธอไปชั่วขณะ เพียงมองดูด้วยความประหลาดใจเมื่อพลังต่อสู้ของทหารม้าผู้แข็งแกร่งของศัตรูละลายหายไป·······

 

⎯⎯ บูนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

 

เราสงสัยว่าพวกมนุษย์ไม่สามารถอดทนเป็นสักขีพยานต่อโศกนาฏกรรมต่อเพื่อนมนุษย์ต่อไปได้ไหม?

 

เสียงเขาเเตรหลายตัวถูกเป่าส่งเสียงพุ่งเข้าใส่สมรภูมิ สะท้อนออกมาจากที่ตั้งแคมป์ของพวกกองทัพครูเซด ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ทหารราบจำนวนมหาศาลที่ไม่อาจเทียบได้กับทหารม้าเดินทัพออกมาข้างหน้า

 

แม้ว่าธงแต่ละผืนจะมาจากคนละประเทศ แต่ธงทั้งหมดมุ่งไปยังที่แห่งเดียวไปยังทัพของฟาร์นาเซ เพื่อกอบกู้ทหารม้าของพวกเขา และเพื่อแก้แค้นผู้สังหารที่น่ารังเกียจ ในที่สุด ผู้บัญชาการของสงครามครูเสดได้ส่งกองทหารราบทั้งหมดของพวกเขาออกไป แม้ว่าจะมองเห็นได้ยากเนื่องจากฝนตกหนัก แต่ดูเหมือนว่ากำลังทหารของพวกมนุษย์จะอยู่ที่ประมาณ 50,000 นาย

 

แน่นอน คนๆเดียว จะแพ้สงครามได้ก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับกำลังทหารจำนวนมหาศาลนั้น ในที่สุดกองทหารของ ฟาร์นาเซ่ ก็เริ่มถอนทัพ ทิ้งให้กองทหารม้าดิ้นรนติดอยู่ในโคลนตม ทัพของฟาร์นาเซ่ถอยกลับอย่างช้าๆ

 

ในมุมมองของ ฟาร์นาเซ่ คงต้องจำใจล่าถอย ราวกับว่าเธอกำลังส่งปลาซึ่งเธอจับได้หมดไปแล้วให้กับศัตรู ราวกับว่าพวกมนุษย์รู้ถึงไฟที่ถูกจุดโดยข้อเท็จจริงนี้ว่าทัพของฟาร์นาเซ่กำลังล่าถอย กองกำลังทหารราบของพวกครูเซดเห็นยิ่งเริงร่ายิ่งขึ้นและรุดหน้าต่อไป กองทหารของ ฟาร์นาเซ่ ถอยห่างออกไปอย่างช้าๆ ไปทางด้านหลัง และทหารราบของพวกครูเซดก็ค่อยๆ เข้ามาในส่วนลึกของกองทัพเรา

 

“·······”

 

เดี๊ยวสิ.

 

มันเป็นการจำใจล่าถอยจริงหรือ?

 

การรับรู้ราวกับสายฟ้าฟาดกระทบศีรษะของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้หายใจหอบโดยไม่ตั้งใจ

 

“มันเป็นไปไม่ได้······!”

 

หากนี่คือสิ่งที่เธอตั้งเป้าไว้ตั้งแต่แรก เด็กสาวฟาร์นาเซ่ผู้นั้นก็เป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่······. แต่ถ้ามีใครตรวจสอบเหตุการณ์ของสนามรบอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นไปตามเงื่อนไขนั้นเเน่ๆ ไม่ว่า ฟาร์นาเซ่ จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คำสั่งที่ผู้หญิงคนนี้ต้องทำตามฟาร์นาเซ่นั้นชัดเจนอย่างช่วยไม่ได้······!

 

“กองกำลังทั้งหมด!”

 

ผู้หญิงคนนี้ยกพัดขึ้นและออกคำสั่ง

 

“กระจายกำลังออกไป! กระจายออกไปให้กว้างที่สุด! จากที่นี้ไป กองกำลังของเราจะกลายเป็นปีกซ้ายของขบวนปีกนกกระเรียนและโอบล้อมกองกำลังศัตรูจากทางด้านซ้าย!”

 

“หืม? จู่ๆ เป็นอะไรไปคะท่านพี่?”

 

สิตรี ซึ่งกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ เอียงศีรษะของเธอ เช่นเคย เธอมีใบหน้าที่ไร้เดียงสาซึ่งมีแต่ความสงสัยราวกับว่าเธอไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ดี ผู้หญิงคนนี้อธิบายอย่างเร่งด่วน แต่ในขณะเดียวกันก็ระมัดระวังอย่างเต็มที่ที่จะไม่ใจร้อน

 

“ดูตรงนั้นสิ ทัพของ ฟาร์นาเซ่ กำลังล่าถอย ทหารราบของพวกครูเซดกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อไล่ตามนาง ถ้าฟาร์นาเซ่สามารถล่อทหารราบข้าศึกทั้งหมดเข้ามาได้เเล้วล่ะก็······”

 

“·······”

 

ตอนนั้นเองที่ดวงตาของ สิตรี เริ่มเปล่งประกายอย่างขบขัน

 

“······ฮี่ๆ เหตุการณ์คอขวดมันจะเกิดขึ้น มีเพียงทัพเดียวเท่านั้นที่กำลังล่าถอย แต่กลับมีกองกำลังจำนวนนับไม่ถ้วนไล่ตามทัพนั้นไป พวกมันก็จะรวมตัวกันเป็นกระจุกเดียวตามนั้น”

 

นั่นแหละ!

 

จริงๆ แล้ว สิตรี เป็นเด็กสาวที่น่าเบื่ออย่างหาใครเทียบไม่ได้ แต่เมื่อหัวข้อเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ เธอจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงและยังมีความเฉียบแหลมอีกด้วย ผู้หญิงคนนี้ในขณะที่จิตใจของตัวเองยังคงสว่างไสวอยู่ก็ออกคำสั่งอีกครั้ง

 

“ทุกคนเตรียมพร้อมทำการปิดล้อมการต่อสู้แห่งการทำลายล้าง!”

 

แน่นอนที่สุด แม้แต่ บาร์บาทอสเอง ก็ต้องตระหนักถึงความตั้งใจจริงที่อยู่เบื้องหลังสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเรา เจ้าเด็กคนนั้น อย่างน้อยก็ได้รับพรสวรรค์ด้านสัญชาตญาณอันเฉียบขาดเมื่อทำสงคราม!

 

ถ้าบาร์บาทอสกางปีกขวาและผู้หญิงคนนี้กางปีกซ้าย ฟาร์นาเซ่จะล่อให้ศัตรูเข้ามาเเละถูกล้อมด้วยตัวเอง นี่คือการแข่งขันกับเวลา หากเราสามารถปิดล้อมได้สำเร็จก่อนที่ฟาร์นาเซ่จะถูกข้าศึกรุกเข้ามา ก็จะเป็นชัยชนะของเราโดยสมบูรณ์ หากกองกำลังของศัตรูสามารถบดขยี้ ฟาร์นาเซ่ ก่อนที่เราจะสามารถปิดล้อมได้สำเร็จ เราก็จะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ชัยชนะโดยสมบูรณ์หรือความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้มีงานอดิเรกในการเล่นการพนัน แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้มันเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการทหารที่จะต้องเดิมพัน!

 

สายฝนโปรยปรายหนาเเรงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหมอกที่เกิดขึ้นและฝนที่ตกหนัก ทัศนวิสัยสายตาของทุกคนเริ่มแคบลงอย่างช้าๆ นี่เป็นความโชคดีเช่นกัน โอกาสที่ศัตรูจะมองไม่เห็นว่าเราปิดล้อมสำเร็จก็มีมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น ถ้าพวกทหารถูกบดบังการมองเห็นไป······ การต่อสู้ครั้งนี้มีโอกาสที่จะชนะมากขึ้น!

 

ผู้หญิงคนนี้รีบเร่งนายทหารกันอีกครั้ง

 

“ทุกคน ไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว เราต้องรีบไปให้เร็วที่สุุด”

 

 

▯จอมมารอมตะ, อันดับ 8, บาร์บาทอส

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7

ที่ราบบรูโน ปีกขวาแห่งกองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว

 

 

“⎯⎯⎯⎯กระจายกำลังออกไปให้เร็วกว่านี้! ไอ้เวรเอ้ยยย!”

 

ขณะที่กำลังเตะก้นผู้ใต้บังคับบัญชา ข้าก็ตะโกนเสียงดัง แม้ว่านี่จะเป็นกลยุทธ์ที่เราไม่ได้วางแผนล่วงหน้า พวกทหารเลยแสดงความสับสนพอๆกัน ให้ตายเถอะ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเล่นเรื่องแบบนี้เเล้ว ต้องรีบเคลื่อนไหวให้เร็ซกว่านี้ แม้ว่านั่นหมายความว่าข้าต้องเตะไข่ไอ้พวกเงอะงะพวกนี้ทั้งหมดก็ตาม!

 

“ท่านเจ้าคุณ กระผมขอโทษ แต่ถ้าท่านบอกเหตุผลกับเราหน่อยก็······”

 

“หากดวงตาคู่นั้นของเเกมันขุ่นมัวเหมือนนอยู่ในเหยือกน้ำ งั้นก็มองเเค่ตัวเองซะ ไอ้ระยำ”

 

ข้าจับคอเสื้อมันและบังคับให้มองไปที่แนวหน้า

 

“เเกเห็นอะไรผ่านกองทหารของมนุษย์ผู้หญิงคนนั้น”

 

“······ผม-ผมเห็นทหารราบของศัตรูจำนวนมาก?”

 

“เออสิวะ. ไม่ใช่แค่ทหารราบจำนวนมาก แต่ทหารราบเข้ามาหาเราอย่างบ้าระห่ำในขณะที่รูปขบวนกระจุกตัวอยู่ที่จุดเดียว กองทัพเราตอนนี้มันยุ่งเหยิง แต่มนุษย์พวกนั้นมันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเราเสียอีก พวกมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเป็นเช่นนั้นเพราะพวกมันมีผู้บัญชาการเเยกเป็นเอกเทศของแต่ละประเทศ”

 

เพี๊ยะ ข้าตีแก้มคนที่ถาม

 

“นี่คือคำถาม ทหารราบกำลังเข้ามาหาเราในขณะที่กระจุกตัวอยู่ที่จุดเดียว พวกมันเพ่งอาฆาตมากซะจนแทบจะไม่สามารถยกดาบขึ้นได้อย่างถูกต้อง ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังถูกบดบังด้วยความปรารถนาปจะเอาศีรษะมนุษย์ผู้หญิงคนนั้น เเล้วดูเหมือนตอนนี้เรากำลังยืนอยู่ทางฝั่งปีกขวา คำถามมันง่ายดีใช่มะ? เราจะทำอย่างไรดี คุณสโตนเฮด”

 

“·······”

 

ลูกน้องตัวแสบของข้าค่อยๆเบิกตากว้าง

 

“······เราต้องล้อมพวกมันไว้ ท่านเจ้าคุณ”

 

“ถูกต้องแล้ว เจ้าโง่เ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง และทหารราบของข้าศึกที่ไล่ตามฝ่ายเราเพราะถูกความอาฆาตบังตา กำลังตกเป็นเหยื่อที่เราต้องทำลายให้สิ้นซาก ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบกางทัพรูปปีกนกกระเรียน ได้เเล้วเว้ย? เราจะกลายเป็นปีกขวาของขบวนปีกนกกระเรียนและรวบกองทัพมนุษย์งี่เง่าพวกนั้น”

 

“แต่ท่านเจ้าคุณ การล้อมจะเสร็จสมบูรณ์ไม่ได้หากเราเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เคลื่อนไหว สหายฝ่ายขุนเขาพวกนั้นก็ต้องจัดกองกำลังทางด้านซ้ายตามแผนนี้ด้วยเพื่อพวกเราด้··········································

 

ข้าตบแก้มของผู้ใต้บังคับบัญชาอีกครั้ง

 

“ไพม่อนอาจจะเป็นนังหมาบ้า แต่นังนั่นก็ไม่ใช่หมาไร้ความสามารถ ถ้านังนั่นไร้ความสามารถจริงๆ หัวของมันคงถูกข้าฟันไปนานแล้ว ให้ตายเถอะ พวกเราร่วมกันก่อตั้งพันธมิตรจันทร์เสี้ยวตั้ง 6 ครั้ง และจำนวนครั้งที่เราทำสงครามกลางเมืองกันเองคือ 14 ครั้ง! อย่างน้อยที่สุด ความเฉลียวฉลาดของมันก็ดีกว่าเเกโคตรๆ เลิกกังวลเกี่ยวกับคนอื่นได้แล้ว⎯⎯⎯⎯ไอ้โง่! เเกกำลังทำบ้าอะไรอยู่!? เคลื่อนไหวได้เเล้วเฟ้ย!”

 

เพียะ

 

 

ข้าตบแก้มลูกน้องเป็นครั้งสุดท้าย

 

จากนั้นทุกคนก็รวมตัวกันก่อนที่จะเคลื่อนทัพอย่างเร่งรีบ เสียงตะโกนดังก้องจากทุกๆที่ และผู้ส่งสารเคลื่อนไหวอย่างยุ่งเหยิง เหมือนที่เคยเป็นมาและจะเป็นตลอดไป การต่อสู้เพื่อโอบล้อมคือการต่อสู้กับเวลา หากเรามาช้าไป กองทัพศูนย์กลางของเราจะถูกเจาะและส่งผลให้เราถูกแยกออกจากกันแทน นี่เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดเเล้ว

 

แต่ว่า.

 

“·······”

 

ข้าไม่ชอบแบบนี้เลย

 

หากบางที การต่อสู้แบบปิดล้อมเพื่อการทำลายล้างครั้งนี้ประสบความสำเร็จ นั่นจะทำให้เด็กมนุษย์นั่นเป็นผู้สั่งการและควบคุมการต่อสู้นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ มันจะเป็นไปได้ไหมล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้เเน่ๆแม้แต่ข้าเองซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมทัพผู้กล้าหาญมาหลายร้อยปีและถูกยกย่องว่าเป็นผู้กล้าหาญการจะแสดงยุทธวิถีเช่นนี้สำหรับข้ามันยังเป็นไปได้ยากเลย ประการแรกเลย การที่นางกล้าทำขนาดนี้จนเเสดงผลลัพท์ที่ดีออกมาได้นางคงได้รับอะไรสักอย่างเป็นของขวัญที่เราไม่อาจรู้ได้เเน่ๆ

 

ดันทาเลียน.

 

เเก เเกลี้ยงสัตว์ประหลาดประเภทไหนอยู่กันเเน่นะ······!?

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset