จอมมารแห่งความเมตตา อันดับที่ 9 ไพม่อน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7
ที่ราบบรูโน ปีกซ้ายของกองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว
“······”
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย
ผู้หญิงคนนี้จับพัดขนนกเปียกแน่น
“······เป็นอีกครั้ง ที่ผู้หญิงคนนี้จะไปพบ ดันทาเลี่ยน”
มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่แน่ใจว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะพูดเรื่องนี้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่สามารถหยุดสงครามนี้ได้ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดมันออกมา ในตอนแรก เนื่องจากนี่เป็นสงครามที่เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ ดันทาเลี่ยน เป็นตัวตั้ง จึงไม่แปลกใจเลยหากให้ ดันทาเลี่ยน ขึ้นมาเป็นผู้นำ เเต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีฝ่ายที่คิดต่างเพื่อเริ่มสงครามและคิดต่างเพื่อยุติสงคราม แต่คนที่ต้องรับมือกับสงครามก็คือเหล่าทหารเท่านั้น
ภายใต้คำสั่งของมนุษย์สาวคนนั้น เธอได้ขาดการคำนึงถึงชีวิตของทหาร มีโอกาสที่การกระทำของเธออาจเป็นวิธีการปลดเปลื้องอารมณ์ของตัวเองเพราะมันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าเราได้ไปกักขัง ดันทาเลี่ยนไว้ มีโอกาสที่มันอาจเป็นการแสดงแบบนั้นออกมา ของเด็กสาวและความเย่อหยิ่งของเธอ ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน เธอคือบุคคลที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นของทุกๆฝ่ายไม่ว่ามิตรหรือศัตรู
เเละเพราะมีกองทัพเดียวอยู่ในมือของเธอ เนื่องจากเธอเป็นแม่ทัพรักษาการของ ดันทาเลี่ยน การไปพูดคุยเรื่องนี้กับเขาจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
“สิตรี จัดการค่ายทหารแทนผู้หญิงคนนี้คืนนี้ที”
“ไปคนเดียวมันจะไม่เป็นอะไรเหรอคะท่านพี่?”
สิตรี มองผู้หญิงคนนี้ด้วยสายตากังวล เนื่องจากเธอดูเหมือนสัตว์เลี้ยงที่พยายามปลอบเพื่อนร่วมกรงของมันเอง รอยยิ้มจึงลอยขึ้นบนริมฝีปากของผู้หญิงคนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ สิตรี สามารถแสดงรอยยิ้มได้แม้ในสถานการณ์แบบนี้
“ไม่เป็นไร ผู้หญิงคนนี้จะไปพบเขาและสนทนากัน”
“ก็ใช่เเต่ว่า… อืมม. ในการต่อสู้เมื่อกี้ บาบาร์ทอส เข้าศึกในอีกด้านหนึ่งใช่ไหม? ฉันก็เลยคิดว่าเธอคงจะอารมณ์เสียเหมือนกันในตอนนี้ แม้ว่า บาร์บาทอสจะตายไปในศึกมันก็สมควรแล้ว เเต่ถ้าไม่นางคงไม่ชอบใจเเน่ๆ จริงไหมคะ?”
“······”
“ถ้าท่านพี่ไปพบดันทาเลียนตอนนี้ จะไม่ลงเอยด้วยการเจอกับบาร์บาทอสเหรอ? ท่านพี่จะต้องไปทะเลาะกับเธออีกโดยไม่จำเป็นอีกเเน่ๆค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งจำเป็นต้องไปคุย”
ผู้หญิงคนนี้พูดในขณะที่เพิ่มพลังให้กับเสียงของเธอเอง
“ถ้าเช่นนั้น เราผู้นี้ก็ต้องไปหาในทันที การประกาศที่เราผู้นี้พูดออกไปว่ายอมรับ ดันทาเลี่ยน เข้าสู่ฝ่าย ขุนเขา นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ผู้หญิงคนนี้ได้ประกาศอย่างเปิดเผยต่อหน้าทุกคนว่าเธอจะติดต่อประสานงานกับชายที่ บาร์บาทอส เจอมาเเละยกให้เป็นคนรักของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองครั้งก่อนเป็นข้ออ้าง แต่ว่านนะ⎯⎯⎯⎯”
คราวนี้มันจะต่างกันมันจะยุติธรรมและเสมอภาค
ในขณะที่มองตรงไปที่ บาบาร์ทอส ผู้หญิงคนนี้จะนำบุคคลที่ผู้หญิงคนนี้เชื่อว่าจำเป็นสำหรับฝายเรารับเขาเข้ามาให้ได้อย่างแน่นอน
“······”
หลังจากเห็นผู้หญิงคนนี้มีความตั้งใจแน่วแน่ สิตรี ก็พยักหน้า เด็กคนนี้ซึ่งสนับสนุนผู้หญิงคนนี้อย่างเงียบ ๆ เสมอ ให้ความไว้วางใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จนถึงทุกวันนี้ ในน้ำเสียงของเธอและผลักดันผู้หญิงคนนี้ไปข้างหน้าได้
“ตกลง. เดินทางปลอดภัยนะคะพี่สาว ฉันจะดูแลสิ่งต่างๆที่นี่ให้เอง”
โอเค. ผู้หญิงคนนี้จะไว้ใจและปล่อยให้มันอยู่ในมือของเธอ สิตรี นายพลผู้อ่อนโยนของฉัน
ทิ้งเเม่ทัพที่หดหู่ใจเพราะปล่อยให้ชัยชนะหลุดลอยไปไว้เบื้องหลัง ผู้หญิงคนนี้ได้เดินจากไป แต่ละก้าวที่ผู้หญิงคนนี้เดินผ่าน มีน้ำโคลนเปื้อนรองเท้าของเธอและซึมเข้าไปในกระโปรงของเธอ ทำให้เสื้อคลุมสกปรก แต่ก็ไม่เป็นไร หากสตรีผู้นี้เชื่อว่ามีเลือดหลายหยดจากทหารที่เสียชีวิตภายใต้คำสั่งของสตรีผู้นี้ ปะปนอยู่ในแอ่งโคลนทุกสระในสนามรบในวันนี้ ความคิดที่ว่าสกปรกก็ไม่ปรากฏอยู่ในใจสตรีผู้นี้เลยแม้แต่น้อย .
ฝนหยุดตกอย่างช้าๆ จากท้องฟ้าซึ่งเมฆดำมืดไม่สามารถบดบังได้ทั้งหมด ลำแสงสีทองหลายลำเเสงจากดวงอาทิตย์ส่องตกกระทบพื้นโลก ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง แสงดวงหนึ่งส่องเข้าหน้าผากของซากศพที่แผ่กระจายอยู่บนพื้น ไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นศพของมนุษย์ เจ้าลูกแกะ ทหารที่ทำทุกวิถีทางเพื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อดูแสงแดดซึ่งมองไม่เห็นแม้ในขณะที่เขาเสียชีวิต กำลังจ้องมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว
“······”
ผู้หญิงคนนี้หยุดชั่วขณะและก้มตัวไปข้างหน้า เสื้อคลุมของผู้หญิงคนนี้สัมผัสพื้นโลกและเปียกโชกไปด้วยน้ำโคลน ขณะที่ลูบเปลือกตาของนายทหารนิรนาม ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเป็นหน้าที่ของเจ้านายซึ่งต้องปิดเปลือกตาที่น่ากลัวของทหารนั้นลงไป
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่แน่ใจว่าเธอต้องกลายเป็นคนแปดเปื้อนเพียงใด
อย่างน้อยที่สุดก็เป็นไปได้ไหมที่จะตั้งปณิธานปล่อยให้ตัวเองโสมมถึงเพียงนี้?
ผู้หญิงคนนี้นั่งเหม่อลอยอยู่ในทุ่งที่แสงตะวันลับขอบฟ้านั้นไป
▯ราชาแห่งไพร่ อันดับ 71 ดันทาเลียน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7
ที่ราบบรูโน กองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว คุกธรรมดา
ในที่สุดฝนของวันนี้ก็หยุดตกแล้วสินะ?
ผมหยิบยาเส้นที่ยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทออกมา เนื่องจากไม่มีเพดาน น้ำจากฝนจึงยังคงไหลเข้ามา แม้ว่าผมจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าสนุกกับการโดนฝนตกใส่เเต่ผมก็ไม่ได้บ่นอะไรเกี่ยวกับมัน แต่ความจริงที่ว่ามันทำให้ผมไม่สามารถสูบบุหรี่ได้ ก็ให้ผมเบื่อและลำบากในการสูบมัน ฝนฤดูใบไม้ผลิปีนี้นี่ช่างดื้อรั้นและยาวนานเสียจริง
เเคร๊ก ผมก่อไฟด้วยหินเหล็กไฟ เเคร๊ก เเคร๊ก······ ขณะที่มองลงไปที่ถ่านที่ลุกเป็นไฟซึ่งจุดประกายไม่นานที่คล้ายกับไฟฟ้า ผมค่อย ๆ ทบทวนการต่อสู้ที่ต้องเกิดขึ้นในวันนี้ ผมพึมพำคำที่ไม่จำเป็นในขณะที่คิดถึงการต่อสู้นั้นออกมา
“อา จุดไฟแบบนี้มันยากชะมัดเลย”
อย่าชนะอย่างเด็ดขาดและอย่าแพ้อย่างราบคาบ นั่นคือคำสั่งที่ผมให้ ฟาร์นาเซ่ หากเป็นเมื่อก่อน ฟาร์นาเซ่ คงจะไม่เข้าใจความหมายและเธอคงจะสงสัยกับคำสั่งนั้นเเน่ๆ เเต่อย่างไรก็ตาม สถานะปัจจุบันของเธอซึ่งได้รับการศึกษาจากลาพิสและตัวผมเองนั้นแตกต่างออกไป เธอควรจะสามารถเข้าใจความหมายพื้นฐานนั้นได้อย่างง่ายดาย
ส่วนเดียวที่ทำให้ผมหนักใจคือการกระทำของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ผมตอบโต้การเคลื่อนไหวของเธอผ่าน ฟาร์นาเซ่ ไม่ว่าเจ้าหญิงจะทำตามเเผนให้สอดคล้องไม่ก็ตาม เเต่ถ้าเธอไม่ทำ หลายๆอย่างมันจะแตกต่างออกไปจากที่คิดไว้เเน่······ เพราะมันทำให้ทิศทางของสงครามถูกตัดสินทันที
“บาดัม เเทท บาดัม จะเป็นอย่างไรน้า นี่หรือนั่นดี? บาดัม เเทเเทท เเทท เผาอารามและเข่นฆ่าผู้คน – มันจะเป็นแบบนี้ดีไหมน้า ······”
ผมฮัมเพลงทหารที่แต่งขึ้นมาเอง
กล่าวโดยย่อ ผู้ที่ควบคุมสงครามครั้งนี้คือเอลิซาเบธและตัวผมเอง ไม่ใช่ใครอื่นเช่น บาร์บาทอส หรือ ไพม่อนเลย จุดประสงค์ของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นมาในวันนี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเพื่อแจ้งให้จอมมารทั้งสองทราบถึงความจริงอันเย็นชาข้อนี้
จงนั่งนิ่งๆ
ถ้าเจ้าต้องการชนะสงคราม ก็จงปล่อยให้ข้าออกจากคุกเเห่งนี้ แล้วส่งความเป็นผู้นำสงครามมาให้ข้า
หากไม่ทำเช่นนั้น สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องตายเพื่อองค์หญิงจักวรรดิเป็นเเน่
ข้อความที่ทั้งตรงไปตรงมาและชัดเจน
แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะอยู่ที่นั่น แต่พวกเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจสงครามนั้นได้ แม้จะถูกคุมขังอยู่ในคุกแคบๆ ที่นี่ แต่ข้าก็ยังครองสมรภูมิได้ นั่นเป็นเพราะข้ามีความสามารถมากกว่าพวกเจ้านั้นอย่างท่วมท้น ที่นี่ไม่มีความไร้เหตุผล หรือความอยุติธรรม มันเป็นเพียงความจริง
มีเเค่ความจริงเท่านั้น
“ตายแล้วเเละตายลงอีกร้อยครา·····อา”
ในที่สุดถ่านที่คุก็จุดยาสูบขึ้นมาได้ ผมหยุดร้องครู่หนึ่งเพื่อเป่าลมใส่ยาเส้น ถ่านที่คุอยู่นั้นริบหรี่และแทบไม่สามารถจะเริ่มเผาไหม้ใบยาสูบได้ เเต่ยังมีเเรงพอจุดให้เป็นสีแดงสดใส
เพราะมนุษย์มีสัตว์ประหลาดที่รู้จักกันในชื่อ เอลิซาเบธ อาทานาเซีย เอวาเทรีย ฟอน ฮับส์บวร์ก
เพราะคนเดียวที่จะหยุดเธอได้คือตัวผม ดันทาเลี่ยน และ ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่
ผมจะอยู่รอดได้เพราะความสามารถของเอลิซาเบธ และในทางกลับกัน ผมมั่นใจว่าเอลิซาเบธจะมีชีวิตอยู่ได้เพราะความสามารถของผมและฟาร์นาเซ่ เอลิซาเบธกับผมเป็นนักปีนเขาคู่หนึ่งที่กำลังปีนเขาด้วยกันในขณะที่แขวนเชือกอยู่บนเส้นชีวิตของอีกคนหนึ่ง
“เเละในตอนนี้”
ทั้งบาบาร์ทอส และ ไพม่อน จะเเสดงปฏิกิริยาแบบไหนกันนะ? พวกนางจะโกรธไหม? พวกนางคงจะเดือดดาล พวกนางจะสิ้นหวังหรือเปล่า? พวกนางคงจะสิ้นหวัง ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คุณค่าที่แท้จริงของคนๆหนึ่งได้รับการพิสูจน์เสมอหลังจากคำว่า ‘ต่อไป’ มาถึง
ด้วยท่าทีที่จดจ่อรอสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา ผมมองไปยังขอบฟ้าที่พ้นลูกกรงเหล็ก ยาสูบนั้นหอมหวานและทำให้จิตใจของผมมึนงง ผมร้องเพลงที่เหลือในขณะที่เป่าควันไปทางดวงอาทิตย์ที่เพิ่งตกดิน
“หรือถ้าเราตายแล้วก็ตายด้วยกันดีไหมน้า –·····?”
ผมอยู่ที่นี่ในคุกแห่งนี้
.
.
.
.
.
.
“เเกเห็นนั่นไหม”
ข้าเห็นมันเเล้วไม่ต้องสงสัยเลย”
เเกแน่ใจหรือว่าเห็นมันถูกต้องดี ไหนลองบอกเราทีว่าเธอดูเหมือนอะไร”
เธอมีผมสีดำ มันสวยงามมาก
ผมสีแดงของเธอดูราวกับว่ามันถูกไฟไหม้ ช่างน่าขยะแขยง”
“ถ้านังนั่นมีหัวเดียว ก็จะมีผมชุดเดียว และข้าแน่ใจว่ามันจะมีขนสีเดียวเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น เธอกลับก็มีผมสองสีและผมสองชุด กล่าวอีกนัยหนึ่งเจ้านั่นมันเหมือนสุนัขตัวเมียมีสองหัว เเต่เพราะจากเราได้หัวปีศาจมาสองหัว มันคงจะดีไม่น้อยถ้ามีคนมอบตำแหน่งอันสูงส่งให้ข้าตอนนี้สักที”
“เธอช่างสูง! สูงส่งจริงๆ!”
“เเต่เท่าที่ข้าเห็น มันก็เเค่นังเตี้ย”
“สิ่งหนึ่งที่แน่นอนในตอนนี้ ความจริงที่ว่านัยตาทั้งสองข้างของเเกมันมืดบอด หากเเกพิจารณาถึงความเป็นจริงที่ยากกว่าจะยอมรับได้ ข้าคงรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยข้าก็บอกถึงความจริงที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นนี้ออกไปได้
‘มีฝนตกลงมากเกินไป ไอ้หน้าฝนนั่น ฝนบ้าๆนี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ฝนต้นฤดูใบไม้ผลิมันจะตกลงมามากขนาดนี้เลยเหรอ? หรือว่ามันเริ่มจะแปลกๆเเล้วล่ะ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้มาที่ๆมันทุรกันดารแบบนี้ ข้าเลยไม่รู้อะไรเลย”
“ถ้าฝนมันจะตกเมื่อมันตกลงมา ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก คงจะน่าอายไม่น้อยถ้าเเกชี้ไปที่ฝนที่กำลังตกและบอกให้มันหยุด มันไม่มีประโยชน์เท่ากับการชี้ไปที่ฝนที่ยังไม่ตกและสั่งให้ตกลงมาน่ะเเหละ”
‘คำพูดของเเกเเม่งกลวงโบ๋พอๆสมองของเเกเลยว่ะ แม้ว่าความโง่ของเเกจะไม่ใช่เรื่องใหม่กับข้าก็ตามเหอะ”
“ถ้างั้นเเล้ว? เเกเห็นนางหรือไม่ล่ะ?’
เเกจะทำอะไรถ้าเราเห็นนาง และเเกจะทำอะไรถ้าเราไม่เห็นกันล่ะ? ถ้าเราเห็นนาง เราก็จะได้อธิบายสิ่งที่เราไม่เคยเห็น และถ้าเราไม่เห็นนาง เราก็แค่อธิบายสิ่งที่เราเห็นเเต่ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่ก็ตาม นังนั่นก็ยังคงเป็นนังเลว นังบ้า และนังตัวต่อไปอยู่ดี นี่คือสิ่งที่เรากำหนดไว้เเล้ว ดังนั้นการได้พบนางหรือไม่เห็นนางจึงเป็นคำถามรองอยู่ดี”
“ถ้าข้าเห็นมันหรือไม่ก็ไม่สำคัญเเล้ว ถ้าเป็นไปได้ข้าไม่อยากไปเจอมัน ข้าจะตายถ้าไปเจอมัน ข้าได้ยินมาว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของหญิงสาวนั้นหยิบหัวของสหายของเราทุกคนกลับไไปด้วย”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าเธอสวยจริงๆนะ”
“เออข้าก็ได้ยินมาว่าเสียงของนางค่อนข้างละมุนเช่นกัน”
“ข้ายังต้องการที่จะมีชีวิตอยู่.”
“แม้ว่าข้าจะตาย อย่างน้อยข้าก็อยากจะตายหลังจากได้เห็นดอกไม้ผลิบาน แม้ว่าข้าอาจจะอยากมีชีวิตอยู่มากกว่านี้ แทนที่จะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ถ้าข้าเห็นดอกไม้ผลิบาน ข้าก็แค่คิดว่ามันมากเกินไปหน่อยที่อย่างน้อยเมื่อตายไปจะไม่มีดอกไม้อยู่ข้างๆข้าเลยแม้แต่ดอกเดียว”
“อืมจริงด้วย. ข้ายังไม่อยากตาย”
“ข้าฟังเเกอยู่.”
“ข้าสัญญากับน้องชายของข้าว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งด้วยกันเมื่อดอกซากุระบานในปีนี้”
“อ้าวเเกไม่ได้บอกว่าพี่น้องของเเกตายไปเเล้วเรอะ?”
‘นั่นเเหละคือท่อนฮุคของมุขตลกร้ายของข้าไง’
‘ทำไมพวกมันถึงพยายามจะฆ่าเราอยู่เรื่อยๆเลย’
‘ทำไมนายพลของเราถึงส่งเราไปตายต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ชัดเจนว่าเราจะต้องตายเเน่ๆ’
‘นั่นเป็นเพราะทุกคนเป็นไอ้สารเลวไงล่ะ’
‘คำนั้นล้วนถูกต้อง ทุกคนๆล้วนเป็นตัวร้าย”
‘พวกเราเองก็ไม่ใช่คนนิสัยดีเหมือนกัน’
‘พวกมันเป็นพวกปัญญาอ่อนและพวกเราก็เป็นพวกปัญญาอ่อนเช่นกัน แต่ทำไมพวกปัญญาอ่อนที่ตายต้องเป็นพวกเราพวกเดียวด้วยวะ’
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………