Dungeon Defence – ตอนที่ 94

▯ราชาแห่งไพร่ อันดับ 71 ดันทาเลียน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7

ที่ราบบรูโน กองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว คุกธรรมดา

 

 

“ว่าไง ดันทาเลียน นายอัจฉริยะที่จ่าหน้าซองถึงตัวเอง”

 

กลางคืนที่อากาศเจือจาง ฝนที่หยุดตกในตอนเย็นยังคงล่องลอยอยู่ในอากาศ แม้ว่าแสงคบเพลิงจะทำให้เงาวูบวาบเหมือนไอน้ำ ทำให้เห็นโครงร่างที่ดูเลือนลาง แทนที่จะยืนอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าเท้าครึ่งหนึ่งของบาร์บาทอสจมปลักอยู่กับโคลนสีดำ

 

“อิย๊าาาา ดูเหมือนว่าชีวิตในคุกจะต้องเหมาะสมกับร่างกายของเเกเเป็นเเน่ละ ดูได้จากใบหน้าของเเกที่ทำหน้าโง่ๆคุ้มค่ากับที่รอคอยจริงๆ ไอ้เจ้าเด็กน่าร๊ากก มันไม่เสียเวลาข้าเลยได้ส่งเเกเข้าคุก”

 

แม้ว่าจะเป็นเงาตะคุ่มและไม่ชัดเจน เเต่โอกาสที่บาร์บาทอสจะจางหายไปมันจะไม่เกิดขึ้น เสียงของเธอ มันเป็นเสียงของเธอที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แม้ว่า บาบาร์ทอส จะหัวเราะออกมาได้ง่าย แต่การหัวเราะแต่ละครั้งนั้นเต็มไปด้วยความเข้มข้นที่ก่อตัวขึ้นจากภายในใจส่วนลึกสุดของเธอ ทุกครั้งที่เธอหัวเราะ ผมจะรู้สึกเหมือนเห็นบ่อน้ำที่มองไม่เห็นก้นบึ้งตรงนั้น

 

“······”

 

ผมรู้อยู่เเล้วว่าเธอจะมา

 

จิตใจของผมพร้อมจะรับมืออยู่เเล้ว

 

อย่างไรก็ตาม มันยังมีสิ่งหนึ่ง หากสิ่งหนึ่งนั้นที่ผมไม่ได้คาดเดาไว้ นั่นคือความจริงที่ว่า บาร์บาทอส ไม่ได้มาที่นี่เพียงลำพัง บาร์บาทอสมาถึงขณะที่กำลังลากผมของใครบางคนมาด้วย หัวใจของผมเยือกเเข็งลงทันที ผมล่ะสงสัยว่าเธอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิจากการจ้องมองของผมหรือไม่ เพราะบาร์บาทอสได้้หัวเราะออกมาเบาๆ

 

“อ๊า. เจ้านี่น่ะเหรอ? ตอนที่ข้ากำลังเดินทางมาที่นี่ จู่ๆก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา ตอนที่เเกกับผู้หญิงคนนี้ทะเลาะกันเมื่อนานมาแล้ว ข้าได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับความสัมพันธ์แก่เเกใช่ไหม อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกกลับรู้สึกเหมือนพวกเเกสองตัวไม่ค่อยมีเวลาให้กันเลยในช่วงนี้”

 

ลาพิส.

 

ลาพิส ลาซูลี. คนรักของผม.

 

คนรักของผมซึ่งมีผมสีชมพูสวยและดวงตาสีฟ้าวิตร นอนแผ่หลาอย่างแผ่วเบาในขณะที่อยู่ในร่างเปลือยเปล่าและแปดเปื้อนไปด้วยรอยแส้และรอยไหม้ทั่วร่างกายของเธอ บาร์ทอส เคาะหัวของ ลาพิส

 

“ก็เลยใช้เหตุผลนี้ทำให้พวกเเกมีเวลาด้วยกันมากขึ้นไงล่ะ”

 

“······”

 

“ว้าว. ไอ้สารเลว ดูหน้าเเกตอนนี้สิ ดูเหมือนว่าตอนนี้เเกตั้งใจจะฆ่าข้าเลยนะ รู้ไหม? หืม? จริงสิ เเกเล่นข้าในสนามรบซะอ่วมเลยนี่ ทำไมเเกถึงไม่ทำอะไรอย่างเอาชีวิตข้าไปด้วยเลยล่ะ”

 

บาร์บาทอส

 

นั่นสินะ

 

“อะไร?”

 

เธอยิ้มกว้าง

 

“เป็นครั้งเเรกที่เเกเพิ่งเจอกับนังกะหรี่ตัวนี้เรอะ”

 

ผมปิดปากตัวเอง

 

 

 

อีกฝ่ายมีตัวประกัน ตัวประกันเป็นเครื่องมือที่สามารถจัดการด้วยวิธีใดก็ตามที่อีกฝ่ายเห็นว่าเหมาะสม ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่จะแสดงพลังที่เหนือกว่าให้ผมเห็น กล่าวอีกนัยหนึ่ง เนื่องจากเป็นระเบิดที่สามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ จึงต้องรีบจัดการ และผมต้องไม่ผลีผลามต่อบุคคลที่พยายามโอ้อวดความแข็งแกร่งของตัวเอง เเต่เพราะจากที่ผมยังคงไม่ตอบสนองใดๆออกไป บาร์บาทอส จึงส่งเสียง ‘ฮืมมม’ ยาวออกมาด้วยจมูกของเธอ

“ก็ได้. ข้าชอบที่เเกยังทำตัวดีอยู่ ดูเหมือนว่าเเกก็รู้สถานะตัวเองดีแล้วนี่ เพราะจากทั้งเเกและข้ามีความสัมพันธ์ที่เราได้เห็นทุกสิ่งที่สามารถมองเห็นได้มาร่วมกันเเล้วหรอกนะ ข้าจะไม่ยืดเยื้อเเล้วกัน ขอโทษข้าซะ.”

 

“ขอโทษเหรอ?”

 

“ใช่. ขอโทษข้าที่เเกดันมาเปลี่ยนคนพูดวจนะตามที่เเกชอบ ขอโทษที่เเกขอให้มีการพิจารณาคดีทางทหาร และเหนือสิ่งอื่นใด ขอโทษที่ปฏิบัติต่อทหารของข้าเหมือนของเล่น ราวกับว่าสนามรบเป็นสนามเด็กเล่นซะดันทาเลี่ยน

 

บาร์บาทอาเปล่งเสียง ‘อ๊าาา’ ออกมาก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเพิ่มเป็นอย่างอื่น

 

“โอ้ใช่. ข้าไม่อนุญาตให้เเกแก้ตัวด้วย ไอ้บางอย่างแบบ ‘นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของผมหรอกนะ’ ไอ้คำขยะแบบนั้น เมื่อใดก็ตามที่ข้าได้ยินเรื่องขยะ ข้ารู้สึกราวกับว่าเเกเเม่งก็เป็นขยะ แต่ในทางกลับกัน ข้าก็รู้สึกเหมือนกันพวกเเกปฏิบัติกับข้าเหมือนขยะไม่ต่างกันเลย มันอาจจะเป็นความรู้สึกของข้าที่สับสนไปเอง แต่มันก็ไม่ถูกต้องทั้งหมดเรอะ ไอ้การกระทำที่ข้าโดนเมื่อมันเกิดขึ้นมาเเล้ว ไอ้คนที่เราควรค่าที่จะแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายไม่กลายเป็นลูกหมางั้นหรอกใช่ไหม?”   (ถ้างงท่อนนี้ก็ย้อนไปอ่านอีกรอบนะ)

 

บาร์บาบทอส เหวี่ยง ลาพิส ไปข้างหน้า เธอสลบไปเเล้วหรือเปล่านะ? ลาพิสไม่ได้ส่งเสียงครวญครางออกมาแม้แต่คำเดียวและล้มลงบนพื้นไป

 

“วิธีการขอโทษก็ง่ายโคตรๆ ขั้นแรก ให้เอาหัวของไอ้เด็กผู้หญิงคนนั้นไปไว้ตรงนั้นด้วยมือของเเกเอง ต่อไป เชือดคอไอ้ลูกครึ่งนี่ด้วยมือเเกเอง สุดท้ายข้าจะเอาเเขนเเกไปด้วยข้างหนึ่ง ว่าไง? ง่ายใช่มั้ย? คำขอโทษต้องมีความสำคัญ จริงใจ และซื่อตรง แม้ว่าคนที่อวดดีเช่นเเกอาจไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ดี แต่เดิมเเล้วคำขอโทษก็เป็นแบบนี้เเหละ มันยากใช่ไหม?ถ้ามันยากมากนัก งั้นเเล้วนั่นเเหละถึงเป็นเหตุผลที่เเกไม่ควรทำผิดพลาดตั้งแต่แรก”

 

“······”

 

“ทหารสี่พันคนได้ตายลง”

 

บาร์บาทอส เหยียบหัวของ ลาพิส ด้วยเท้าขวาของเธอ บาบาร์ทอส เป็นคนที่โอ้อวดความแข็งแกร่งในหมู่ เหล่าจอมมาร หากในชั่วพริบตานี้ เธอเพิ่มแรงแม้แต่นิดเดียวที่เท้าของเธอ หัวของลาพิสคงจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ

 

“สี่พันคนรู้ไหม? แค่ทหารของข้าฝ่ายเดียวสี่พันคนถูกฆ่าตายเพราะสิ่งที่เรียกว่าความสนุกไปกับเกมของเเกกับนังนั่น นี่มันดูไม่แปลกในสายตาเเกเลยเหรอ?”

 

“บาร์บาทอส ทุกคนๆล้วนตายในสงครามอยู่เเ้ลว”

 

“เออใช่ แต่พวกเขาไม่ได้ตายเหมือนเป็นเรื่องตลก นั่นคือส่วนที่สำคัญ ความจริงคือทุกการตายต้องมีความหมายด้วย ด้วยความคิดเเค่นั้นเพียงอย่างเดียวก็พอให้คนอย่างเราก้าวเข้าสู่สงครามได้เเล้ว”

 

บาร์บาทอส ดึงมีดสั้นออกจากเสื้อของตัวเอง จากนั้นเธอก็จับศีรษะของลาพิสยกขึ้นอีกครั้งและวางใบมีดไว้ที่แก้มของลาพิส ในขณะนั้นเองที่ลาพิสลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

สายตาของเราสบกัน

 

“······”

 

“······”

 

ทั้งที่เราไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

 

ทั้ง ลาพิส และผมได้พูดคุยเเละจบการสนทนาของเราในชั่วพริบตา

 

ไม่ว่าเธอจะรู้หรือไม่ก็ตาม บาร์บาทอส ยังคงแสดงทัศนคติที่ร่าเริงและตลกขบขันต่อไป แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่คมดาบก็แทงเข้าที่ผิวหนังของลาพิส เลือดสีแดงที่ก่อตัวชัดเจนในดวงตาของผม

 

“ข้าไม่ได้ไว้ใจเเกเป็นพิเศษตั้งแต่แรก ดันทาเลี่ยน ความไว้ใจของข้ามันไม่พอในความสัมพันธ์ของเราเเล้ว”

 

“น่าผิดหวังที่ได้ยิน แต่ผมก็เคยช่วยชีวิตเธอและกองกำลังของเธอมาก่อนใช่ไหม ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเราสามารถสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้อยู่ ผมไม่ต้องการให้ความไว้ใจของเราจบลง”

 

“ภาษาของฮับส์บวร์ก”

 

บาร์บาทอสยิ้ม

 

“ข้ารู้วิธีพูดภาษามนุษย์อยู่เเล้ว ไอ้ปัญญาอ่อน”

 

“······”

 

“มีอะไรมาสะกิดทิ่มแทงมโนธรรมของเเกอยู่หรือเปล่า”

 

ผมนึกถึงเสียงหัวเราะแหลมคมในหัวตอนนั้นทันที

 

 

⎯⎯ เฮ้ย? ดันทาเลี่ยน พวกมันกำลังพล่ามอะไรกัน?

 

 

ก่อนที่สงครามจะยังไม่เริ่มขึ้น ในช่วงเวลาที่ทั้งผมและบาร์บาทอสอยู่ในช่วงที่ไฟลุกไหม้เทือกเขา ทุกครั้งที่เราลงโทษชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อไฟไหม้ บาร์บาทอสได้ให้ผมแปลภาษาให้ นั่นเป็นเพราะจอมมารผู้หยิ่งยโสไม่เชื่อว่าจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับภาษามนุษย์ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่อย่างนั้นเลย? เธอรู้ภาษาอยู่เเล้ว? แม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้ว แต่เธอก็แสร้งทำเป็นไม่รู้และคอยดูว่าผมจะตีความคำพูดของพวกเขาอย่างไร เธอทดสอบผมเพื่อดูว่าไว้ใจได้หรือไม่ เพื่อดูว่าเธอจะไว้ใจผมได้แค่ไหน ในตอนนั้นนี่เอง······?

ผู้แปล:(เชี่ยเหลี่ยมตั้งเเต่ผมเริ่มแปลเเล้วหรอเนี่ย)

 

ในเวลานั้น ผมไม่ได้ตีความคำพูดให้เหมือนกับที่ชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อพูด ผมปฏิบัติต่อพวกไพร่ด้วยความเห็นอกเห็นใจตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ในสายตาของ บาร์บาทอส ดูเหมือนว่าผมกำลังบิดเบือนข้อมูลอยู่ เธอเลยไม่สามารถไว้วางใจได้อย่างสมบูรณ์ ผมไม่สามารถโต้แย้งเป็นอื่นได้เลย······เเต่ อย่างไรก็ตาม ผมเองก็มีเรื่องจะท้วงตอบโต้ออกไปได้เหมือนกัน

 

“ถูกตัองเเล้ว. มีอะไรมาสะกิดมโนธรรมของผมจริงๆ เเต่แล้วไง เธอต้องการให้เกิดสงครามขึ้น ดังนั้นผมเองจึงให้ของขวัญแก่เธอในสงคราม เธอต้องการได้รับชัยชนะ ดังนั้นผมจึงมอบชัยชนะให้กับเธอ ผมได้ให้ทุกสิ่งที่เธอต้องการจนถึงตอนนี้ ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ไว้ใจผมเพียงเพราะข้อผิดพลาดเล็กน้อยในการแปลใช่ไหม ช่างมีจิตใจที่คับแคบเสียจริงนะ”

 

“ฮะ หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ไอ้คุณดันทาเลียน ไม่ว่าจะเป็นสงครามหรือชัยชนะ นั่นคือสิ่งที่เราทั้งคู่ต้องการ ทำไมเเกถึงพยายามทำตัวเป็นเหมือนเป็นคนเเจกของขวัญอะไรก็ได้ที่ข้าขอล่ะ อยากเห็นรอยใบมีดสวยๆ ที่คอของนังนี่เลยเอาไหม?”

 

บาร์บาทอส วางกริชใกล้กับคอของ ลาพิส ขณะที่พูดประชดประชัน ลาพิสจ้องมาที่ผมโดยที่ไม่สะทกสะท้านกับมีดที่จออยู่นั้นเลย

 

อา บาร์บาทอส เธอได้ทำผิดพลาดที่สำคัญเเล้ว ลาพิส ไม่ใช่จุดอ่อนของผม เธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่จะไม่ยกโทษให้ตัวเองเด็ดขาดหากเธอรู้สึกแย่กับความอ่อนแอของผมเอง ลาพิสกับผมทำให้กันและกันแข็งแกร่งขึ้น ผมสามารถมีชีวิตอยู่ได้ เพราะการจ้องมองที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเธอ

 

“คำพูดของเธอถูกต้องบาร์บาทอส เธอและผมต่างโหยหาสงครามและกระหายในชัยชนะ เพราะเช่นนั้น เธอก็จงอย่าฆ่าข้าราชบริพารของผม”

 

“ฮะ?”

 

“แกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ? หรือไม่รู้เรื่องจริงๆ? เธอผ่านประสบการณ์การต่อสู้ในวันนี้เเล้วนี่ ตอนนี้เธอน่าจะรู้ตัวได้แล้วนะ”

 

ผมพูดอย่างใจเย็น ผมพูดความจริงที่ บาร์บาทอส ไม่ต้องการที่จะได้ยินบนริมฝีปากของผม ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะเปล่งเสียงความจริงที่ ราชินีสีเงิน (Queen of Silver) ไม่ต้องการเผชิญหน้าอย่างแน่นอน

 

“แม่ทัพขอผมและองค์หญิงแห่งจักรวรรดิมีความสามารถมากกว่าเธอ”

 

กึก.

 

ร่างกายของ บาร์บาทอส แข็งไปชั่วขณะ

 

ผมรู้สึกได้ว่าลมหายใจของเธอเย็นลง ความเงียบปกคลุมรอบตัวเราอย่างสมบูรณ์ ความชื้นที่ก่อตัวขึ้นบนราวเหล็กในคุกของผมรวมตัวกันเป็นหยดน้ำและไหลลงมา บาร์บาทอสนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นทั้งลอร่า ลาพิส และผมจึงทนลมหนาวอย่างเงียบๆ เนื่องจากไม่มีการตอบรับเป็นเวลานาน ผมจึงเป็นฝ่ายเปิดปากออกมาก่อน

 

“ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกต้อนจนเกือบพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือขององค์หญิงจักพรรดิ แม้ว่าเธอจะอ้างว่าเป็นเพราะความพ่ายแพ้ย่อยยับของ มาร์บาส แต่ถ้าเธอมีความสามารถมากกว่าเจ้าหญิงจริงล่ะก็ เธอคงจะไม่ถูกบังคับให้อยู่ในตำแหน่งป้องกันเช่นนี้หรอก ตัวผมและเเม่ทัพฟาร์นาเซไม่มาช่วยเธอทันเวลา พันธมิตรจันทร์เสั้ยว ก็คงจะถูกมนุษย์ขโมยพื้นที่ราบสุดท้ายที่เหลืออยู่ไปจากเราเเล้ว”

 

“······”

 

“นอกจากนี้ วันนี้เธอยังไม่สามารถคาดเดาการโจมตีที่ไม่คาดคิดของเจ้าหญิงได้เลย หากเธอรู้วิธีพูดภาษาฮับสบวร์ก นั่นยิ่งเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เเน่ๆ เหตุใดจึงไม่สามารถมองเห็นกองทัพของจักรวรรดิฮับส์บวร์กได้ ทั้งๆ ที่กองทัพของทุกชาติมารวมตัวกัน เธอน่าจะสังเกตเห็นภัยคุกคามที่กำลังใกล้เข้ามาท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักได้นี่ แม้ว่าเธอจะมีโอกาสที่จะรับรู้เช่นนั้น แต่เธอก็ไม่เเม้จะสามารถได้”

 

ผมขอโทษ บาร์บาทอส

 

แต่เหล่าจอมมารตอนนี้ต้องรับรู้ถึงการกระตุ้นนี้ได้เเล้ว หากเวลายังคงไหลไปเช่นนี้ เธอก็จะไม่สามารถทำนายความจริงได้ว่าเผ่าปีศาจทั้งหมดจะถูกกำจัดโดยมนุษย์ได้ เธอมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากเกินไป หน้าที่ของผมคือทำลายความเย่อหยิ่งของเธอ ดังนั้นผมจึงจะบอกเธอ

 

“เเน่ล่ะ เธอบอกว่าทหารสี่พันนายเสียชีวิตงั้นเหรอ? นั่นเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ผมขอแสดงความเสียใจกับเธอด้วยเเต่ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ความผิดพลาดของ ฟาร์นาเซ่ ไม่ใช่ความผิดพลาดของผมและนั่นไม่ใช่ความผิดพลาดของเจ้าหญิง สิ่งที่เราทำคือทำให้เต็มที่ในตำแหน่งหน้าที่ของเรา บาร์บาทอส วันนี้เธอได้สูญเสียทหารไปสี่พันนาย······”

 

“······”

 

“นั่นก็เป็นเพียงเพราะเธอมีความสามารถน้อยกว่าเรา”

 

แม้ว่าจะต้องเสียใจอย่างล้นพ้น

 

บาร์บาทอส กลายเป็นว่าแม้แต่เธอ เธอที่ส่องแสงเจิดจรัสราวกับทุ่งหิมะในคืนเดือนมืดที่มืดมิด ก็ยังมีความสามารถน้อยกว่าคนอื่น เธออาจแสดงบทบาทสนับสนุนบนเวทีได้ แต่เธอไม่สามารถแสดงบทนำได้ นั่นคือขีดจำกัดของเธอ

 

แม้แต่ตัวเธอเองก็ควรจะรู้สึกถึงความไม่ชัดเจน ความจริงที่ทหารของเธอต้องเผชิญกับความตายเพราะเธอไม่สามารถสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของกองทหารข้าศึกได้ ความจริงที่ว่าชีวิตของผู้ชายของเธอแขวนชีวิตอยู่บนไหล่ของเธอเองและเธอไม่สามารถเลี่ยงความรับผิดชอบให้กับคนได้ เธอโกรธมากเพราะเธอเกลียดและเสียใจในตัวเอง

 

อา บาร์บาทส จอมมาร ผู้ซึ่งหัวเราะอย่างไร้ความปรานี จอมปีศาจผู้ศักดิ์สิทธิ์และไม่มีใครล่วงเกินได้ ผู้ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ผู้เป็นผู้นำของหมู่มวลปีศาจในหมู่จอมมารทั้ง 72 ตนของผู้นำเหล่าปีศาจทั้งหมด เธอไม่สามารถจัดการกระเเสเเห่งยุคนี้ได้ด้วยตัวเธอเอง เธอถูกกำหนดให้ในอีก10ปีข้างหน้านี้จะเป็นฤดูกาลเวลาที่โหดร้ายสำหรับเธอเเน่ เเละยิ่งกว่านั้น บุคคลที่ถูกลิขิตให้เป็นนักแสดงนำได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เอลิซาเบธ ฟอน ฮับส์บวร์ก, ลอรา เดอ ฟาร์นาเซ และผู้กล้าที่ในอีกสักวันจะมาถึง······ พวกเขาจะเขียนบทกวีมหากาพย์เกี่ยวกับทวีปที่รวมกันเป็นอาณาจักรเดียว และเธอจะกลายเป็นเพลงที่หยุดลงพบกับจุดจบและลบเลือนหายไป

 

อย่างไรก็ตาม.

 

“ให้ผมมีชีวิตอยู่”

 

ผมยังอยู่ที่นี่

 

“เราจักให้สงครามแก่เจ้า ข้าจักมอบชัยชนะเเก่เจ้า ข้าขอเสนออนาคตที่ปราศจากความพ่ายแพ้แก่เจ้า ข้าจักแสดงพื้นที่อันอบอุ่นเพื่อเผ่าปีศาจของเรา ข้าไม่สนหรอกว่าใครจะครอบครองเกียรติยศและศักดิ์ศรีแต่เพียงผู้เดียว บาร์บาทอส พวกเจ้าทุกคนสามารถคว้าเอาความภาคภูมิใจและชื่อเสียงมาได้ เเต่ข้าขอเพียงสิ่งเดียว”

 

เรื่องง่ายๆ

 

ดังนั้น.

 

“ไว้ชีวิตผมและข้าราชบริพาร”

 

ความเงียบเข้าปกคลุม

 

บาร์บาทอสเปิดปากของเธอ ด้วยริมฝีปากที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์ขันหลงเหลืออยู่อีกต่อไป

 

“คำที่พูดออกมานั้น”

 

“······”

 

“เเกรับผิดชอบพวกมันได้ใช่ไหม”

 

ผมผงกศีรษะ

 

ให้เราร่วมมือกัน แม้เเต่เธอก็จะมีโอกาสร่วมด้วย ถ้าเราทุกคนจับมือกัน เราจะเอาชนะทุกสิ่งได้⎯⎯⎯⎯ใน อีกด้านหนึ่งของที่ราบนี้ มีเจ้าหญิงผู้ซึ่งกำลังจะเป็นฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ถ้าผมจะยืนหยัดต่อสู้กับเธอ ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นฝันร้ายเช่นกัน

 

และผมก็ไม่คิดว่าการกลายเป็นฝันร้ายเป็นเรื่องน่าขยะแขยงหรือมองว่าเป็นงานที่ลำบาก มันเป็นเพียงโอกาสที่น่ายินดีสำหรับผม โชคดีแค่ไหนที่ผมได้รับบทนั้น! เธอควรจะมีความสุขให้มากนะ บาร์บาทอส แม้ว่าว่าเธอจะรู้สึกเสียใจที่ทหาร 4,000 นายได้ตายไป แต่ผมสามารถหัวเราะต่อไปได้แม้ว่าผมจะสังหารผู้คนไป 4 ล้านคนก็ตาม ยินดีต้อนรับความจริงที่ว่าผมเป็นลูกชายที่ซื่อสัตย์ของสุนัขตัวเมียตัวนี้ ผมจะพาเธอไปเอง ผมจะรับผิดชอบทุกสิ่งเอง

 

“สี่ร้อยปี”

 

ผมพูด

 

“เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสี่ร้อยปี การเดินทางของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ยังคงล้มเหลวทุกครั้ง เหตุผลเบื้องหลังไม่ใช่เพราะเธออ่อนแอ ตรงกันข้ามเลย มันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกเธอทุกคนล้วนแข็งแกร่งเกินไป”

 

“······เเกกำลังพูดเรื่องอะไร”

 

“ดูซะ. แม้ว่าเราจะเป็น พันธมิตรจันทร์เสี้ยวเเล้ว ก็ตาม เเต่ก็มีเพียงครึ่งหนึ่งของเหล่าจอมมารที่อาศัยอยู่ในทวีปปีศาจเท่านั้นที่เข้าร่วม อันดับ 1 ถึงอันดับ 4 ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเดินทัพด้วยซ้ำ บุคคลเพียงกลุ่มเดียวในหมู่จอมมารอันดับสูงสุดที่เข้าร่วมในสงครามคือเธอ ไพม่อน และ มาร์บาส ถึงกระนั้นเราก็มีกองทัพขนาดใหญ่นับแสนได้อย่างน่าประหลาดใจ”

 

แม้ว่าประเทศใดประเทศหนึ่งจะรวมกำลังทหารเท่าที่ทำได้ ก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะมีกำลังทหารเกิน 40,000 นาย พวกครูเซดซึ่งเป็นกองกำลังที่สร้างขึ้นหลังจากที่ทุกชาติรวมกันและรวบรวมกำลังทหารเท่าที่ทำได้ มีทหารไม่เกินหนึ่งแสนคน แน่นอนว่านั่นอาจไม่ใช่ความแข็งแกร่งสูงสุดของพวกเขา เเต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่าปีศาจนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์โดยเฉลี่ยเเล้ว ในแง่ของอำนาจทางทหาร ช่องว่างระหว่าง พันธมิตรจันทร์เสี้ยว และ พวกครูเซด ก็ยิ่งห่างกันมากขึ้น

ผู้แปล:(หมายถึงกำลังปีศาจ1 คน มากกว่าทหารธรรมดา 1 คน)

 

“ผมจะพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ในทวีปปีศาจทั้งหมด จอมมารที่ต้องการชัยชนะอย่างจริงใจล้วนเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ สำหรับจอมมารคนอื่นๆ ดินแดนที่เป็นของมนุษย์ไม่มีอะไรมากไปกว่ารังของแมลงที่พวกเขาสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดายหากพวกเขาใส่ใจกับมันมากพอ”

 

“······”

 

“ถ้าไอ้พวกจอมมารที่ไม่เข้าร่วมจะกลัวจะมีอะไรมากไปกว่าพวกเธอ”

 

“······เหล่าจอมมาร กลัว จอมมารด้วยกันเองเรอะ?”

 

ถูกต้องแล้ว.

 

ผมไม่เคยคิดว่ามันน่าเบื่อเลย

 

การเป็นกษัตริย์คือจุดสูงสุดของผู้มีอำนาจที่มีบทบาทชี้นำประชาชน อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมหาศาลถึง 72 คนที่ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดในทวีปปีศาจ ผมไม่ได้ประณามว่าทวีปปีศาจมีระบบการปกครองคล้ายกับชนเผ่าโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ

 

เหตุผลเดียวที่สังคมงี่เง่านี้ยังคงอยู่ได้ก็เพราะมีศัตรูร่วมกัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เพราะมีสงครามยืดเยื้อของมนุษย์ เเต่จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้ามนุษยชาติหายไป? เช่นเดียวกับที่ บาร์บาทอส ปรารถนา จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เราสามารถพิชิตทวีปมนุษย์ได้อย่างแท้จริงกันหนอ?

 

“มันง่ายมาก บาร์บาทอส หลังจากบดขยี้มนุษยชาติทั้งหมดแล้ว เหล่าจอมมาร จะเริ่มสงครามกลางเมืองกันเองอย่างไม่ต้องสงสัยเพื่อยกตนว่าใครมีอำนาจมากที่สุดระหว่างกันเองไงล่ะ”

 

บาร์บาทอสขมวดคิ้ว แท้จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่อุทิศชีวิตเพื่อพิชิตทวีป เธอไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกและตำแหน่งของ เหล่าจอมมารขยะตนอื่นๆ  ที่ไม่มีความสนใจในเหตุผลและมุ่งทไปที่เพียงความปลอดภัยของตนเองเท่านั้น

 

“เมื่อวันนั้นมาถึง เธอคิดว่่าจอมมารคนไหนจะได้เปรียบกันล่ะ? อันดับ 1 บาอัล? อันดับ 2 อากาเรส? อันดับ 3 หรืออาจจะเป็นอันดับ 4? ไม่ นั่นใช่ตัวเลือกพวกนั้นแน่นอน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีเป็นกลุ่มได้เเละกลุ่มที่พวกมันกลัวที่สุดก็คือ”

 

ผมหัวเราะเบา ๆ

 

“พวกเธอไม่ใช่หรือ.”

 

“······”

 

“บาร์บาทอส ไพม่อน. ผู้บัญชาการกองพลเช่นพวกเธอเองที่ใช้จอมมารคนอื่นเป็นกำลังทางทหารของตัวเอง จอมมารในหมู่มวลเเห่งจอมมาร. ในช่วงภาวะอนาธิปไตยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากการกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์สิ้นไป พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลัวคนอย่างเธอที่เคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มมากที่สุดเเล้ว”

 

นี่เป็นความจริงที่ชัดเจนในตัวเองอย่างเเท้จริง

 

เพราะพวกเขารู้ว่าตนจะเป็นรายต่อไปเมื่อถึงคราวที่มนุษย์ต้องล่มสลาย

 

ผมแน่ใจว่า เหล่าจอมมาร ที่ไม่ได้เข้าร่วมในการเดินทางของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว นี้กำลังวางแผนอย่างสิ้นหวังเพื่อทำให้สงครามล้มเหลว

 

เเละความจริงที่ว่า พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ประสบกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด 400 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อย่างมากที่สุดไพม่อน ก็แค่พยายามหยุดผม เเต่เธอไม่เคยพยายามทำให้ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว โกลาหล ผู้คนที่ชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์กว่า ไพม่อน  กำลังซุ่มซ่อนอยู่ทางด้านหลังของทวีปปีศาจ

 

“คนทรยศ ฝ่ายเราเต็มไปด้วยคนทรยศ เธอกล่าวหาว่าผมกระทำการทรยศต่อเชื้อชาติ อย่างไรก็ตาม ระดับความผิดของผมมันค่อนข้างต่ำต้อยไปอยู่ในระดับปานกลางไปเลยเเม้เทียบกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญ แม้ว่าผมจะหลอกเธอแค่ 20 นาทีในช่วงระยะเวลาของการสุนทรพจน์ แต่เหล่าจอมมาร เหล่านั้นเเหละที่เเท้จริงเเล้วทำร้ายพวกพ้องของตัวเองตลอด 400 ปีที่ผ่านมา”

 

“······”

 

“ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วหรือยังว่าทำไมถึงต้องไว้ชีวิตผม”

 

ศัตรูของเราอยู่รอบตัวเรา

 

ด้านหน้าคือผู้กล้าผู้มีเอกลักษณ์ที่รู้จักกันในนามเจ้าหญิงเอลิซาเบธของจักรวรรดิ

 

ด้านหลัง เหล่าจอมมาร ที่ทรงพลังเริ่มจากอันดับ 1 ถึงอันดับ 4

 

พวกเขากดดัน คุกคาม และขู่เข็ญเราจากทั้งสองด้าน จนสุดท้ายเราต้องพบกับการทำลายล้างซึ่งกันและกัน

 

ผมยื่นแขนขวาออกไปผ่านลูกกรงเหล็ก

 

“เราไม่มีเวลามาต่อสู้กันเองเเล้ว จับมือผมไว้ ให้เราเฟ้นหัวคนทรยศ และถ้าเรามีเวลาว่างพอ ก็ให้เราจมเรือของเจ้าหญิงจักพรรดิด้วยซะ เมื่อเราทำทั้งหมดแล้ว เราจะสถาปนาสังคมที่เราปกครองขึ้นมาด้วยกัน”

 

แม้จะถูกขังอยู่หลังลูกกรงเหล่านี้ แต่คนที่ต้องมาหาผมก็มาหมดแล้ว จากจุดเริ่มต้นที่ต้องเดินทางไปหาหลายๆคน เเต่เพราะผมไม่ต้องเดินทางไปไหน ผมจึงเป็นอิสระ

 

ผมยังอยู่ที่นี่ในคุกเเห่งนี้

 

 

 

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

 

แปลให้ตอนสุดท้ายของปี ไว้เจอกันใหม่ปีหน้าวันไหนเวลาไหนบอกหรอกเเต่ที่จะบอกคือสปอยตอนหน้า เป็นตอนที่ผมอวยคนนี้ล้วนๆนั่นคือไพม่อนนั่นเอง ว่าจะแปลตอนหน้ายิงยาวให้จบเเชปเตอร์ไปเลยซึ่งเเม่งยาวชิหัย เเล้วก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าด้วยนะครับทุกคน ขอให้ปลอดภัย สุขภาพดี เฮงๆรวยๆ สมหวังในความรัก มีเเต่คนรักไม่มีคนเกลียด หล่อสวยรวยเพื่อน หน้าที่การงานมั่นคง สอบได้เกรดดีๆ ไปละบัยส์

 

 

 

……………………………..

 

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset