Dungeon Defence – ตอนที่ 98

▯ราชาแห่งไพร่ อันดับ 71 ดันทาเลียน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 8

ที่ราบ บรูโน กองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว คุกธรรมดา

Ο

 

 

 

เป็นวันที่ความหนาวเย็นลงจัด

 

แผ่นดินเเต่ละเเห่งที่เคยแข็งละลายลงเปลี่ยนกลายเป็นดินที่อ่อนนุ่ม น้ำโคลนไหลนองไปตามพื้นราวกับว่ามันซึมออกมาจากผืนดิน ดินเริ่มจับตัวกันแน่นเพราะฝนในฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็น กลายเป็นดินที่ควบเเน่นจนไม่แยกออกจากกันหลังจากได้รับเเดดจากดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ กลายเป็นฤดูใบไม้ผลิที่ไม่น่ามองเพราะไม่มีดอกไม้หรือต้นไม้ให้เห็น ถึงเเม้จะดูเหมือนว่าฤดูใบไม้ผลิยังมาไม่ถึงเพราะยังไม่เจอพืชพรรณ เเต่ท่ามกลางฤดูกาลนั้นกลับรู้สึกราวกับว่ามันยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เเละก็มีคนสองคนที่กำลังเข้ามาหาจากระยะไกล

 

“······”

 

 

 

“······”

 

คนสองคนกำลังเดินมาทางนี้จากระยะสายตา ทั้งสองสังเกตเห็นกันและกันและหยุดชั่วขณะ จากนั้นพวกเธอก็เดินมาหาผมพร้อมกับขมวดคิ้วตามลำดับ

 

ฝ่ายแรกที่เปิดปากคือบาร์บาทอส

 

 

“ไอ้สัตว์นรก ดันทาเลียน อิดอกนี่มันมาทำอะไรที่นี่วะหะ? อย่าบอกนะว่าเเกเรียกมันมาที่นี่ด้วย ข้าขอแนะนำให้เเกรีบไล่อินี่ออกไปเลย ถ้าเเกไม่ทำ ข้าก็ขอเปลี่ยนคำตอบซึ่งข้าครุ่นคิดตลอดทั้งคืนเพื่อตัดสินใจจะบอกเเกเป็นอื่นภายในเวลาไม่ถึงนาทีเเน่”

 

 

“โอ้ ที่รัก ฝ่ายนี้ต่างหากที่อยากจะบ่น”

 

เช่นเดียวกับเปียโนที่เข้ามาแข่งขันกันในการแสดงวงออร์เคสตร้า ไพม่อนก็เอ่ยวาจาเข้ามาตามติด

 

“ผู้หญิงคนนี้ได้รับคำเชิญจาก ดันทาเลี่ยนเเล้วว่าให้มาหาในตอนเช้ามืด เธอน่ะเเหละมาที่นี่ในเวลานี้เพราะว่าบังเอิญไม่ใช่เรอะ? ถ้าอย่างงั้น ถ้ามีใครที่ควรถูกไล่ออกจากที่นี่มากที่สุด ก็คงเป็นเธอใช่ไหม”

 

“อิดอกนี่เมื่อสองสามวันก่อนยังพูดเรื่องไร้สาระจะเอา ดันทาเลี่ยนเป็นของตัวเองอยู่เลย แต่มาดูตอนนี้สิดูเหมือนว่าเเกจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆสินะ เอาจริงดิ นี่ในปากของเเกมันมีอาจมกองอยู่จนไหลบ้วนออกมาข้างนอกปากได้เเล้วสินะ”

 

บาร์บาทอส ชูนิ้วกลางขึ้นที่มือซ้ายและทำเป็นรูปตัว V โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางที่มือขวา ด้านหนึ่งเป็นท่าทางที่ใช้กันทั่วไปในทวีปปีศาจ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นท่าทางที่ใช้บ่อยในสังคมมนุษย์ ทั้งสองมือต่างมีความนัยเหมือนกันว่า ‘ด้วยความเคารพนะไอ้ดุ้น’ (go fuck yourself) จากรูปลักษณ์ของภาษา ดูเหมือนว่า บาร์บาทอส จะคิดว่าการให้ ไพม่อน เเค่มือเดียว ‘ดุ้น (fuck you)’ จะเป็นการขัดต่อมารยาท นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะสามารถได้รับการสื่อสารที่ถูกต้องมากที่สุด เธอได้นำเสนอคำว่า ‘ไอ้ดุ้น’ ในแบบสากลทั่วโลกเข้าใจกัน

 

 

“สัตว์ร้ายที่ออกมาจากกองขี้ลายังดูเป็นผู้ดีมากกว่าเเกอีก มันไม่มีอะรที่เเกจะทำได้อีกเเล้วเว้ย ฟังให้ดีนะ อีกะหรี่ ดันทาเลี่ยน ไม่ใช่เป้าหมายของเเก ไม่ว่าเเกจะบุกเข้าไปในความฝันของ ดันทาเลี่ยน เเละข่มขืนมันเเล้วก็ตาม”

 

“ฮะ? หลงประเด็นบ้าบอไปไกลได้อะไรขนาดนี้······บาร์บาทอส แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่มีหน้าที่เป็นหางเครื่องตามน้ำเสียงที่หยาบคายกับเธอ แต่อย่างน้อยผู้หญิงคนนี้ก็จะบอกเธออย่างชัดเจนถึงข้อเท็จจริงเพียงข้อเดียวไว้นะ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายกับ ดันทาเลี่ยน มันมีเเค่เรื่องของทางจิตใจล้วนๆ ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ผูกสัมพันธ์กับเขาไว้ นั่นเเหละว่าทำไมเราถึงจะพาดันทาเลี่ยนไป กล่าวโดยนัยอีกทีมันก็คือบริบททางจิตใจที่บริสุทธิ์จนคนที่เกิดมาต่ำช้าเช่นเธอไม่สามารถเข้าใจมันได้ไงล่ะ มันเป็นความเข้าใจผิดและอคติที่โง่เขลาของเธอเองล้วนๆ”

 

“ดูเหมือนว่าเธอยังไม่สามารถเข้าใจคำพูดของเราได้เลยนะ หูของเธอมันเพี้ยนหรือ สมองของเธอมันเน่าไปเเล้วหรือเปล่า? หากการได้ยินของเธอมันบกพร่อง ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เเละหากสมองของเธอไม่เป็นระเบียบ เราก็ยังมีที่ว่างพอสำหรับความเห็นอกเห็นใจเธออยู่ เเต่อย่างไรก็ตาม หากตัวตนที่เเท้เที่ยงของเธอเป็นสิ่งที่ผุพังไป นั่นก็เเย่เกินกว่าจะเยียวยาได้เเล้วล่ะ”

 

 

“อินังกะหรี่xu้าxี······.”

 

“เเกอยากจะได้อะไรจากมันกันวะ Eหน้าอกตกสะเก็ด”

 

ช่างสวยงามอะไรขนาดนี้.

 

เส้นทางที่ต้องก้าวเดินเพื่อให้ชีวิตกลายเป็นท่วงทำนองเดียวได้นั้นช่างห่างไกล แต่ทั้งสองสามารถแยกเพลงออกมาขับร้องใส่กันได้ด้วยการสบถเท่านั้น พวกเธอเป็นนักร้องที่มีพรสวรรค์ให้กันและกัน เเต่อย่างไรก็ตาม ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดปากและหยุดการแสดงไว้ก่อน

 

“ทั้งสองคนใจเย็นลงก่อน”

 

ถ้าเป็นไปได้นะ ผมอยากจะเฝ้าดูการโต้เถียงของพวกเธอต่อไป เเต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องร่วมมือไม่ใช่ทะเลาะกันเอง ทั้งสองได้ยินเสียงของผมจึงหันมามองทางนี้

 

“ผมเรียกพวกเธอทั้งคู่มาที่นี่เองเเหละ การทะเลาะกันมันเป็นเรื่องปกติ แต่โปรดทำหลังจากฟังสิ่งที่ผมพูดแล้วก่อนเถอะ”

 

“อา ก็อีนังนี่มันเป็นคนเริ่มก่อนอะดิตั้งแต่มันล้อหลอกข้าด้วยการปฏิเสธการพิจารณาคดีทางทหารตอนนั้นเเล้วใช่ไหมล่ะ? ก่อนอื่นเลย ให้ข้าได้รับคำขอโทษจากมันก่อน เพราะมันเป็นความผิดของเเม่ง ไม่ใช่ของข้าเลย”

 

“ผู้หญิงคนนี้แนะนำเธอว่าอย่าลงโทษดันทาเลียนตั้งแต่แรก แต่เธอยังบื้อตึงเกินจนไม่ได้ยินคำพูดของผู้หญิงคนนี้ เพราะหู สมอง และบุคลิกของเธอมันเน่าสึกกร่อนไปเป็น3เท่าตัวเเล้ว”

 

“นังนี่อยากตายเหรอวะ?”

 

“ก็มาเลยสิ พยายามเข้านะ”

 

ถึงจะเป็นเรื่องน่าหนักใจ เเต่ผมก็ยังอยากต้องการฟังการโต้เถียงนี้ต่อไปอย่างจริงใจ

 

ดังนั้นผมเลยปล่อยให้พวกเธอพูดใส่กันอีกสักครู่หนึ่ง

 

เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนหายใจหอบหนักเพราะเหนื่อย ถ้าผมจะให้ความประทับใจจากความเห็นส่วนตัวล่ะก็ แม้ว่าจะรวมคำหยาบคายทั้งหมดที่ผมได้ยินมาตลอดชีวิต ผมก็ยังเอามาเทียบไม่ได้กับคำหยาบคายที่ผมเคยได้ยินในชั่วโมงที่ผ่านมา นอกจากนี้ความจริงที่ว่าผมยังโดนสบถใส่มากกว่า 2 ครั้งอีก นั่นเรียกว่าเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งเลยไหมล่ะ

 

“พอใจกันเเล้วนะงั้นคุยตอนนี้เลยดีไหม”

 

“······”

 

“······”

 

ไม่มีผู้คัดค้านมติจึงเป็นเอกฉันท์

 

ผมกระเเอมคอ

 

 

“ผมเองก็สำนึกในความผิดที่ตัวเองได้ก่อไว้เช่นกัน อำนาจของ จอมมาร มาจากข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นตัวแทนของเผ่าปีศาจทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การสุนทรพจน์สงครามซึ่งมอบให้กับจอมมารเท่านั้นกลับถูกมนุษย์ขโมยไปจากพวกมัน จอมมารผู้ควรเป็นตัวแทนของเผ่าปีศาจทั้งหมดมากที่สุดได้ส่งต่ออภิสิทธิ์ในการกล่าวสุนทรพจน์ให้กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถและไม่ควรจะเป็นตัวแทนของเผ่าปีศาจทั้งหมดมากที่สุดนั่นก็คือมนุษย์······. ปีศาจจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสงสัย ทำไมไอ้ลูกมนุษย์ต้องเป็นตัวแทนของเรากันล่ะ? พันธมิตรจันทร์เสี้ยว สูญเสียความภาคภูมิใจไปแล้วหรือ? เเต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีบุคคลอื่นใดที่มีพรสวรรค์มากเกินกว่าจะมาเป็นตัวแทนของเราได้นอกจากมนุษย์คนนั้น······?”

 

ผมยักไหล่

 

“แม้ว่าปวงชนจะไม่สงสัย แต่ปัญหาก็ยังดำเนินต่อไปอยู่ มีจอมมารจำนวนมากที่แสดงความไม่พอใจต่อระบบปัจจุบันของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ซึ่งนำโดยกลุ่มคนของ ฝ่ายขุนเขา ฝ่ายผืนราบ กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นพวกแรกที่ดำเนินการเพื่อเผยแพร่ข้อสงสัยนั้นออกไป พวกเขาอ้างว่า พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ปัจจุบันไม่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่เป็นคนนำแทนเผ่าพันธุ์ปีศาจ อำนาจของพวกเธอกำลังจะสั่นสะท้าน”

 

มีองค์ประกอบที่ไม่น่าอภิรมณ์มากมายเช่น อันดับ 1 บาอัล อันดับ 2 อกาเรส······. จอมมารที่มีเกียรติสูงสุดไม่ได้มีส่วนร่วมใน พันธมิตรจันทร์เสี้ยว เเต่พวกเขากำลังรอจ้องจะกล่าวหาพวกเราโดยนัยอยู่

 

“พวกเขาแค่เฝ้ารอวันที่เราล้มเหลว จอมมารที่เริ่มสงครามนี้คือพวกเรา และจอมมารที่จะต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียของสงครามก็คือพวกเราเช่นกัน สิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์เราจะถูกมอบให้กับ เหล่าจอมมาร ที่ไม่ได้เข้าร่วมการเดินทางตั้งแต่ต้นจนจบทันที”

 

บาร์บาทอส และ ไพม่อน ทั้งคู่เป็นผู้นำกลุ่มของเเต่ละฝ่าย แม้ว่าอุดมการณ์ทางการเมืองของพวกเธออาจะแตกต่างกัน เนื่องจากฝ่ายหนึ่งเป็นพวกหัวรุนแรงและอีกฝ่ายเป็นพวกสายกลาง เเต่พวกเธอทั้งสองมีจุดร่วมกันอยู่เพียงหนึ่งประการ นั่นคือความจริงที่ว่าพวกเธอทั้งสองอยู่บนเรือลำเดียวกันที่เรียกว่า พันธมิตรจันทร์เสี้ยว

พวกเราเป็นกลุ่มคนที่มีชะตากรรมร่วมกัน

 

คงจะลำบากหากผมไม่ทำให้พวกเธอรู้ตัวโดยเร็ว

 

“ท่านเจ้าคุณ บาร์บาทอส คุณไพม่อน. เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันและร่วมสร้างเป็นพันธมิตรให้เร็วที่สุด หากเราไม่ทำเช่นนั้น สิ่งเดียวที่จะรอเราอยู่ในอนาคตก็คือความพินาศ”

 

“······”

 

“······”

 

หลังจากที่เธอทั้งสองปรับลมหายใจได้แล้ว พวกเธอก็จ้องมองกันและกัน

 

“แต่ข้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เพื่อที่ข้าจะได้ทรมานนังหมาตัวเมียนี้อะดิ”

 

“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญดีจัง มันยังเป็นเป้าหมายในชีวิตของผู้หญิงคนนี้ที่จะเหยียบย่ำเธอด้วย”

 

ครั้งนี้ใช้เวลา 30 นาที

 

ผมยิ้มในขณะที่มีคนหอบสองคนยืนอยู่ต่อหน้า

 

“ผมเข้าใจว่าพวกเธอทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่เพราะยังไม่ได้ฆ่ากันเองล่ะเนอะ เเต่อย่างไรก็ตาม แล้วเรื่องนี้พวกเธอจะว่าอย่างไรดีล่ะ? การที่คนเราจะฆ่ากันยังคงมีลำดับความสำคัญอยู่แม้ว่าจะมีผู้แทงข้างหลังซึ่งทรยศขายพวกเธอสองคน เดินไปมาอยู่รอบ ๆ ค่ายทหารของพวกเราอย่างโจ่งครึ้มล่ะ?”

 

“······อะไรนะ? คนแทงข้างหลัง?”

 

“เป็นเวลา 400 ปีที่การเดินทางของพันธมิตรจันทร์เสี้ยวล้มเหลว ในช่วง 400 ปีที่ผ่านมา พวกเธอทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ แต่จอมมารคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเองก็ต้องทุ่มเทตัวเองมากพอที่จะทำให้พวกเธอล้มเหลวด้วย พวกเธอไม่เคยเชื่อว่าจะไม่มีคนทรยศแม้แต่คนเดียวในกลุ่มของเธอเลยหรอ?”

 

เนื่องจากเป็นคำพูดที่สมจริงมากไป ทั้ง บาร์บาทอส และ ไพม่อน จึงเงียบลง อาจมีบางสิ่งที่ยังคงคั่งค้างอยู่ในใจของพวกเธอ เพราะในระดับหนึ่งเเล้ว พวกเธอนั้นตระหนักดีถึงความจริงที่ว่าอาจมีคนทรยศอยู่ แต่พวกเธอก็จงใจเมินมันไป เพราะการทำเช่นนั้นทำให้พวกเธอสบายใจมากกว่า

 

ไพม่อนค่อยๆอ้าปาก

 

“······ดันทาเลี่ยน นี่คือการกระทำที่จะหยุดไม่ได้เมื่อมันได้เริ่มไปแล้ว ทวีปปีศาจทั้งหมดจะถูกแบ่งออกเป็นสองด้านและสงครามกลางเมืองจะเริ่มขึ้น ไม่แนะนำให้ตั้งศัตรูไว้ข้างหลังเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่พวกครูเซดอยู่ข้างหน้าเรา”

 

“หากจะว่ากันตามตรงเเล้ว ช่วงเวลานี้เเหละที่เป็นโอกาสทอง”

 

ผมประกาศ

 

“กองกำลังของเราพ่ายแพ้เมื่อวาน มันอาจจะไม่ใช่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน แต่ความพ่ายแพ้ก็คือความพ่ายแพ้ ‘แน่นอนว่าในสถานการณ์นี้ที่เราพ่ายแพ้ให้กับพวกครูเซด พวกมันเองก็คงกำลังจะพยายามกำจัดพวกเราด้วยเช่นกัน เเต่การกวาดล้างพวกมันเองก็เป็นสิ่งที่ยากอย่างเหลือเชื่อที่จะทำด้วยเหมือนกัน.”

 

 

 

“เเต่ความพ่ายแพ้ในสนามรบครั้งนี้กลับเป็นโอกาสอันรวดเร็วในการกวาดล้าง······”

 

“ใช่เเล้ว. ถูกต้อง.”

 

ผมผงกศีรษะ ขณะที่ ไพม่อน กำลังสงบนิ่งอยู่กับคำพูดของผม บาร์บาทอส ก็ทำหน้าบึ้งใส่ผม

 

“เดี๊ยวดิ. เเล้วเราจะทำยังไงกับไอ้พวกครูเซเดอร์พวกนั้นล่ะ? ท้ายที่สุดแล้ว การกวาดล้างเป็นเพียงการกระทำที่ตัดเนื้อหนังของเราออกไป ถ้าหากเราถึงทางตันหากเรายิ่งอ่อนแอลงในตอนนี้ เราจะตกอยู่ในสถานะที่ถูกรุกคืบได้น่ะสิ”

 

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ฝ่ายที่อยู่ในวิกฤตมากกว่าคือพวกครูเซด”

 

แม้ว่าโดยปกติแล้วผมจะใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการเมื่อพูดกับ บาร์บาทอส ไม่ว่าเธอจะมองอย่างไร แต่ผมก็ยังเป็นสุภาพบุรุษอยู่ เพราะผมใช้ภาษาทางการอย่างเต็มที่เพราะ ไพม่อน อยู่กับเราเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม คล้ายกับที่บางคนไม่สังเกตเห็นสิ่งสกปรกติดอยู่ใต้เล็บ บาร์บาทอส ดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นการกระทำของผม

 

“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ?”

 

“นึกถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้สิ มันอะไรแปลกๆอยู่ไม่ใช่เหรอ? โดยไม่คำนึงว่าพวกกลุ่มมหารที่แตกต่างกันกี่ประเทศเข้ามาปะปนกับกองกำลังของพวกเขาเอง การเคลื่อนไหวโดยรวมของพวกครูเสดที่ย่ำแย่เกินทน พวกเขารีบวิ่งไปในทันทีที่ฟาร์นาเซโยนตัวเองเป็นเหยื่อล่อราวกับว่าพวกเขากำลังรอจังหวะนั้นอยู่”

 

“······”

 

ตาของบาร์บาทอสหรี่ลง เธอเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะพูดทันที นั่นทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ตามที่คาดไว้ของ บาร์บาทอส

 

 

“······โอ้ นั่นหมายถึงคำพูดที่มนุษย์เด็กพูดนั้นได้ผลเกินคาดสินะ เพื่อที่จะยึดจิตใจที่สั่นคลอนของทหารไว้ให้แน่น พวกมันเองก็จำเป็นต้องฆ่านังเด็กนั้น”

 

“แม่นเเล้ว.”

 

ผมยกมุมปากขึ้น

 

“สถานการณ์ปัจจุบันภายในพวกครูเสดอาจรุนแรง แม้ว่าผู้ทรยศของฝั่งนั้นจะปรากฏตัวออกมาไม่มาก แต่ขวัญกำลังใจของทหารก็น่าจะลดลงด้วยตัวของมันเอง ในทางกลับกันก็ยังมีเหตุผลว่าทำไมคนของราชวงศ์ฮับส์บวร์กซึ่งนำโดยเจ้าหญิงจักรพรรดิเท่านั้นที่ยังคงมั่นคงอยู่”

 

“ก็เพราะสุนทรพจน์ของเจ้าหญิงนั้นยอดเยี่ยม”

 

เป็นเช่นนั้น

 

การต่อสู้เมื่อวานนี้จบลงด้วยชัยชนะของ ฟาร์นาเซ่ และ เอลิซาเบธ ชัยชนะของฟาร์นาเซเผยให้เห็นถึงกองทัพที่แตกแยกของพันธมิตรจันทร์เสี้ยว ในขณะที่ชัยชนะของเอลิซาเบธสะท้อนถึงขวัญกำลังใจอันน่าสะพรึงกลัวภายในพวกครูเซด ไม่มีอะไรน่าสมเพชไปกว่ากองทัพที่มีเพียงผู้กล้าคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับชัยชนะ

 

“ยิ่งไปกว่านั้น หลายชาติเกือบถูกทำลายล้างในการสู้รบเมื่อวานนี้ เครดิตในการช่วยชีวิตพวกเขาตกเป็นของเจ้าหญิงจักรพรรดิอย่างสมบูรณ์เเน่ๆ······ ตั้งแต่เเม่ทัพไปจนถึงนายพล มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความไม่สงบจะเกิดขึ้นภายในกลุ่มครูเสด นอกจากเอลิซาเบธ ฟอน ฮับส์บวร์กแล้ว ไม่มีใครที่พึ่งพาได้อีก ผมแน่ใจว่าบรรยากาศแบบนี้กำลังพัดผ่านกองกำลังของพวกเขาอย่างรุนแรง นอกจากนี้ สมาชิกชั้นนำของกลุ่มของประเทศอื่น ๆ จะไม่มีวันให้อภัยกับข่าวการเเพร่กระจายของความคิดนี้ ในท้ายที่สุด อีกไม่นาน พวกครูเซดก็จะ······”

 

 

“······”

 

“······”

 

บาร์บาทอส และ ไพม่อน จ้องมาที่ผม เเล้วกลับไปจ้องหน้ากันเอง แล้วก็หันกลับมามองผมอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก คำที่ผุดขึ้นมาในหัวของเราสามคนนั้นบังเอิญเหมือนกัน

 

Ο

 

เริ่มกวาดล้าง

 

Ο

 

 

 

พันธมิตรจันทร์เสี้ยวของเราไม่ใช่กลุ่มเดียวที่มีความขัดแย้งภายใน แม้แต่พวกครูเซดเองที่ยอมรับเหตุผลที่แตกต่างออกไป ก็กำลังเข้าสู่สภาวะสงครามกลางเมืองที่ฝ่ายมนุษย์ที่ได้รับชัยชนะจะกวาดล้างฝ่ายมนุษย์กันเองทั้งหมดที่พ่ายแพ้ กล่าวอีกนัยหนึ่งต่อจากนี้ไป

 

“⎯⎯⎯⎯นี่คือการแข่งขันกับเวลา ขึ้นอยู่กับว่ากองทัพใดเสร็จสิ้นการกวาดล้างเร็วที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะเป็นตัวตัดสินผลของสงคราม”

 

ไพม่อน พึมพำอย่างแผ่วเบา

 

เป็นไปตามที่เธอบอก มันเป็นการแข่งขันกับเวลา

 

เราต้องกวาดล้างให้เสร็จโดยเร็วที่สุดและควบกำลังทหารให้แน่นเป็นหนึ่งเดียว เจ้าหญิงเอลิซาเบธจะเป็นฝ่ายแรก? หรือพวกเราจะเป็นฝ่ายแรกกันเเน่? ชะตากรรมของทวีปจะถูกกำหนดไว้ตามนั้นเเล้ว ผมคลำดูนาฬิกาพกที่อยู่ในกระเป๋า แม้ว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาในการชีวิตประจำวันของคนธรรมดา เเต่ก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งในห้วงเวลาแห่งสงคราม จากจุดต่อนี้ ที่นี่ไม่มีที่ว่างให้ลังเลอีกต่อไป

 

“การระบุตัวผู้ทรยศเป็นเรื่องง่าย พวกเธอสองคนกลับไปที่ค่ายของตัวเองแล้วทะเลาะกันเองซะ เหตุที่เราพ่ายแพ้ในการรบเมื่อวานก็เพราะฝ่ายตรงกันข้ามตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างโง่เขลา ให้พวกเธอสองคนปากเสียใส่กันทุกครั้งที่เจอกันเรื่องๆง่ายๆพวกเธอทำมันตลอดทุกครั้งอยู่เเล้ว จะไม่มีใครมาสงสัยอะไรพวกเธอ”

 

“······”

 

 

“หลังจากทำเช่นนั้น ‘อา จะดีแค่ไหนกันนะถ้าอยู่ดีๆจะมีพันธมิตรที่ไว้ใจได้โผล่หัวออกมา’ เเละแทรกอยู่ในคำพูดนี้ให้ฟังในช่วงเวลานั้นเเน่ จะมีพวกผู้ติดตตามของจอมมารอื่นสองสามคนที่จะเข้าหาพวกเธออย่างเงียบๆ และเสนอที่จะติดต่อประสานงานกับเธอให้กับ ‘จอมมาร ที่ตัวเองรู้จักเป็นการส่วนตัว’ คนเหล่านั้นเเหละคือไอ้คนทรยศ”

 

ผู้ที่พยายามฉวยโอกาสในยามที่ทั้งสามฝ่ายล้มลุกคลุกคลานเพื่อดำเนินการยึดครองกองทัพ

 

ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แจ้งข่าวของใครบางคนโดยเฉพาะและพยายามหลอกล่อ บาร์บาทอส และ ไพม่อน

 

 

 

พวกมันล้วนเป็นปรสิตที่สมควรถูกกำจัด

 

Ο

 

ในคืนนั้น.

 

บาร์บาทอสกับไพมอนเดินผ่านม่านมืดเข้ามาหาผม ใบหน้าของพวกเธอซึ่งด้วยความสงสัยครึ่งหนึ่งเมื่อพวกเธอจากไปในตอนรุ่งสาง บัดนี้กลับดูเคร่งขรึม หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง บาร์บาทอสก็เริ่มพูด

 

“······มีอยู่สามคนที่เข้ามาหาข้า แล้วเเกล่ะ นังตัวเมีย?”

 

“สี่คน. แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเด็กที่มีบรรดาศักดิ์ต่ำเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม······”

 

ไพม่อนถอนหายใจ

 

“แต่ละคนเป็นผู้แจ้งข่าวให้กับ จอมมาร ที่แตกต่างกัน เซอร์บาอัล อันดับ 3 วาสโก อันดับ 4 กามิกิน และอันดับ 6 วาเลฟอร์······”

 

“ว้าว. ให้ตายเถอะ นั่นเกือบจะเหมือนกับข้าเลย ข้าเองก็มีวาสซาโก กามิกิน และวาเลฟอร์ที่หนุนพวกเเม่งอยู่  ไอ้สารเลวพวกนั้นเเม่ง······ ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการกับไอ้ตัวแสบพวกนี้”

 

บาร์บาทอสกัดฟัน

 

มีจอมมารประมาณ 30 คน ที่เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ ถ้าพวกเขา 7 คนเป็นผู้ให้ข้อมูล นั่นหมายความว่าเกือบ 1/4 ของกองทัพทั้งหมดเป็นคนทรยศ สำหรับผู้นำเเต่ละฝ่ายนั่นเป็นอัตราส่วนที่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันด้วยความเดือดดาล นี่เป็นตัวเลขที่ยังไม่นับรวมฝ่ายที่เป็นกลางอีก ไพม่อนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

 

“เราจะทำอย่างไรกับ มาร์บาสดีล่ะ? เพราะตอนนี้เขาไปเพื่อปล้นสะดมเสบียงจากกองหลังศัตรูอยู่ เขาจะไม่กลับมาได้อีกระยะหนึ่ง”

 

“ด้วยบุคลิกของชายชราคนนั้น มันจะดีกว่านี้มากหากเขาไม่อยู่ในขณะที่เราทำการกวาดล้าง สำหรับคนที่ดูน่ากลัวเช่นเขาเขาไม่ชอบให้มีการหลั่งเลือดโดยไม่จำเป็น เมื่อเขากลับมาหลังจากสถานการณ์จบลง เราจะอธิบายให้เขาฟัง”

 

บาร์บาทอส ได้กล่าวคำที่ร้ายกาจออกมา

 

“ก็ได้. ฆ่าล้างไอ้เจ้าหญิงก่อนหลังจากนั้น เเกก็จะเป็นคนสุดท้าย อีกะหรี่ จนกว่าจะถึงตอนนั้นข้าจะร่วมมือกับเเกเอง”

 

“นั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ควรเป็นคนพูดมากกว่า เนื่องจากเราจะสร้างพันธมิตรกันเท่านั้น จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย รักษาคอของเธอให้สะอาดจนกว่าช่วงเวลานั้นจะมาถึงด้วยล่ะ”

 

บาร์บาทอส ชูนิ้วกลาง เเละ ไพม่อน ทำตัว V ด้วยนิ้วกลางและนิ้วชี้ ทั้งสองคนนี้สนิทกันดีจังเนอะ

 

ที่ด้านในของกรง ผมดูการปรากฏตัวของ จอมมาร ทั้งสองที่มีใบหน้าบูดบึ้งและทำตึงใส่กัน ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ผมจะได้รับการปล่อยตัวจากคุกนี้เกือบจะมาถึงแล้วสิ ช่างเเสนสั้น แต่มันก็เป็นชีวิตที่เเสนสวยงามในคุก

 

ผมยังอยู่ในคุกเเห่งนี้

 

 

 

 

 

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

น่ารักมากเอ็นดูจริงๆตอนสองคนนี้ทะเลาะกัน

 

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset