บทที่ 1015 ไม่มีวันที่จะเข้าใจ
ฉินซีหยิบโทรศัพท์ออกมา หลังจากมองแล้วก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก
เธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี จึงกดตัดสายไป
เบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย 11 มักโทรมาจากคนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถรับได้
เพราะระหว่างการโทรอาจเปิดเผยตำแหน่งที่อยู่ของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่อยากที่จะเสี่ยง
ไม่นานหน้าจอโทรศัพท์ก็สว่างขึ้นอีกครั้ง
เป็นข้อความข้อความหนึ่ง
คนที่ส่งข้อความมาก็คือคนที่เพิ่งจะโทรศัพท์มาเมื่อกี้
‘ฉินซี ในเมื่อเธอคิดที่จะทำเรื่องเด็ดขาดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าพวกเราไม่เหลือไมตรีให้เธอก็แล้วกัน’
แน่นอนว่าเขาเป็นคนของตระกูลฉิน
เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่ส่งข้อความมา แต่ดูจากสำนวนการเขียนแบบนี้น่าจะเป็นฉินซึ่งเทียน ไม่ก็หลี่เหวย หรือเป็นได้กระทั่งฉินหว่าน
แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไป
ฉินซีกดลบข้อความด้วยสีหน้าเยือกเย็น
ตอนนี้เธอมีสิ่งที่สำคัญกว่าที่จะต้องทำให้สำเร็จ หากคนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปไม่ได้เข้ามาสร้างความลำบากให้เธอต่อหน้า เธอก็จะไม่ลากพวกเขาเข้ามาพัวพันด้วย
การส่งข้อความมาข่มขู่แบบนี้ สำหรับฉินซีแล้วไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยสักนิด
เป็นธรรมดาที่การกระทำนี้ของเธอจะดึงดูดความสนใจของจ้าวจิ้ง
เธอเห็นฉินซีกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์อีกรอบ จึงถามขึ้นมาว่า “เป็นคนของตระกูลฉินเหรอคะ”
ฉินซีเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย ไม่คิดจะพูดอะไรมากกว่านี้
จ้าวจิ้งเองก็ไม่ได้ถามต่อ เพียงลอบถอนหายใจอยู่ในใจ
สิ่งที่ฉินซีพูดทั้งหมด…เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
จากสีหน้าของเธอแล้ว เกรงว่าข้อความที่คนตระกูลฉินส่งมาเมื่อกี้นี้จะไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก
แต่เธอกลับสามารถลบมันด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจแบบนี้ได้ คงจะมีภูมิคุ้มกันกับเรื่องพวกนี้แล้ว
จ้าวจิ้งส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านเอกสารของตัวเองต่อ
ผ่านไปสักพักหนึ่งรถก็ขับมาถึงที่หมาย นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงพอดี
เป็นธรรมดาที่พ่อบ้านจะจัดการเรื่องโรงแรมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พอเสี่ยวหลี่กับเสี่ยวเฉินรถเสร็จ ก็ลากกระเป๋าไปเช็กอิน ฉินซีกับจ้าวจิ้งเดินตามอยู่ข้างหลังอย่างเงียบ ๆ
การเช็กอินเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว พ่อบ้านจองห้องชุดไว้ให้ โดยเสี่ยวหลี่กับเสี่ยวเฉินจะพักที่ห้องด้านนอก ส่วนฉินซีกับจ้าวจิ้งพักที่ห้องด้านใน
ในที่สุดหลังจากที่ทั้งสองคนเข้าไปนั่งอยู่ข้างในห้องแล้ว จ้าวจิ้งก็เปิดปากพูดอีกครั้ง “คุณจะอาบน้ำก่อน หรือว่า…จะคุยกันก่อน”
ฉินซีเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็โบกมือแล้วพูดว่า “ขอจัดการธุระให้เสร็จก่อนแล้วกัน”
ดังนั้นเธอจึงพยายามรวบรัดคำพูดให้สั้นลงมากที่สุด และเล่าถึงสาเหตุที่พวกเธอต้องไปหาเห้อเสียงรอบหนึ่ง
จ้าวจิ้งใช้มือข้างหนึ่งวาด ๆ เขียน ๆ เรื่องที่ฉินซีกำลังพูดลงบนกระดาษ รอฉินซีพูดจบเธอก็ยกกระดาษขึ้นมา “ประมาณนี้ใช่ไหมคะ”
ในตอนนี้เองฉินซีจึงมองเห็นชัด ๆ ว่าเธอเขียนสรุปลงไปในกระดาษ
ลายมือของจ้าวจิ้งกับเธอนั้นไม่เหมือนกันเลยสักนิด แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งอยู่หลายส่วน มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยคแต่สามารถสรุปสถานการณ์ในปัจจุบันทั้งหมดเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ฉินซีประหลาดใจ เธอได้รับรู้ถึงความสามารถของจ้าวจิ้งเพิ่มขึ้นมาอีกนิด
“ตอนนี้คุณอยากจะทำธุรกิจกับเขาสินะ” จ้าวจิ้งขีดเส้นใต้ชื่อของเห้อเสียง “แต่คุณไม่รู้ว่าต้องใช้แต้มต่อมากแค่ไหนใช่ไหม”
ฉินซีพยักหน้า
ดูเหมือนว่าทันที่จ้าวจิ้งมองเห็นถึงขอบเขตของวิชาความรู้ ความเป็นมืออาชีพของเธอก็ได้ถูกเผยออกมา คำพูดแต่ละคำตรงเข้าไปที่จุดสำคัญได้อย่างทันที และมักจะเหยียบลงไปตรงตำแหน่งนั้นอยู่เสมอ อายุยังน้อยแต่กลับสามารถเข้าไปอยู่ในทีมทนายความของบริษัทลู่ซื่อได้ ทั้งยังค่อนข้างที่จะมีฝีมือ
เห็นได้ชัดว่าการที่ทนายจ้าวแนะนำผู้หญิงคนนี้ให้กับเธอ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความรู้สึกระหว่างพ่อและลูกสาว
จ้าวจิ้งจับคางตัวเองพลางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ตอนนี้พวกคุณตรวจสอบไปถึงขั้นตอนไหนแล้วคะ”
ฉินซีหยิบซองเอกสารที่ทนายจ้าวมอบให้ออกมา จากนั้นก็ยื่นมันไปให้ “ไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรมากมาย”
จ้าวจิ้งพลิกดูเอกสาร เมื่อเห็นว่าไม่มีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มากนักจริง ๆ ก็วางมันลง
“ตามความคิดของฉัน พรุ่งนี้คุณควรไปลองลงชื่อเข้าเยี่ยมดูก่อน ถ้าได้พบเขา ก็พยายามขอข้อมูลจากปากของเขาให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้นหากพวกเราได้เบาะแสมามากกว่านี้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น” ฉินซีพูด
จ้าวจิ้งพยักหน้า “ได้ค่ะ แต่ฉันขอแนะนำว่าพรุ่งนี้ให้ฉันลองไปด้วยตัวเองก่อน คุณยังไม่จำเป็นจะต้องเปิดเผยตัว”
ฉินซีเคาะปลายนิ้วลงบนผิวหน้าโต๊ะ “ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
จ้าวจิ้งเลิกคิ้วแล้วเงยหน้ามองเธอ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าฉันจะไปลงชื่อเพื่อขอเข้าเยี่ยม อย่างเร็วที่สุดก็น่าจะได้พบเขาในตอนช่วงเช้า”
“โอเค” ฉินซีพยักหน้า “การจัดการขั้นต่อไปไว้ค่อยปรึกษากันตอนที่คุณกลับมาแล้ว”
จ้าวจิ้งพยักหน้าแล้ววางกระดาษลงบนโต๊ะ
“ตอนนี้ก็สายมากแล้ว คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ฉินซีพูด
เมื่อการหารือกันสิ้นสุดลง บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็ดูสนิทสนมกันกว่าเมื่อกี้นี้มาก อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ในขั้นที่ว่าไม่มีอะไรจะคุยกับคนแปลกหน้า
จ้าวจิ้งตอบตกลงก่อนจะเดินออกไปจากห้องของฉินซี
ผนังของห้องชุดเก็บเสียงได้ดีเกินคาด หลังจากที่จ้าวจิ้งเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ฉินซีก็ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเธออีกเลย
ฉินซีปิดประตูห้องนอนแล้วก้มลงหยิบโทรศัพท์ออกมา
เมื่อกี้นี้เธอปรึกษาหารือกับจ้าวจิ้งอยู่นานขนาดนั้น ไม่ได้มองโทรศัพท์เลย ฉินซีจึงลืมเรื่องที่ลู่เซิ่นยังไม่ตอบข้อความของเธอไปชั่วขณะ
คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ปลดล็อคโทรศัพท์ เธอจะได้เห็นข้อความที่ลู่เซิ่นส่งมา
‘ถึงโรงแรมแล้วให้โทรหาฉัน’
ข้อความนี้ถูกส่งมาเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
เป็นตอนที่ฉินซีเพิ่งจะถึงโรงแรมพอดี
เธอรู้ดีว่าถ้าลู่เซิ่นต้องการ เขาก็มีวิธีที่จะรู้ตำแหน่งของเธอได้ ไม่ว่าจะจากเสี่ยวเฉินกับเสี่ยวหลี่ก็ดี หรือจากตำแหน่งของรถโดยตรงเลยก็ดี ล้วนมีประสิทธิภาพมากกว่าการมาถามเธอเอามาก ๆ
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าเธอเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน จึงไม่ได้ส่งข้อความอะไรมาอีก
สมองของฉินซียังคงครุ่นคิด ทว่ามือของเธอคล้ายกับมีจิตนึกคิดเป็นของตัวเอง จึงกดวิดีโอคอลไปหาลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นกดรับสายแทบจะทันที ฉินซีไม่ทันมีเวลาได้เปลี่ยนใจเลยสักนิด
“ถึงแล้วเหรอ” น้ำเสียงของลู่เซิ่นสงบนิ่งมาก ฟังไม่ออกว่าเขากำลังดีใจหรือโมโหอยู่
ฉินซีพยักหน้าก่อนจะอธิบายว่า “เมื่อกี้นี้ฉันกำลังปรึกษาเรื่องต่าง ๆ กับทนาย ก็เลยไม่ได้มองโทรศัพท์ จึงไม่ได้ตอบคุณกลับไปทันที”
เห็นได้ชัดว่าลู่เซิ่นเองก็รู้เรื่องของจ้าวจิ้ง เขาไม่ได้แสดงท่าทีใส่ใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องของทนายที่เธอพูดถึง เพียงแค่เหลือบมองฉินซีเล็กน้อย “ตอนนี้รู้จักที่จะบอกฉันแล้วอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีถูกเขาทำให้ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอย่างจนปัญญาว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังคุณจริง ๆ ”
ลู่เซิ่นตัดบทคำพูดของเธอ “ฉันรู้ เธอก็แค่ไม่เคยคิดถึงฉันก็เท่านั้น”
ถึงแม้ว่าลู่เซิ่นจะพูดไม่ผิด แต่ฉินซีที่ได้ฟังก็รู้สึกว่าคำพูดแบบนี้ของเขาน่าอึดอัดใจมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนในตอนนี้ เหมือนกับ…คู่รักที่กำลังทะเลาะเบาะแว้งกัน
เธอถูกความคิดนี้ของตัวเองทำให้สั่นสะท้าน
“ลู่เซิ่น” เธอพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองดูจริงใจมากขึ้นอีกนิด “ถ้าหากความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนชัดเจนมากขึ้นกว่านี้อีกนิด ฉันก็ไม่เลือกที่จะต่อต้าน”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่เธอกำลังว่าฉันอยู่อย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ ฉันก็แค่…สับสนนิดหน่อย จริง ๆ แล้วตอนนี้เราสองคนเป็นอะไรกันอย่างนั้นเหรอคะ”
ในที่สุดเธอก็พูดสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจออกไปแล้ว
ตั้งแต่ที่เธอหย่ากับลู่เซิ่นจนถึงตอนนี้ นี่เป็นสิ่งที่เธอสงสัยมากที่สุด
ดูเหมือนว่าลู่เซิ่นจะไม่ได้ไม่รู้สึกอะไรกับเธอ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีปฏิกิริยากับการจากมาของเธอมากขนาดนี้ แต่ถ้าเขามีความรู้สึกกับเธอมากมายจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงได้ยอมเซ็นใบหย่าล่ะ ทำไมเขาถึงต้องออกจากรีสอร์ทชิงหยวนแล้วไปที่เมืองหนาน
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีวันที่จะเข้าใจเรื่องนี้เลย