flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1016 เชื่อใจฉันมากขึ้นอีกสักหน่อย

บทที่ 1016 เชื่อใจฉันมากขึ้นอีกสักหน่อย

หลังจากที่ได้ยินคำถามที่แฝงไปด้วยความสงสัยของฉินซี ลู่เซิ่นก็ค่อย ๆ คลายคิ้วที่ขมวดลง

“ฉินซี” เขากระซิบ “สำหรับคำถามนี้ ฉันอยากรอไปพูดต่อหน้าเธอตอนที่ฉันกลับไปแล้วมากกว่า”

คราวนี้เปลี่ยนเป็นฉินซีที่ต้องขมวดคิ้ว “ทำไมคะ”

เธออยากรู้คำตอบนี้จะตายอยู่แล้ว แต่ทำไมลู่เซิ่นกลับเอาแต่ทำตัวไม่สะทกสะท้านในสถานการณ์ที่จริงจังเคร่งเครียดแบบนี้ ไม่รู้สึกร้อนใจเลยสักนิดอย่างนั้นเหรอ

ทว่าลู่เซิ่นกลับส่ายหน้า “สำหรับฉันแล้วนี่ยังตั้งใจไม่พอ”

ฉินซีเงียบไป

ตั้งใจอย่างนั้นเหรอ

ลู่เซิ่นเขา…คิดจะพูดอะไรกันแน่

เธอแอบคาดเดาอยู่ในใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเธอรู้สึกมากเกินไปเองหรือเปล่า

“ฉินซี” ราวกับลู่เซิ่นจะมองความคิดของเธอออก เขาจึงพูดต่อว่า “รอฉันกลับไปแล้ว ฉันจะมอบคำตอบที่น่าพอใจให้กับเธอ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว ฉินซีก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มีประโยชน์ที่เธอจะที่ไล่ถามต่อไป

เห็นได้ชัดว่าลู่เซิ่นมีแผนการของตัวเอง

แต่เขาวางแผนอะไรไว้ เธอก็ไม่ได้ใคร่อยากจะรู้

“ได้ค่ะ” ท้ายที่สุดแล้วฉินซีก็ตอบรับกลับไป “หลังจากคุณกลับมาแล้ว คุณต้องให้คำตอบกับฉันนะคะ”

“แต่ว่าฉินซี” ลู่เซิ่นจับจ้องไปยังฉินซี ความอบอุ่นในแววตาของเขาราวกับว่าจะสามารถทะลุหน้าจอโทรศัพท์ออกมาได้ “ฉันหวังว่าตั้งแต่ตอนนี้ไป เธอจะรู้จักพึ่งพาฉันมากกว่านี้อีกสักนิด เชื่อใจฉันมากขึ้นอีกสักหน่อย”

ฉินซีจ้องมองเขาอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ ฉันจะลองดูค่ะ”

ในที่สุดคิ้วที่ผูกกันแน่นของลู่เซิ่นก็คลายออก เขามองสภาพแวดล้อมด้านหลังฉินซีอย่างละเอียด “พ่อบ้านจองห้องให้เธออย่างนั้นเหรอ”

ฉินซีพยักหน้า “ใช่ค่ะ”

ลู่เซิ่นพิจารณาต่ออีกสักพัก ก่อนจะฝืนตัวเองให้พยักหน้า “หลายวันต่อจากนี้ต้องลำบากเธอแล้ว”

ในที่สุดฉินซีก็ได้รู้ ว่านิสัยชอบเก็บกระเป๋าสัมภาระถึงสี่ใบของพ่อบ้านนั้น มาจากความเคยชินในการปรนนิบัติดูแลลู่เซิ่น

หลังจากเสียเวลาไปเกือบครึ่งวัน ในที่สุดทั้งสองคนก็เข้าประเด็นสำคัญเสียที

“เธอวางแผนจะไปพบเห้อเสียงพรุ่งนี้อย่างนั้นเหรอ”

เห็นได้ชัดว่าลู่เซิ่นรู้เรื่องทุกอย่างมาจากลู่เหวย แม้แต่ชื่อของเห้อเสียงก็รู้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ฉินซีส่ายหน้า “พรุ่งนี้ฉันมอบหมายให้คุณทนายไปทำแทนค่ะ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้วฉันค่อยไปด้วยตัวเอง”

ลู่เซิ่นลูบ ๆ คาง “โอเค นี่เหมือนจะปลอดภัยขึ้นอีกหน่อย เรื่องคดีของเห้อเสียง ฉันจะให้คนไปลองตรวจสอบดู”

ฉินซีกำลังเผลอคิดที่จะปฏิเสธ แต่ทันใดนั้นก็รีบปิดปากทันที

เมื่อกี้นี้เธอเพิ่งจะพูดไปเองว่าต้องเชื่อใจลู่เซิ่นมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ถ้าหากปฏิเสธออกไปทันที ก็คงจะดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อย

เธอจึงฝืนตัวเองให้พยักหน้า

ไม่รู้ว่าลู่เซิ่นมองไม่เห็นท่าทางฝืนขืนของฉินซี หรือแกล้งทำเป็นไม่เห็นกันแน่ พอเห็นเธอพยักหน้า เขาก็ไม่ถามเรื่องนี้ต่ออีก แต่เปลี่ยนคำถามเป็น “ฉันได้ยินคุณพ่อบอกว่าเขาส่งบอดี้การ์ดสองคนที่ดีที่สุดในบ้านตระกูลลู่ไปให้เธอ พวกเขาอยู่ห้องข้างนอกอย่างนั้นเหรอ”

ฉินซีพยักหน้า “ใช่ค่ะ”

ลู่เซิ่นชะงักไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “เธอ…พกปืนไปด้วยไหม”

ฉินซีตะลึง เผลอมองไปที่กระเป๋าตรงชั้นวางใกล้หัวเตียงโดยไม่รู้ตัว

ทว่าคนจากข้างในวิดีโอมองเห็นการขยับสายตาของเธอได้อย่างชัดเจน ลู่เซิ่นเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างทันที

“เอามาก็ดีแล้ว” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “จำเอาไว้ว่าตอนนั้นฉันสอนเธอไว้ยังไง จะต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ ”

ฉินซีกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า

ตอนที่ลู่เซิ่นยังคิดจะพูดอะไรต่ออีก ทันใดนั้นข้างหลังเขาก็มีเสียงคนเรียกขึ้นมาว่า “ประธานลู่!”

ลู่เซิ่นหันกลับไปมอง จากนั้นก็คุยกับคนที่มาพักหนึ่ง

ฉินซีเพิ่งสังเกตว่าลู่เซิ่นใส่สูทที่ดูเป็นทางการมาก ตามเวลาแล้วฝั่งนั้นน่าจะเป็นช่วงสิบโมงกว่า ๆ เป็นเวลาทำงานเช้าพอดี ไม่รู้ว่าลู่เซิ่นถึงออกมากดรับสายโทรศัพท์ของเธอระหว่างที่ประชุมอยู่หรืออย่างไร

ฉินซีรู้สึกถึงความเปรี้ยวฝาดที่ไม่อาจบรรยายได้ในใจชั่วขณะ

“เอาเถอะ ทางฝั่งนั้นมีคนมาตามตัวฉันแล้ว แต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจำไว้ว่าต้องโทรหาฉัน” ในที่สุดลู่เซิ่นก็พูดกับคนที่มาหาจบแล้ว จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองโทรศัพท์

ฉินซีพยักหน้า “คุณไปเถอะค่ะ”

“อืม เธอก็รีบพักผ่อนเสียล่ะ” ลู่เซิ่นพูด

ตอนที่วางสาย โทรศัพท์ก็เริ่มร้อนขึ้นมานิดหน่อย

ฉินซีถือโทรศัพท์ไว้ แล้วล้มตัวนอนลงบนเตียง ในหัวมีข้อมูลมากมายปนเปกันเต็มไปหมด เดี๋ยวก็เป็นหน้าของลู่เซิ่น เดี๋ยวก็เป็นเอกสารของเห้อเสียง เดี๋ยวก็เป็นบันทึกของจ้าวจิ้ง หมุนวนไปมาอยู่ในสมอง

ฉินซีปิดตาลงอย่างง่วงงุน จากนั้นก็หลับไปทั้งแบบนี้

เช้าวันรุ่งขึ้นฉินซีถูกปลุกด้วยเสียงจากข้างนอก

แม้ว่าห้องจะถูกปูด้วยพรมหนาที่คอยซับเสียงฝีเท้า เสียงพูดของจ้าวจิ้งก็เบาลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ฉินซีก็ยังตื่นขึ้นมาอยู่ดี

จ้าวจิ้งโทรศัพท์แล้วพาเสี่ยวหลี่ออกจากห้องไป ส่วนเสี่ยวเฉินติดต่อให้รูมเซอร์วิสมาส่งอาหารเช้า

การเคลื่อนไหวทั้งหมดแม้จะไม่ชัดเจนมากนัก แต่ฉินซีก็สัมผัสได้

เธอรู้ว่านี่เป็นปัญหาที่เธอมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เธอต้องย้ายมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ

การระแวดระวังกับการเคลื่อนไหวรอบตัวมากเกินไป ทำให้ยากที่จะพักผ่อนดี ๆ ได้

การที่ต้องออกไปทำธุระแล้วต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่ใหม่ ๆ ทำให้เธอยากที่จะหลีกหนีจากเรื่องพวกนี้ได้

ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว เกรงว่าจะมีเพียงตอนที่ไปอยู่บ้านอานหยันสองสามครั้ง แล้วก็…รีสอร์ทชิงหยวนแล้ว

ต้องขอบคุณลู่เซิ่นที่ไม่ปล่อยเธอตอนที่เธอย้ายเข้าไปอยู่ในรีสอร์ทชิงหยวนคืนแรก ดังนั้นฉินซีจึงได้หลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เวลาที่เธอต้องใช้ในการปรับตัวให้เข้ากับรีสอร์ทชิงหยวนสั้นเป็นพิเศษ

เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังคิดถึงลู่เซิ่นอีกแล้ว ฉินซีก็ส่ายหัว ราวกับว่าพยายามจะโยนภาพของลู่เซิ่นออกไปจากสมอง

เมื่อเธอจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จก็เปิดประตูออกไป เสี่ยวเฉินรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นแล้ว

“คุณนะ…คุณฉิน” ทันทีที่ถูกฉินซีจ้องมอง เสี่ยวเฉินก็เปลี่ยนคำเรียกอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ชี้ไปที่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ “ผมสั่งอาหารเช้าของโรงแรมมา ลองทานดูแล้วไม่มีปัญหาอะไร รสชาติก็ใช้ได้”

ฉินซีพยักหน้าแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหาร

พ่อบ้านน่าจะกำชับเสี่ยวเฉินไว้แล้ว ดังนั้นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะจึงเป็นอาหารเช้าแบบจีน เหมือนกับที่ฉินซีเคยกินตอนอยู่รีสอร์ทชิงหยวน

แต่ทันทีที่ดื่มน้ำเต้าหู้เข้าไป ฉินซีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

รสชาติแบบนี้…จะต่างจากที่รีสอร์ทชิงหยวนเกินไปแล้ว

โชคดีที่เสี่ยวเฉินหันหลังให้เธอ จึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าฉินซี

ฉินซีกลืนเข้าไปอย่างยากลำบาก จากนั้นก็หันไปลองชิมเกี๊ยวทอด

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ก็หาความพอใจกับอาหารบนโต๊ะไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ฉินซีถอนหายใจเบา ๆ ‘ตัวเองถูกพ่อครัวของรีสอร์ทชิงหยวนทำให้ปากสูงไปแล้วจริง ๆ ’

เมื่อได้ยินเสียงฉินซีถอนหายใจ เสี่ยวเฉินก็รีบหันกลับมาทันที “ไม่ถูกปากเหรอครับ”

ฉินซีส่ายหน้ายังไม่รู้สึกผิดบาป “เปล่าหรอก อร่อยมาก ขอบใจนะ”

อาหารเช้าพวกนี้ล้วนเป็นของที่เธอชอบกินทั้งหมด ฉินซีรู้ว่าเสี่ยวเฉินใส่ใจกับเรื่องนี้มาก

เพียงแต่ว่ารสชาติ…ก็โทษเขาไม่ได้

เธอบีบจมูกของตัวเองแล้วกินลงไปอีกสองสามคำ พอรู้สึกว่าได้มีอะไรมารองท้องก็หยุดตะเกียบ

เสี่ยวเฉินเห็นเธอลุก ก็หันไปมองที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจว่า “คุณทานน้อยไปหรือเปล่าครับ”

ฉินซีโบกมือ “พรุ่งนี้ไม่ต้องสั่งมาเยอะขนาดนี้ก็ได้ คุณกินแล้วหรือยัง”

เสี่ยวเฉินพยักหน้า “ทานแล้วครับ”

แต่ฉินซียังเห็นว่าสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เกี๊ยวต้ม เห็นได้ชัดว่าเขายังกินไม่อิ่ม จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เสียดายที่เหลืออยู่ตั้งเยอะขนาดนี้ ถ้าคุณไม่รังเกียจ เกี๊ยวต้มพวกนั้นฉันยังไม่ได้กิน คุณจะลองกินดูไหม”

เสี่ยวเฉินรีบลุกขึ้นยืนทันที “ไม่รังเกียจครับ!”

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

Options

not work with dark mode
Reset