บทที่ 1096 โชคดีจริงๆ
เป็นลู่โยวโยวที่โทรศัพท์มา
เสียงของลู่โยวโยวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “พี่คะ! หลินยี่ฟื้นแล้ว”
ลู่เซิ่นกลอกตามองบนอยู่ในใจ เกรงว่าถ้าพี่ชายคนนี้สลบไปแล้วฟื้นขึ้นมา ลู่โยวโยวผู้เป็นน้องสาวคนนี้จะต้องไม่ตื่นเต้นขนาดนี้อย่างแน่นอน
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา เพียงแค่รับคำประโยคหนึ่ง “พี่รู้แล้ว” และวางสายโทรศัพท์ไป
ภายในรถเงียบมาก เขาไม่ได้ดึงแผ่นกั้นขึ้นมา และเสียงของลู่โยวโยวก็ดังมาก ดังนั้นหลินหยังและคนขับรถก็น่าจะได้ยินชัดเจนหมด แต่ทั้งสองคนกลับทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“ไปบ้านตระกูลลู่” ลู่เซิ่นเอ่ยพูด
คนขับรถหันทิศทางพวงมาลัย ขับมุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลลู่
……
ถนนช่วงเช้าในเวลาเร่งด่วนนั้นติดมาก ตอนที่ลู่เซิ่นไปถึงบ้านตระกูลลู่ ก็หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงแล้ว
ลู่โยวโยวยืนรออยู่ที่หน้าประตู แต่ความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินทางโทรศัพท์นั้นหายไปไม่เหลือแล้ว เพียงแต่ทักทายลู่เซิ่นด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยว่า “พี่คะ”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว “เป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นมากหรือ”
ลู่โยวโยวพองลมที่แก้ม ถลึงตาโกรธๆไปทางห้องพักผู้ป่วยของหลินยี่ “หลินยี่ เจ้าคนสมควรตาย! ให้หนูออกมาอยู่ข้างนอกก่อน อย่าพูดเสียงจุ๊กจิ๊กอยู่ข้างเขา
ลู่เซิ่นไม่ได้ตื้นตันกับความรู้สึกโกรธจัดของลู่โยวโยว แต่กลับหัวเราะออกมา “เขาพูดเช่นนี้จริงๆหรือ”
โทสะของลู่โยวโยวเบนมาที่ร่างของพี่ชายเธอเพราะเสียงหัวเราะ เธอถลึงตาใส่เขาดุๆ เอ่ยพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดแบบนี้ แต่ว่ามีความหมายว่าอย่างนี้!”
“ไม่เลวเลย เธอสามารถฟังความหมายที่แฝงมากับคำพูดของเขาออกได้ มีความก้าวหน้า” วันนี้ตอนเช้าลู่เซิ่นอารมณ์ไม่ดี คราวนี้มีโอกาสได้หาเรื่องน้องสาวตัวเองเล็กน้อย ก็ไม่ปล่อยผ่าน จึงเอ่ยหยอกล้อไปสองประโยค
คราวนี้ลู่โยวโยวก็มีโทสะ ขยี้เท้ากับพื้นและวิ่งไป ทิ้งลู่เซิ่นเอาไว้ที่เดิมคนเดียว
เขามองแผ่นหลังที่ทิ้งเอาไว้ของลู่โยวโยว พลางหัวเราะและส่ายหน้า จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆถูกเก็บขึ้น หันหน้าไปกำชับหลินหยังที่ตามอยู่ด้านหลังตัวเองว่า “นายรออยู่ที่นี่”
แน่นอนว่าหลินหยังพยักหน้ารับ
ลู่เซิ่นเดินเลี้ยวไปหลายครั้ง จนถึงหน้าประตูห้องของหลินยี่
เขาไม่ได้เกรงใจ เคาะประตูไปไม่กี่ที และเปิดประตูเข้าไปเองโดยไม่รอคำตอบ
หลินยี่นอนอยู่บนเตียง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆต่อการกระทำของลู่เซิ่นที่ไม่ทักทายอะไรก็เปิดเข้ามา เพียงแค่เหลือบตาขึ้นมองมาทางประตูอย่างขี้เกียจครั้งหนึ่ง
อู๋ชิงกลับสะดุ้งตกใจ เดิมเขาที่นั่งอยู่ปลายเตียงของหลินยี่ก็กระโดดขึ้นมาในทันที เห็นผู้มาเยือนชัดเจนแล้วถึงได้โล่งใจ “คุณชายลู่”
ลู่เซิ่นพยักหน้าให้เขาอย่างขอไปที เดินตรงไปที่เบื้องหน้าหลินยี่ หลุบตามองเขา
หลินยี่สูญเสียเลือดมากเกินไป ทั้งยังนอนสลบอยู่บนเตียงหลายวัน คราวนี้แม้ว่าจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่สีหน้าก็ยังคงขาวซีดจนน่ากลัว คางแหลม และริมฝีปากไร้สีเลือด
“ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก ดวงแข็งจริงๆ นายดูสภาพของตัวเองตอนนี้ แตกต่างอะไรจากคนตาย” ลู่เซิ่นพิจารณาหลินยี่อย่างละเอียดอยู่รอบหนึ่ง จู่ๆก็เอ่ยเสียดสีออกมา
หลินยี่ยังไม่ทันได้พูดอะไร อู๋ชิงก็อดที่จะเอ่ยพูดไม่ได้ “คุณชายลู่ ถึงอย่างไรพี่ใหญ่ก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมานะครับ!”
“คุณหมอมาตรวจแล้วหรือยัง” ในที่สุดสายตาของลู่เซิ่นก็เบนออกจากร่างของหลินยี่ไปมองอู่ชิง
อู๋ชิงรีบพยักหน้า “คุณหมอมาตรวจแล้วครับ บอกว่าดัชนีทั้งหมดปกติมาก พักรักษาตัวต่อไป ก็จะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นเอง”
ลู่เซิ่นพยักหน้าอย่างเนือยๆ ก้มหน้าลงไปมองหลินยี่อีกครั้ง
ในที่สุดหลินยี่ก็เอ่ยปากพูด ประมาณว่าไม่ได้พูดนานมากเกินไป น้ำเสียงจึงแหบแห้งมาก “เรียบร้อยแล้ว อู๋ชิง นายออกไปก่อนเถอะ”
อู๋ชิงกวาดตามองลู่เซิ่นและหลินยี่ พอจะรู้ว่าพวกเราสองคนน่าจะมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกัน ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าแล้วออกไป ทั้งยังปิดประตูให้เรียบร้อยด้วย
ในที่สุดลู่เซิ่นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ข้างเตียงหลินยี่ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ฟื้นขึ้นมาแล้วรู้สึกอย่างไร”
แม้ว่าหลินยี่จะอ่อนแรงเพราะอาการป่วย แต่กลับยิ้มอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “แปลกเล็กน้อย ตอนที่ฉันฟื้นขึ้นมากลับพบกับเวินจิ้ง”
ลู่เซิ่นไม่พูดอะไรอยู่นาน เพียงแต่จ้องเขม็งไปที่หลินยี่
“นายยังจำได้สินะว่า ครั้งนั้นที่นายนั่งเครื่องบินของฉันมาที่เมืองหนาน ฉันเคยพูดถึงคนคนหนึ่งกับนายตอนที่อยู่บนเครื่องบิน” ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว จู่ๆลู่เซิ่นก็เอ่ยพูดขึ้นมา
หลินยี่ไม่ได้ตอบ เพียงแค่มองไปที่ลู่เซิ่น
“ตอนนั้นฉันพูดว่า ฉันรู้ว่าเธอชอบฉัน ฉันก็แค่ต้องการให้เธอรู้ว่า เธอชอบฉัน” ลู่เซิ่นไม่ใส่ใจในความเงียบของหลินยี่ พูดเองเออเอง “ตอนนี้ เธอรู้แล้วว่า เธอชอบฉัน”
สุดท้ายแล้วหลินยี่ก็อดไม่ไหวที่จะเอ่ยว่า “ดังนั้น……”
“ดังนั้น ฉันรักเธอ เธอรักฉัน พวกเราสองคนก็ควรจะอยู่ด้วยกัน นายอยากให้ฉันรับเวินจิ้งกลับมา เธอจะอยู่ในฐานะอะไร ฉันควรจะเผชิญหน้ากับเธออย่างไร” น้ำเสียงของลู่เซิ่นเรียบมาก แต่หลินยี่กลับฟังออกถึงความไม่พอใจมากมาย
เขารู้ว่า “เธอ” ทั้งสองคำในประโยคของลู่เซิ่นนั้น คำแรกคือเวินจิ้ง คำหลังคือคนรักที่ลู่เซิ่นพูดถึง
“ฉันรู้ว่าคนคนนั้นสำคัญกับนายมาก” หลินยี่ตอบ “นายตามหาเธอมาปีหนึ่งแล้ว และผ่านอะไรมามากมายถึงได้อยู่ด้วยกัน ดังนั้นฉันจึงไม่ได้เจตนาจะให้เวินจิ้งยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องระหว่างพวกนาย”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “อย่างนั้นนายหมายความว่าอะไร”
หลินยี่ยิ้มเนือยๆ “ขอร้องล่ะ แน่นอนว่าฉันก็รู้ว่านายไม่ชอบเวินจิ้ง ฉันก็ไม่สามารถให้เธออยู่กับนายอย่างได้รับความไม่เป็นธรรมได้ แต่นายรับเธอกลับมาก็ไม่ได้แสดงว่าพวกนายจะต้องทำอะไร นายเพียงแค่หาข้ออ้างกับเธอสักข้อ ให้เธอไปจากมู่วี่สิงก็พอแล้ว”
คิ้วลู่เซิ่นขมวดแน่นกว่าเดิม “นายต้องการให้ฉันกับเธอแต่งงานกันหลอกๆหรือ”
หลินยี่ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่หัวเราะเยาะเขา
ลู่เซิ่นก้มหน้าครุ่นคิดไม่กี่วินาที ก็ค่อยๆเอ่ยตอบว่า “ตั้งแต่แรกเริ่ม นายก็ต้องการให้ฉันกับเวินจิ้งแต่งงานกันหลอกๆใช่ไหม”
ในที่สุดหลินยี่ก็ส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง “ฉันพูดตลอดว่าให้นายรับเวินจิ้งกลับมา”
ลู่เซิ่นหัวเราะออกมา “นายพอเถอะ นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องแต่งงานกับเวินจิ้งหรอกหรือ แต่นายก็รู้ว่าในใจฉันมีคนอื่น ดังนั้น เดิมจึงไม่ได้วางแผนจะให้ฉันกับเวินจิ้งอยู่ด้วยกันจริงๆ เพียงแค่ใช้วิธีนี้ให้เธอไปจากตระกูลมู่ ทั้งยังเบนความสนใจออกจากตระกูลมู่เท่านั้นเอง”
หลินยี่ถอนหายใจเสียงยาว พูดทีเล่นทีจริงว่า “สมกับที่เป็นคุณชายลู่ ฉันทำอะไรก็ล้วนหนีไม่พ้นสายตานาย แต่นายรีบร้อนเน้นย้ำคำว่า ‘แต่งงานปลอมๆ’กับฉันทำไมกัน”
ลู่เซิ่นที่เงียบอยู่นาน ก็ไม่ตอบคำถาม
ในใจของเขาชัดเจนแจ่มแจ้งมากว่า สาเหตุที่ตัวเองย้ำคำว่าแต่งงานหลอกๆครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้หักหลังฉินซี
เขาเพียงแค่ช่วยเหลือหลินยี่ ตอบแทนบุญคุณหลินยี่เท่านั้นเอง
“ในใจของตัวเองไม่ได้รู้สึกผิด พูดกับฉันไปก็ไม่มีประโยชน์” หลินยี่เห็นว่าเขาไม่ตอบอยู่นาน ก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยแววเยาะเย้ย “ถ้าหากว่านายรู้สึกลำบากใจจริงๆ ฉันก็จะไม่บีบบังคับนาย นายไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับเธอ นายแค่ช่วยเหลือเธอก็พอ”