บทที่ 1310 ระเบิด
ลู่เซิ่นสีหน้าเย็นชาในตอนนั้น แต่ก็อยากจะรีบออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ดูว่าเครื่องบินอีกลำเป็นของใคร หลินหยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ดึงฉินซีไปด้วย
ฉินซีกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติขึ้นมากะทันหัน
แต่อธิบายไม่ได้ว่าอะไรไม่ปกติ พลางมองไปทางเครื่องบินที่จอดอยู่ด้านหน้าแวบหนึ่ง
แค่แวบเดียว ม่านตาของเธอก็หรี่ลงทันที
“วิ่งเร็ว!”
เธอพลิกมือมาจับข้อมือของลู่เซิ่น ลากเขาวิ่งไปทางเครื่องบินของตระกูลลู่พร้อมกัน
ลู่เซิ่นและหลินหยังไม่รู้ว่าทำไม วิ่งตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ลานจอดเครื่องบินชั้นบนดาดฟ้าของเรือจะมืดมาก แต่ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ดูผิด
ด้านข้างเครื่องบิน มีคนที่มองเห็นหน้าไม่ค่อยชัดยืนอยู่ เสื้อนอกของเขาเปิดออก ทั่วทั้งตัวดูพองๆ ปูดบวม ที่เอวยังมีอะไรบางอย่างส่องประกายวิบวับ
ฉินซีดูไม่ผิดแน่ นี่คือการเตรียมตัว…การโจมตีโดยการฆ่าตัวตาย
เพราะเอวล้อมรอบไปด้วยระเบิด ดังนั้นทั้งตัวจึงดูบวมๆ และไฟที่กะพริบก็คือ…เวลานับถอยหลัง
เครื่องบินของทั้งสองครอบครัวไม่ถือว่าใกล้กัน หัวใจของฉินซีรู้สึกอันตราย เธอไม่รู้ว่าคนคนนั้นควบคุมระเบิดด้วยตัวเองไหม ไม่รู้ว่าเวลานับถอยหลังอีกนานแค่ไหน กระทั่งไม่สามารถเหนื่อยได้ ทำได้แค่ก้มลงและพุ่งไปด้านหน้า
เห็นเครื่องบินอยู่ตรงหน้า ฉินซีเพิ่งจะโล่งใจขึ้นมาหน่อย ด้านก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นตามมา
ระเบิดระเบิดแล้ว
ฉินซีหยุดไปชั่วขณะ ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็รู้สึกถึงแรงกระแทกที่ส่งมาจากด้านหลัง เธอลอยขึ้น ร่างของเธอพุ่งไปด้านหน้าอย่างควบคุมไม่ได้
ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีถูกยืดยาวออกไปในทันที ราวกับว่าใช้โหมดเคลื่อนไหวช้า
สายตาของฉินซีเห็นลู่เซิ่นและหลินหยังที่อยู่ด้านข้าง “ลอย” ขึ้นมาเหมือนเธอ ดูเหมือนเฮลิคอปเตอร์ของตระกูลลู่สั่นอย่างรุนแรง
ไม่ช้าฉินซีก็พบว่าแรงที่ผลักตัวเองไปด้านหน้า เปลี่ยนเป็นแรงอีกชนิดหนึ่ง…ลู่เซิ่นผลักเธอมาจากด้านหลัง
ดูเหมือนว่าตอนที่ลู่เซิ่นรู้ว่ามันคือระเบิด เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีบังด้านหลังของฉินซีไว้
รูปร่างของฉินซีไม่ได้เล็กกะทัดรัด แต่ลู่เซิ่นสามารถปกป้องได้ภายใต้ร่างกายของเขา
ดวงตาของฉินซีเจ็บ เธอพยายามดิ้นเพื่อดูสถานการณ์ของลู่เซิ่น แต่ลู่เซิ่นกลับกดเธอไว้แน่น ไม่ยอมให้เธอขยับ
ถึงแม้การระเบิดครั้งนี้จะมีขนาดเล็กกว่าครั้งก่อนไม่น้อย แต่ก็เกิดบนชั้นดาดฟ้าที่ใช้จอดเครื่องบิน และสำหรับคนที่อยู่บนเรือสำราญด้วยสติสัมปชัญญะที่ตึงเครียดที่สุดแล้วนั่น เหมือนกับการเติมน้ำมันลงในไฟ ระเบิดได้ในทันที
สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่ปกติแต่งตัวดูดี ครั้งนี้ไม่สนใจภาพลักษณ์ วิ่งวุ่นร้องโวยวายไปทั่ว กลัวว่าตำแหน่งที่อยู่จะระเบิดขึ้นมาอีกครั้งในวินาทีต่อมา
แต่ความปั่นป่วนทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับฉินซี
ลู่เซิ่นใช้ร่างกายที่แข็งแรงเป็นกำแพงปกป้องฉินซีอย่างแน่นหนา เหมือนกับว่าทุกอย่างถูกแยกไว้ด้านนอก เสียงดังโวยวายห่างออกไปจากเธอแล้ว ทั้งโลกมีแค่ลมหายใจร้อนๆ ของลู่เซิ่นที่อยู่ข้างหูเธอ และมีแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่แนบชิดอยู่กับหลังของฉินซี
ความจริงแล้วเวลาผ่านไปเพียงครึ่งนาที แต่ฉินซีกลับรู้สึกว่ามันยืดออกมายาวนานอย่างกับหนึ่งศตวรรษอย่างนั้น
มั่นใจว่าไม่มีอันตรายอีกแล้ว ลู่เซิ่นค่อยๆ ผ่อนแรงและลุกขึ้นนั่ง
ในที่สุดฉินซีก็หาโอกาสลุกขึ้นมาได้ รีบหันกลับไปสำรวจลู่เซิ่นอย่างละเอียดทันที น้ำเสียงมีความร้อนรน : “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม? ไม่สบายตรงไหนไหม?”
เสียงเธอแตกเพราะความร้อนใจ ท่าทีสงบนิ่งอย่างปกติถูกไล่หายไปไม่เห็นเงาตั้งนานแล้ว มือคู่นั้นลูปคลำที่ใบหน้าและไหล่ของลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นยกมือขึ้นจับมือที่คลำไปทั่วของเธอ วางไว้ที่หน้าอก และยื่นหน้าไป ให้หน้าผากทั้งสองคนแตะกัน จับจ้องสายตาฉินซี จากนั้นส่ายหน้า : “ฉันไม่เป็นไร”
แน่นอนฉินซีไม่เชื่อคำพูดเขา ถึงแม้แรงระเบิดจะไม่แรงเท่าที่เธอคิดไว้ ถ้าหากดูแลปกป้องตัวเองได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ในเมื่อลู่เซิ่นบังให้เธอ ไม่ปกป้องตัวเองแม้แต่นิด ไม่มีทางที่จะไม่เป็นอะไรเลย
ลู่เซิ่นเห็นฉินซีทำหน้าไม่เชื่อ ถอนหายใจเบาๆ ปล่อยมือฉินซีมาจับข้อมือเธอ และดึงให้ลุกขึ้นยืน
หลินหยังก็ลุกขึ้นมาแล้ว รีบมองสำรวจร่างกายทั้งสองคนในทันที
“เรียกคนมาจัดการเรื่องที่นี่” ในสามคนสติของลู่เซิ่นสงบที่สุด หันไปสั่งงานหลินหยังหนึ่งประโยค และลากฉินซีเดินไปทางเฮลิคอปเตอร์
ดีที่จุดจอดเครื่องบินของตระกูลลู่ห่างจากจุดระเบิดไกล จึงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
ลู่เซิ่นส่งฉินซีขึ้นไปเครื่องบินไปก่อน ตัวเองตามขึ้นไปทีหลัง
หลังจากรอหลินหยังขึ้นเครื่องบินมาด้วยแล้ว นักบินจึงปิดประตูห้องโดยสาร
เครื่องบินค่อยๆ ออกตัว
หลินหยังเลือกที่นั่งที่ไกลที่สุดให้ตัวเองอย่างรู้หน้าที่ ในมุมมีแค่ฉินซีและลู่เซิ่น
ดูเหมือนว่าฉินซีจะตกใจเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ไม่สนใจว่าการเปิดเผยตัวเองต่อหน้าคนอื่นจะอันตรายมากแค่ไหน สองมือจับลู่เซิ่นไว้แน่น เหมือนต้องจับอะไรไว้ให้แน่น ถึงจะไม่เสียมันไปอย่างไงอย่างนั้น
เธอใช้แรงมากจนลู่เซิ่นเริ่มรู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือ
เขาหันไปมองฉินซี พยายามทำเสียงสบายๆ : “ฉันไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ”
ฉินซีหันมองเขา เม้มปากแน่น ไม่พูดอะไร แต่แววตาคู่นั่นกลับสว่างในความมืดอย่างน่าตกใจ
“พวกเราไปโรงพยาบาล” แรงที่มือเธอนั่นไม่ได้ลดลง น้ำเสียงเหมือนพึมพำ
ลู่เซิ่นทำได้แค่พยักหน้า
เครื่องบินมาถึงลานจอดด้านบนโรงพยาบาลอย่างเร็ว หลินหยังได้ติดต่อคนที่โรงพยาบาลไว้ก่อนแล้ว เมื่อฉินซีและลู่เซิ่นลงจากเครื่องบินก็ถูกแยกไปตรวจทันที
เครื่องมือตรวจสอบผ่านไปทีละอย่าง ฉินซีเหมือนศพที่เดินได้ ใครบอกให้ทำอะไรก็ทำ แม้แต่พยาบาลยังรู้สึกว่าสติเธอไม่ปกติ กล่าวปลอบอย่างอ่อนโยน : “ผลการตรวจไม่มีปัญหา ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องกลัว”
ฉินซีได้ยินแล้วแค่พยักหน้าเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไร
ตรวจเสร็จเรียบร้อย เวลาผ่านไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง ฉินซีออกมาจากห้องตรวจห้องสุดท้าย กำลังเตรียมจะถามว่าใครสักคนว่าลู่เซิ่นอยู่ที่ไหน เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหลินหยังยืนอยู่ด้านนอก
เธอเปลี่ยนเป็นก้าวเร็วขึ้น ไม่กี่ก้าวก็พุ่งไปตรงหน้าหลินหยังแล้ว ขมวดคิ้วถาม : “ลู่เซิ่นล่ะ? เขาเป็นอะไร?”
“ยังตรวจอยู่ ไม่ต้องร้อนใจ” หลินหยังปลอบอย่างอ่อนโยน “ผลการตรวจสอบตอนนี้ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”