บทที่ 1312 สายโทรศัพท์ของจ้านเซิน
ฉินซีหายใจเข้าลึกๆ พยายามบังคับตัวเองให้ใจเย็น แล้วถึงลุกขึ้น : “ฉันขอตัวออกไปรับโทรศัพท์สักครู่นะ”
ลู่เซิ่นไม่ได้รั้งเธอไว้ แต่สายตานั้นก็มองตามหลังเธอไปตลอดทาง จนกระทั่งร่างของเธอได้หายลับไปกับประตู
ฉินซีเดินตามระเบียงทางเดินจนกระทั่งเห็นว่าไม่มีคน ถึงได้หายใจลึกๆแล้วกดรับสายโทรศัพท์ : “จ้านเซินเหรอ”
“คุณอยู่ที่ไหน” จ้านเซินถามตรงๆอย่างห้วนๆ
ฉินซีไม่มีการปิดบัง : “ฉันอยู่โรงพยาบาล”
“คนที่ท่าเรือบอกไม่เจอคุณ” เดาไม่ออกถึงอารมณ์จากน้ำเสียงของจ้านเซิน แต่ดูเหมือนเขาแค่อธิบายเรื่องราวที่เป็นไปตามจริง
ฉินซีจึงได้ตอบกลับไปว่า : “เรือสำราญเกิดการระเบิด ฉันจึงตามหน่วยกู้ภัยออกมาจากเรือสำราญ และพวกเขาก็ขับรถตรงมาที่โรงพยาบาล ฉันก็เลยถูกพามาด้วย”
ตามการรับรู้ข่าวสารที่รวดเร็วของจ้านเซิน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือสำราญ แต่ว่าเขากลับไม่เอ่ยถึงสักคำ ทำให้ฉินซีรู้สึกวิตกเล็กน้อย
“อย่างนี้” จ้านเซินหยุดไปชั่วครู่ ก่อนที่เหมือนจะคิดอะไรออก จึงได้อ้าปากถามขึ้น “แล้วคุณเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”
เมื่อฉินซีได้ยินความเป็นห่วงจากเขา ทำให้เธอถึงกับขนหัวลุก
นี่ไม่ใช่ตัวตนของจ้านเซิน การถามแบบนี้ มีแต่จะทำให้เขาดูผิดปกติยิ่งขึ้น
ความผิดปกติของจ้านเซิน…..ไม่รู้ว่าจะนำมาซึ่งผลลัพธ์อันใด
เส้นประสาทฉินซีแน่นตึงเปรี๊ยะ การพูดการจาก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง : “ฉันไม่ได้เป็นไรค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมให้คนไปรับคุณที่โรงพยาบาลนะ” จ้านเซินรีบพูดขึ้นทันที เหมือนกับว่าก็รอให้เธอพูดประโยคนี้เช่นกัน
ฉินซีกระอึกกระอักอยู่สักพัก ทำได้แค่เพียงพยักหน้าตอบรับ : “ค่ะ”
ลู่เซิ่นยังคงนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล แต่เธอกลับต้องจากที่นี่ไป
และเธอดันไม่สามารถปฏิเสธได้อีก
เธอรู้สึกว่าดูเหมือนจ้านเซินเกิดความสงสัยขึ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รีบร้อนให้เธอออกไปจากที่นี่
เผชิญหน้าต่อความสงสัยของจ้านเซิน เธอไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม
เมื่อจ้านเซินได้ยินเธอตอบรับ จึงได้วางสายโทรศัพท์ลง
ฉินซีถือโทรศัพท์ยืนอยู่กับที่อยู่สักพัก ก่อนที่จะหมุนตัวหันหลังกลับไปที่ห้องผู้ป่วยของลู่เซิ่น
หลินหยังได้ออกไปแล้ว ในห้องไม่มีผู้อื่น มีเพียงลู่เซิ่นที่นั่งอยู่บนโซฟา
ฉินซีเดินมุ่งหน้าไปหาเขา แต่แล้วก็ลังเลชะงักอยู่กับที่
ลู่เซิ่นนั้นได้ยินถึงความเคลื่อนไหว เงยหน้าขึ้นเห็นว่าเป็นเธอ จึงเผยรอยยิ้มเบาๆออกมา
ฉินซีรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดนั้นดูโหดร้าย ถึงได้ลังเลอยู่กับที่อยู่สักพัก โดยไม่ได้เข้าไปใกล้ลู่เซิ่น
“เป็นอะไรไป” แน่นอนว่าลู่เซิ่นก็เห็นถึงความผิดปกติของเธอ รอยยิ้มบนใบก็ค่อยๆจางลง จึงได้เอ่ยปากถามขึ้น
ฉินซีกัดริมฝีปาก พยายามควบคุมเสียงตัวเองให้นิ่งเป็นปกติ : “ฉัน…..ต้องไปแล้ว คุณต้องเชื่อฟังคำของคุณหมอนะ ทานข้าวให้เป็นเวลา ดูแลรักษากระเพาะให้ดีๆ……”
สีหน้าของลู่เซิ่นค่อยๆหม่นลงตามคำพูดของเธอ เมื่อน้ำเสียงของเธอค่อยๆเบาลงจนจางหายไปในที่สุด ถึงได้พูดขึ้น : “เขาต้องการให้คุณกลับไปเหรอ”
ลู่เซิ่นไม่ได้เจาะจงว่า “เขา” หมายถึงใคร แต่ทั้งคู่ต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาหมายถึงจ้านเซิน
ฉินซีเม้มปากแล้วพยักหน้า
ลู่เซิ่นรู้สึกถึงหัวใจไร้เรี่ยวแรง
เขาไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ เขายอมทำทุกอย่าง เพื่อต้องการให้ฉินซีนั้นอยู่ข้างๆ
แต่ว่าข้อความนั้นของถังย่ายังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา
ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ทุกๆครั้งที่ลู่เซิ่นคิดถึงฉินซีจนถึงขั้นขีดสุด จนอยากจะทิ้งทุกๆอย่างเพื่อไปหาฉินซีนั้น ก็จะเป็นข้อความนี้ที่มาระงับความใจร้อนของเขาไว้
ข้อมือของฉินซีที่ถูกองค์กรฝังชิปไว้ สามารถพรากชีวิตของฉินซีได้ตลอดเวลา จึงเหมือนกับมีดที่จี้อยู่บนคอหอยของลู่เซิ่น ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรผลีผลาม
เขาในเวลานี้ก็เช่นกัน ทำได้เพียงอดกลั้นแล้วหรี่ตาลงชำเลืองดูข้อมือของฉินซี สักพักถึงส่งเสียงพูดขึ้น : “คุณก็เช่นกัน ดูแลตัวเองให้ดีๆ”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างจะแหบเล็กน้อย ฉินซีเจ็บจี๊ดที่หัวใจจนกำมือแน่น จากนั้นก็ค่อยๆคลายออก
เขาเดินก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วก้มลงจูบที่มุมปากของลู่เซิ่นเบาๆ จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยโดยที่ไม่หันกลับมามอง
ลู่เซิ่นมองตามหลังเธอที่เดินจากไปด้วยสายตามึนงง
เสียงฝีเท้าของฉินซีในที่สุดก็จางหายไปจากระเบียงทางเดิน ลู่เซิ่นหลับตาแล้วเอนตัวลงบนโซฟา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จนที่ประตูมีเสียงเคาะเบาๆดังขึ้น
ลู่เซิ่นจึงลืมตา
……
ใช้เวลาร่ำลากับลู่เซิ่นอยู่นานพอสมควร จึงทำให้ฉินซีต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ไม่ไปสายจนทำให้จ้านเซินต้องสงสัย
ขณะที่ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดลง ฉินซีเห็นร่างของคนคนหนึ่งเดินผ่านไปจากช่องว่างประตูลิฟต์
ข้อดีที่ได้จากการฝึกซ้อมขององค์กร แค่เพียงชำเลืองมองอย่างเร็วพลันเช่นนี้ เธอก็สามารถมองร่างนั้นออกได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นแพทย์หญิงคนนั้นคนที่เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยของลู่เซิ่น
เห็นแบบนี้แล้ว…..ก็ยิ่งทำให้คุ้นตา
ฉินซีขมวดคิ้ว ช่วงเวลาที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวลง เธอพยายามที่จะนึก แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
จนกระทั่งประตูลิฟต์ค่อยๆเปิดออก ฉินซีถึงได้หยุดคิดแล้วยกเท้าก้าวออกมา
แต่ว่าตรงข้ามประตูลิฟต์นั้นเป็นใบรายชื่อแพทย์ของโรงพยาบาล
เดิมทีฉินซีไม่ตั้งใจดูใบรายชื่อนี้ แต่ว่าสายตาก็เหลือบไปเห็น เหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ
เพราะรายชื่อแพทย์ท่านหนึ่งที่เธอเห็นนั้นคือ ——เวินจิ้ง
ในที่สุดเธอก็พอจะนึกออกว่าร่างที่คุ้นตานั้นเป็นของใคร
เวินจิ้ง
ฉินซีกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
เวินจิ้งอยู่ที่นี่เหรอ
ถึงแม้ว่างานแต่งเมื่อหนึ่งปีก่อน เธอนั้นจะรู้ดีกว่าใครว่าเกิดอะไรขึ้น และก็รู้ว่าเวินจิ้งเป็นคุณหญิงลู่แค่เพียงในนามเท่านั้น
แต่สิ่งนี้ก็ไม่สามารถจะหยุดความหึงหวงที่มีอยู่ภายในใจของเธอได้
แม้จะรู้ว่าเวินจิ้งกับลู่เซิ่นไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แต่ก็คงไม่มีผู้หญิงคนไหนจะใจกว้างได้เพียงนี้
เธอจากไปแล้ว แต่ชื่อเสียงของลู่เซิ่นและภรรยาที่เป็นที่รู้จักยังคงอยู่ที่นี่ อยู่ข้างๆลู่เซิ่น
เล็บมือของฉินซีจิกเข้าที่ฝ่ามืออย่างไม่รู้ตัว
เป็นเวลาที่โทรศัพท์ของฉินซีสั่นดังขึ้นหนึ่งครั้ง จึงทำให้เธอรู้สึกตัว
เธอรู้ว่านี่เป็นข้อความจากองค์กรส่งมาเพื่อเธอบอกว่ารถได้มาถึงแล้ว
เพราะฉะนั้น…..เธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้อีก
ฉินซีมองรูปนั้นของเวินจิ้งอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินออกไป
เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตู หลายนาทีก็ผ่านไปแล้ว
คนที่มารอรับเธอไม่มีการพูดจาใดๆ เมื่อเห็นเธอนั่งลงแล้วก็ได้ขับรถเคลื่อนออกไป
เมื่อขับมาสักพัก ฉินซีถึงรู้สึกความผิดปกติ
“ไม่ไปสนามบินเหรอ” ฉินซีเอ่ยปากถามขึ้น
คนนั้นเงียบอยู่สักพักก่อนจะส่ายหน้า : “ไม่ครับ คนข้างบนสั่งให้ผมพาคุณไปที่สาขาของเมืองหนาน”
สีหน้าของฉินซีเย็นวาบขึ้น : “สาขาของเมืองหนานเหรอ”
คนนั้นพยักหน้า
ฉินซีคิดทบทวนอยู่สักพัก พบว่าตอนที่ตัวเองจากไปนั้น จ้านเซินไม่เคยพูดกับตัวเองจริงๆว่า เมื่อภารกิจสำเร็จแล้วให้กลับไปที่สาขา
แต่ว่า…..ให้ไปทำอะไรที่สาขาของเมืองหนาน
ฉินซีรู้สึกระแวง ดังนั้นจึงทำให้มีความรู้สึกไวต่อสิ่งที่ผิดปกติ แต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมาให้เห็น รู้ว่าหากตัวเองถามต่อไปเกรงว่าจะถูกจับได้ จึงทำได้เพียงควบคุมอารมณ์ไว้เท่านั้น
ขับไปอีกสักพัก แล้วก็เลี้ยวอีกไม่กี่โค้ง ก็ถึงปลายทาง
ฉินซีลงจากรถ