บทที่ 1320 แผนการ
เนื้อหาของข้อมูลดูไม่ซับซ้อนอย่างที่ฉินซีคิด แต่ว่าในที่สุดฉินซีก็สามารถหาข้อมูลที่ตัวเองต้องการเจอ
ดูจากข้อมูลแล้ว เวินจิ้งแต่งงานที่เมืองหนาน สามีดูเหมือนจะเป็นคนมีอิทธิพลในเมืองหนาน แต่ว่าสามีคือใครกัน เพราะในข้อมูลไม่มีการระบุชื่อไว้
ฉินซีครุ่นคิด
คนอย่างเวินจิ้ง ไม่ใช่เป็นคนพิเศษคนสำคัญแต่อย่างใด ดังนั้นข้อมูลของเธอที่องค์กรบันทึกไว้จึงไม่มีรายละเอียดเท่าที่ควร ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลก
ก็เหมือนกับการที่ไม่มีคนจะเขียนอธิบายถึงชีวิตและภูมิหลังของผู้สัญจรลงในหนังสือเล่มหนึ่ง
แต่ชื่อของสามีเธอดันตกหล่น ทำให้ฉินซีเอะใจถึงกลิ่นตุๆ
ถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่ไม่สำคัญจริงๆ อย่างนั้นก็ควรระบุชื่อให้ชัดเจน แต่การทำเช่นนี้ ดูแล้ว…..เหมือนมีคนต้องการปกปิดบางอย่างเกี่ยวกับอดีตของเวินจิ้ง
แววตาฉินซีประกายความอยากรู้อยากเห็นขึ้น
ดูเหมือนเวินจิ้งคนนี้…..น่าสนใจกว่าที่คิดเสียอีก
เมื่อเปิดดูข้อมูลเสร็จแล้ว ความสงสัยที่ฉินซีมีต่อเวินจิ้งก็ยิ่งทวีเพิ่มขึ้น แต่คำถามที่เธอแปลกใจก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
ฉินซีได้ออกจากระบบฐานข้อมูล แล้วก็ปิดคอมพิวเตอร์ลง จากนั้นก็ลุกขึ้น
——ดูแล้ว คงต้องพึ่งตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบแล้ว
แต่ว่า…..ฉินซีคิดว่าถ้าหากไปถามตรงๆ เวินจิ้งก็คงอาจไม่บอกความจริง ในเมื่อข้อมูลมีการปิดบัง ก็คงเป็นเรื่องที่ยากจะเอ่ยปากพูด
ในเมื่อถ้าถามไม่ได้คำตอบ อย่างนั้นก็คงต้องไปหาคำตอบด้วยตัวเอง
แน่นอนเธอดูออกว่าลู่เซิ่นไม่อยากให้เธอเจอกับเวินจิ้ง ดังนั้นตอนที่เจอกับเวินจิ้ง…..จะต้องวางแผนตอนที่ลู่เซิ่นไม่ได้อยู่ที่นี่
ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุด
ฉินซีจึงได้ตัดสินใจแอบวางแผนเงียบๆในใจ
…..
เป็นเวลาเดียวกันกับลู่เซิ่นที่กำลังขึ้นเครื่อง
เขาเพิ่งอยู่กับเอกสารหน้าหนึ่งเป็นเวลานาน โดยที่ไม่มีการเปิดไปหน้าต่อไป
จนเสียงของหลินหยังดังขึ้น : “ประธานลู่ครับ”
เขาถึงได้รู้สึกตัวขึ้น จึงได้นวดขมับ วางแล็ปท็อปลง แล้วก็เงยหน้าพูดกับหลินหยังทันที : “นายเอาแผนไตรมาสต่อไปของบริษัทลู่ซื่อมาให้ผมดูหน่อย”
หลินหยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง
ลู่เซิ่นเปิดดูเอกสาร สแกนดูหนึ่งรอบแล้วก็แอบถอนหายใจโล่งอก
ยังดีที่เดิมทีเขาอยากทำการเปิดตลาดให้กับบริษัทลู่ซื่อ ดังนั้นแผนการจัดการของครึ่งปีหลังได้วางไว้อย่างดีแล้ว แค่เพียงสแกนดู ก็สามารถรู้ว่าโอกาสมาเมืองหนานนั้นมีไม่น้อย
แม้แต่…..การไปประจำการที่เมืองหนาน ก็คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยาก
ลู่เซิ่นครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้อย่างเงียบๆ ไม่ได้มีการพูดออกมา สแกนดูแวบหนึ่งแล้วก็วางลง
หลินหยังจริงๆแล้วก็ติดตามเขามานานหลายปี แค่เพียงมองตาก็สามารถรู้ว่าได้ลู่เซิ่นนั้นต้องการสิ่งใด
“แผนการจัดการของครึ่งปีหลัง…..ต้องการกำหนดแผนการเดินทางในเมืองหนานใหม่ไหมครับ” เขาเอ่ยปากถาม
หลินหยังรู้สึกว่าลู่เซิ่นจะไม่มีทางปฏิเสธคำเสนอ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่ต้อง” น้ำเสียงของลู่เซิ่นราบเรียบ “ศักยภาพการพัฒนาในเมืองหนานได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ตลาดก็ถึงจุดอิ่มตัว ไม่มีช่องว่างในการพัฒนาได้อีก ก่อนหน้านั้นที่ได้วางแผนจัดการของครึ่งปีหลังที่มุ่งเน้นไปทางการพัฒนาไว้นั้น ได้วางไว้อย่างดีแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง”
หลินหยังแอบชื่นชมอยู่ในใจ สมแล้วที่เป็นประธานลู่
แต่เกรงว่ามีเพียงลู่เซิ่นเท่านั้นที่รู้ แม้ว่าจะตั้งใจจัดเวลาเพื่อกลับไปเจอฉินซีที่เมืองหนานนั้นจะน่าสนใจมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
ตราบใดที่บริษัทลู่ยังไม่ยิ่งใหญ่ ต่อให้มีทางทำให้ได้เจอกับฉินซี ก็ทำได้เพียงซ่อนเก็บไว้ในใจ
เขาลิ้มรสรสชาติของนรกมาเพียงพอแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธแผนการจัดการเดิมที่มีการเตรียมไว้ เพื่อกลับไปเจอหน้าฉินซี
แต่…..
“แต่ว่าช่วยจัดการกับตารางการพักผ่อนของผมใหม่นะ” หลินหยังเพิ่งจะถอนหายใจ ก็ได้ยินลู่เซิ่นพูดขึ้น “จัดการเวลาที่เป็นเวลาพักผ่อนของผมไปไว้ที่เมืองหนานให้หมด”
หลินหยังเม้มปากแล้วพยักหน้า ห่อเหี่ยวในใจ —— ผมจะไม่ให้มีการส่งกระทบผลต่องานเพราะคุณ แต่ว่าเวลาพักผ่อนของผมทั้งหมดจะมอบให้กับคุณ
ประธานลู่ ช่างเป็นแบบอย่างของผู้ชายที่ดีจริงๆ
ลู่เซิ่นย่อมไม่รู้ว่าหลินหยังนั้นข้างในคิดอะไรอยู่ เขาแค่กะพริบตาลง บังคับตัวเองให้จดจ่ออยู่กับเอกสารที่อยู่ในมือ
อีกไม่นานก็จะได้พบกัน
เขาพูดให้กำลังใจตัวเองในใจ
…..
รุ่งเช้าของอีกวัน ฉินซีตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกของโทรศัพท์
เดิมดีเธอคิ้วเข้มขมวดแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อเห็นชื่อสายที่โทรเข้ามา อารมณ์บนใบหน้าที่มีก็จางหายไป มุมปากมีการเผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ยื่นมือไปกดรับสายวิดีโอคอล
“เพิ่งตื่นเหรอ” ใบหน้าของลู่เซิ่นปรากฏอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนของประเทศ F เขาน่าจะเพิ่งลงจากเครื่อง แสงไฟข้างถนนได้ส่องกระทบที่ใบหน้าด้านข้างของเขา ทำให้เห็นถึงความเฉียบบาง
แต่ว่าใบหน้าที่เฉียบบางนี้ ขณะที่มองดูฉินซีนั้น ในแววตาช่างดูนุ่มนวลและอ่อนโยน
ฉินซีรู้สึกว่าวันหนึ่งตัวเองนั้นจะต้องละลายอยู่ในแววตาของเขา อารมณ์ที่ไม่ดีได้จางหายไปหมดแล้ว และถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม : “ใช่ เพิ่งตื่น คุณเพิ่งถึงเหรอ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า : “ครับ”
ทั้งคู่คุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปฉินซีเป็นห่วงทางลู่เซิ่นนั้นเป็นเวลาดึกดื่น จึงพูดกันไม่กี่ประโยคก็บอกให้เขารีบกลับไปพักผ่อน ลู่เซิ่นได้แต่ดูเอกสารระหว่างทางไปสนามบิน สีหน้าของเขาตอนนี้จึงดูเหนื่อยล้า เขาจึงวางโทรศัพท์โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม
ฉินซีจับมือถืออยู่ในอาการที่สะลึมสะลือ ความรู้สึกแบบนี้…..ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน คล้ายๆกับว่าได้ย้อนกลับไปสู่ห้วงเวลาเมื่อหนึ่งปีก่อน ที่เขายังอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวน เวลานั้นเธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีใจให้กับลู่เซิ่น และก็บังเอิญที่ลู่เซิ่นก็ไปดูงานที่เมืองหนาน ทั้งคู่จึงต้องอยู่ไกลกัน ด้วยความต่างของเวลาถึงสิบสองชั่วโมง ทำได้เพียงคุยกันผ่านทางวิดีโอคอลทุกตอนเช้าและตอนเย็นเท่านั้น ดังนั้นช่วงเวลานั้น สองชั่วโมงทั้งตอนเช้าและตอนเย็น เป็นช่วงเวลาที่ฉินซีรอคอยมากที่สุด
หลังจากนั้นผ่านไปปีกว่า เธอกับลู่เซิ่นไม่สามารถติดต่อได้กันตามอำเภอใจอีก ดังนั้นจึงไม่ได้มีเวลาแบบนั้นด้วยกันอีก
จนกระทั่งวันนี้
แม้ว่าตอนนี้กลับตรงกันข้าม เธออยู่เมืองหนาน ลู่เซิ่นอยู่ประเทศ F แต่ว่าความแตกต่างของเวลาที่ห่างกันสิบสองชั่วโมงยังคงเหมือนเดิม ความรู้สึกระหว่างเธอกับลู่เซิ่น…..ก็เหมือนเดิม
คำถามและคำตอบของทั้งคู่ที่คล้ายกับว่าในหนึ่งปีที่ผ่านมานั้นไม่มีความยากลำบากแต่อย่างใด หลังจากนี้ต่อไปอุปสรรคที่ทั้งคู่ต้องเผชิญคงไม่มีอะไรที่ยากเย็นอีก เรื่องที่สำคัญในโลกใบนี้ ก็คือการได้บอกอรุณสวัสดิ์กับคนที่อยู่ในคู่สายเพื่อแลกกับคำว่าราตรีสวัสดิ์
จู่ๆฉินซียิ้มให้กับตัวเอง แล้วลุกขึ้นนั่งจากเตียง ไปนั่งที่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์
แต่ว่าครั้งหน้า ก่อนที่จะเจอกับลู่เซิ่น เธอจะต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเวินจิ้ง…..ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
แล้วก็เม้มปากขึ้น พิมพ์ตัวอักษรบางคำลงในคอมพิวเตอร์
ในไม่ช้า ในคอมพิวเตอร์ของฉินซีปรากฏแผนที่ขึ้น และในแผนที่มีจุดสีแดงปักหมุดอยู่