บทที่1483 คลื่นใต้น้ำ
ถ้าฉินซีถูกจับ งั้นทั้งหมดที่เขาทำตอนนี้ จะมีความหมายอะไร
โจวเอ้อรีบก้าวไปข้างหน้า ดึงโจวซิงที่อารมณ์ตื่นเต้นไว้ “โจวซิง นายพูดให้มันน้อยๆหน่อย! ลู่เซิ่นเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ นายไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นร้ายแรงแค่ไหน”
เขายืนขวางอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง มองไปที่โจวซิงด้วยใบหน้าตำหนิ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย
น้องชายเขาคนนี้ดีหมดทุกอย่าง แต่เอาใจเขามาใส่ใจเราคิดเพื่อคนอื่นไม่เป็น
พูดให้ดูดีหน่อยก็คือมีเหตุผล แต่พูดไม่น่าฟัง ไม่มีรสชาติความเป็นคน
โจวซิงตระหนักได้ว่าอารมณ์ของตนสูญเสียการควบคุมแล้ว เขาสูดหายใจลึก บังคับให้ตัวเองใจเย็นลง “ขอโทษ”
เขาก้มศีรษะลง พูดเสียงอู้อี้
เสียงขอโทษนี้พูดให้ลู่เซิ่นฟังเป็นธรรมดา
ลู่เซิ่นรู้ว่าสาเหตุที่โจวซิงตื่นตัวแบบนี้ เป็นเพียงเพราะว่าเขาไม่ใส่ใจร่างกายตัวเอง ยืนอยู่ในมุมมองของหมอและเพื่อนคนหนึ่งที่คิดเผื่อเขาเท่านั้น ไม่ได้มีประสงค์ร้ายใดๆ
ดังนั้น ลู่เซิ่นจึงส่ายหน้า “นายไม่ต้องขอโทษฉัน ฉันเข้าใจความหมายของนาย”
เขาเอ่ยปากเบาๆ ท่าทางสงบนิ่ง
ได้ฟังลู่เซิ่นพูดแบบนี้ ในใจของโจวซิงก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
โจวซิงมองอาการบาดเจ็บที่หนักขึ้นของเขา ก็ขมวดคิ้ว “เฮ้อ……ช่วงนี้ นายจะทำผลีผลามอีกไปไม่ได้แล้ว คำพูดของฉันเมื่อกี้ไม่ใช่จะพูดให้นายกลัวจริงๆ ถ้ามีโรคหลงเหลืออยู่ ไม่สามารถรักษาได้ นั่นก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต นายเองก็ไม่หวังว่าในอนาคตแม้แต่จะเดินตรงๆยังลำบากใช่ไหม”
เขาผ่อนคลายอารมณ์เล็กน้อย แล้วก็พูดอย่างจริงจัง หวังว่าลู่เซิ่นจะนำคำที่เขาพูดมาใส่ใจ ไม่ทำเป็นหูทวนลม
โจวซิงเหลือบมองโจวเอ้อ ส่งสัญญาณให้เขาช่วยตนพูดจูงใจลู่เซิ่น
ครั้งนี้หยุดลู่เซิ่นไว้ไม่ได้ โจวเอ้อเองก็มีความผิด
เห็นลู่เซิ่นได้รับบาดเจ็บ เขาเองก็ทุกข์ใจไปด้วย
โจวเอ้อหันตัว มองลู่เซิ่นที่ก้มหน้าจมอยู่ในความคิด แล้วเอ่ยปากในเวลาที่เหมาะสม “ใช่แล้ว ลู่เซิ่น ถ้าฉินซีรู้ ว่าเป็นเพราะเธอทำให้นายเดินยังลำบาก ในใจของเธอจะทุกข์ใจมากแค่ไหน”
เขารู้อย่างลึกซึ้ง ว่าในใจของลู่เซิ่น ฉินซีนั้นสำคัญที่สุด
ภายใต้การพูดจูงใจของทั้งสอง ลู่เซิ่นเองก็ค่อยๆใจเย็นลง
เขามองไปที่ดวงตาที่เป็นห่วงสองคู่นั้นของโจวซิงและโจวเอ้อ “ฉันรู้แล้ว หลังจากนี้ฉันไม่ทำแล้ว”
อันที่จริง ลู่เซิ่นเองก็ไม่สามารถรับประกันได้โดยสมบูรณ์ว่าครั้งหน้าจะทำอย่างนี้ไหม ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจถ่างตามองดูฉินซีเสี่ยงอันตรายเพียงคนเดียว
แต่ว่า ลู่เซิ่นเองก็รู้ ถ้าเขาเป็นแบบนี้ต่อไป บาดแผลจะต้องหนักขึ้นเรื่อยๆแน่นอน
ถึงตอนนั้น มีโรคขึ้นมาจริงๆ เขาจะไปช่วยฉินซีได้ยังไง
ต่อให้ครั้งนี้ช่วยฉินซีออกมาแล้ว งั้นตอนที่จ้านเซินหาพวกเขาเจอ คิดจะพาฉินซีไป แล้วเขาจะปกป้องฉินซีไว้ ไม่ให้ฉินซีถูกบังคับจับไปได้ยังไง
เรื่องที่เหมือนกัน ลู่เซิ่นไม่หวังให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
คิดมาถึงตรงนี้ ลู่เซิ่นก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
ได้ฟังเขาพูดแบบนี้ โจวซิงจิตใจของกับโจวเอ้อก็สงบลงได้ในที่สุด
โจวซิงเดินเข้าไป หยิบกล่องยาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา “นายอย่าพึ่งขยับ ฉันช่วยจัดการให้”
……
อีกด้านหนึ่ง
ภายในองค์กร รายงานผลตรวจของฉินซีก็ได้มาอย่างรวดเร็ว
เธอมองดู สมรรถภาพทางกายบนนั้นเป็นปกติมาก
แต่ว่า ฉินซีไม่ได้เอารายงานเล่มนี้ไปให้จ้านเซินทันที
เธอรู้ จ้านเซินในตอนนี้ยังอยู่ในความลังเล
จากท่าทีเมื่อวาน ดูออกไม่ยาก จ้านเซินในตอนนี้ไม่มีความคิดที่อยากจะส่งเธอออกไปปฏิบัติภารกิจเลย
ไม่แน่ว่า จ้านเซินกำลังสงสัยจุดประสงค์ที่เธอรีบร้อนจะออกไปอีกครั้งขนาดนั้น
คิดมาถึงตรงนี้ ฉินซีรู้สึกว่าตนจะใจร้อนแบบนี้ไม่ได้
เธอจำเป็นต้องใจเย็นลง แสร้งทำทีเป็นไม่สนใจ ไม่อาจปล่อยให้จ้านเซินเห็นความน่าสงสัยได้
ดังนั้น ฉินซีจึงทิ้งระยะไว้สองสามวัน ถึงค่อยมาหาจ้านเซิน
ในห้องหนังสือ จ้านเซินกำลังทำงานอย่างจริงจัง
“ก๊อกก๊อกก๊อก……”
เคาะประตู เสียงที่กลัดกลุ้มดังขึ้น
จ้านเซินขมวดคิ้ว จ้องเอกสารอย่างไม่ละสายตา เอ่ยปากแผ่วเบา “เข้ามา”
หลังจากได้รับคำอนุญาตจากเขา ฉินซีก็เปิดประตูห้องเดินเข้าไป
เมื่อเข้ามา เธอก็เห็นเค้าโครงใบหน้าที่ชัดเจนราวกับมีดของจ้านเซิน
เห็นจ้านเซินกำลังจัดการงาน ฉินซีก็ไปยืนเงียบๆอยู่ด้านหนึ่งไม่พูดอะไร
หลังจากจ้านเซินเซ็นชื่อของตนลงไปอย่างสง่างามที่มุมขวาล่างของเอกสารแล้ว ถึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา
เมื่อเขาเห็นว่าคนที่มาคือฉินซี ก็มีแสงแวบผ่านในดวงตาสีเข้ม
จ้านเซินวางเอกสารในมือลง สิบนิ้วไขว้กัน มองตรงไปที่ฉินซี เอ่ยปากถาม “ฉินซี เธอวิ่งมาหาฉันแต่เช้า มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
อันที่จริง ฉินซีมาหาเขาทำไม จ้านเซินรู้ดียิ่งกว่าใคร
เขาเพียงแค่กำลังหลีกเลี่ยงช่วงเวลานี้โดยเจตนา ไม่อยากเผชิญหน้าก็เท่านั้น
ฉินซีมองพระอาทิตย์ดวงโตนอกหน้าต่าง “ไม่เช้าแล้ว พระอาทิตย์ส่องก้นแล้ว ฉันออกกำลังกายในห้องฝึกซ้อมมาตลอดช่วงเช้าแล้ว ถึงมาหานาย”
เธอชี้แสงแดดจ้านอกหน้าต่าง พูดอย่างไร้คำจะพูด
ฉินซีได้ฟังความหมายที่จ้านเซินพูด ก็รู้ว่า ตอนนี้เขายังคงไม่อยากมอบหมายให้ตนออกไปปฏิบัติภารกิจ
แต่ว่า มาก็มาแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เธอก็จะลองดูเสียหน่อย
จ้านเซินมองตามทิศทางของนิ้วมือเธอ เห็นด้านนอกพระอาทิตย์ส่องแสงถึงพื้นแล้ว แผ่ออร่าที่ร้อนระอุ ก็อดไม่ได้ที่จะเก้อเขิน
ข้ออ้างนี้ของเขา มันชุ่ยเกินไปหน่อยแล้ว
“อะแฮ่ม……”
บนใบหน้าอันหล่อเหลาของจ้านเซิน เป็นครั้งแรกที่เผยท่าทางเขินอายออกมา
ฉินซีจ้องมองเขา ในใจรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“โอเค ฉันทำงานนานเกินไปจนลืมเวลาไปแล้ว”
จ้านเซินหาข้ออ้างมาได้อย่างทันท่วงที ช่วยปกปิดสิ่งที่ตนพูดไปเมื่อกี้ “เธอพูดมาตามตรงเลย มาหาฉันมีธุระอะไร”
เขาจ้องฉินซีด้วยแววตาที่ร้อนแรง รอคำตอบของเธอ
ฉินซีสัมผัสได้ถึงการบีบคั้นที่แข็งแกร่งจากสายตาของเขาอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้ดี จ้านเซินจะต้องไม่เต็มใจให้เธอเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนั้นแน่
แต่ว่า เมื่อนึกถึงลู่เซิ่นที่ยังคำนึงถึงตนอยู่ด้านนอก ฉินซีก็เลือกที่จะเผชิญหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “วันนั้นนายให้ฉันไปหาเหยาจ้าวทำการตรวจสอบโดยละเอียด นี่ให้นาย ผลตรวจออกมาแล้ว นายลองดู”
ขณะที่พูด เธอก็หยิบแบบฟอร์มรายงานที่ถูกพับจนไม่เป็นรูปเป็นร่างออกมาจากในกระเป๋ากางเกง ส่งให้จ้านเซิน
จ้านเซินมองไปที่ฟอร์มรายงานที่ยับเยินอย่างไร้คำพูดเล็กน้อย คลี่ออกทีละน้อยอย่างช่วยไม่ได้ การเคลื่อนไหวระมัดระวัง กลัวว่าจะทำฉีกขาด
จ้านเซินรู้แต่แรกแล้วว่ารายงานการทดสอบของฉินซีออกมาแล้ว
สองสามวันนี้ จ้านเซินเอาแต่คิดอยู่ตลอด ว่าฉินซีจะมาหาเขาเมื่อไหร่
แน่นอน เขาเดาไม่ผิด ฉินซีมาแล้ว
จ้านเซินตรวจดูอย่างละเอียด ให้แน่ใจว่าทุกรายการบ่งชี้ว่าเป็นปกติ “อืม ฉันดูแล้ว”
เขาวางฟอร์มรายงาน ไว้ท่ามกลางแฟ้มเอกสารด้านหนึ่ง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง