ถังย่าตกตะลึง พร้อมขมวดคิ้ว:“ เธอพูดให้ชัดเจนนะ อะไรที่เรียกว่ามีแนวโน้มจะทำร้ายผู้อื่น”
รูปลักษณ์ของถังย่าทำให้คนยากที่จะลืม ดังนั้นพยาบาลจำเธอได้ชัดเจน ตั้งแต่ผู้ป่วยห้อง8192มาก็เป็นเธอที่เคยอยู่ข้างๆตลอดเวลา พยาบาลเหล่านั้นลับหลังแล้วยังเคยพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู้ป่วย ต่างก็ลงความเห็นกันว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นคู่รักกัน ดังนั้นถึงแม่ว่าถังย่าจะถามลงรายละเอียด เธอก็ไม่ได้ปิดบัง เพียงแต่ลังเลแค่ครู่หนึ่ง จึงได้พูดความจริงออกมาว่า:“ ประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ผู้ป่วยอาละวาดขั้นรุนแรง ทำร้ายรปภ.ของโรงพยาบาลเราไปหลายคน แม้แต่อารักขาที่คุณพามาด้วยก็ถูกเขาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไปหลายคน สุดท้ายคุณหมอเลยต้องฉีดยาระงับประสาท เขาถึงสงบสติลงได้ คุณหมอกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก จึงส่งเขาไปที่ห้องคนไข้พิเศษ ใช้ยาระงับประสาทควบคุมเขาไว้”
ถังย่าฟังคำพูดของพยาบาลแล้วกลับขมวดคิ้วหนักขึ้น:“ ยาระงับประสาท?ปริมาณยาระงับประสาทที่พวกคุณฉีดคือเท่าไร?”
พยาบาลชะงัก เสียงเบาดั่งเสียงยุงและแมลงวัน :“ ……ปริมาณสามเท่า”
สีหน้าของถังย่าเคร่งขรึม
เธอรู้ว่า จ้านเซินได้รับการฝึกพิเศษต่อการต่อต้านยา ยาระงับประสาทที่ใช้ได้กับคนธรรมดาทั่วไปสำหรับเขาแล้ว น่าจะใช้ไม่ได้ผล
แต่เธอก็นึกไม่ถึงว่าทางโรงพยาบาลจะใช้ยาในปริมาณสามเท่าในคราวเดียวกัน
เธอกัดฟันพูดแบบไม่ค่อยเต็มใจว่า:“พาฉันไปพบเขา เดี๋ยวนี้”
อาจจะเป็นเพราะสีหน้าของเธอแย่เกินไป พยาบาลพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว ไม่ได้เอ่ยปากอะไรอีก แล้วพาเธอเดินไปที่ลิฟต์
ถ้าใช้ยาระงับประสาทเกินขนาด……ถ้าอาการหนักอาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
บางทีอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศในลิฟต์เงียบเกินไป พยาบาลอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น:“คุณถังไม่ต้องกังวลเกินไปนะคะ พวกเราฉีดตามปริมาณที่คุณหมอบอกค่ะ ไม่ได้สุ่มทำมั่วๆ”
แต่ยังพูดยังไม่ทันจบประโยค เธอเหลือไปเห็นสีหน้าถังย่า จึงเงียบปากโดยอัตโนมัติ
แม้ว่าถังย่าจะรู้ว่าคุณหมอประเมินตามลักษณะอาการของจ้านเซินแล้วถึงกล้าฉีด แต่ไม่ให้เธอกังวล เธอยากที่จะทำได้
เสียงของลิฟต์ที่ดังขึ้นทำลายความเงียบลง พยาบาลเองก็เกือบจะทนความกดดันจากถังย่าไม่ไหว เดินจ้ำอ้าวออกไปอย่างรวดเร็ว เลี้ยวสองสามรอบด้วยความถนัดในเส้นทาง แล้วเอื้อมมือออกไป:“ก็คือที่นี่ค่ะ”
ถังย่าอยู่ข้างหลังเธอไม่กี่ก้าว ก็เห็นการ์ดที่คุ้นเคยยืนอยู่หน้าประตูแบบระยะไกลๆ
แต่ไม่มีจูจื้อซิน
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ ณ ตอนนี้จ้านเซินส่งผลต่ออารมณ์ความคิดทั้งหมดของเธอ เธอไม่มีเวลาว่างที่จะไปคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับจูจื้อซิน ดังนั้นเธอจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ชั่วคราว แล้วกลับมาโฟกัสที่ตัวจ้านเซินอีกครั้ง เธอเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าห้องคนไข้ ไม่มีคำทักทายใดๆกับการ์ดทั้งสองเลย เธอยื่นมือออกไปเปิดประตู
พยาบาลไม่ได้เอื้อมมือห้ามเธอ ปล่อยให้เธอเดินเข้าไปเอง
ในห้องผู้ป่วยเงียบกว่าข้างนอกมาก ได้ยินแค่เพียงเสียงหึ่งๆเบาๆของเครื่องมือที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น
ถังย่าลดเสียงฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว แล้วค่อยๆเดินไปหัวเตียงคนไข้
แต่ก่อนเมื่อตอนที่จ้านเซินยังมีสติอยู่ เธอจะหยุดเว้นระยะห่างต่อหน้าจ้านเซินหนึ่งเมตรเสมอ
ไม่ว่าจ้านเซินเป็นผู้นำที่น่าเกรงขามขององค์กร หรือเพราะถังย่ามีเรื่องไม่ดีปิดบังในใจ ยังไงเธอก็จะไม่เข้าใกล้เขาจนเกินไป แต่อาจจะเป็นเพราะตอนนี้จ้านเซินนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ทำให้ถังย่าเหมือนจะโดนมนต์สะกด เธอเดินใกล้เข้าไปทีละก้าวๆจนยืนอยู่ข้างเตียง จึงได้หยุดเดิน
เธอลดสายตาลงแล้วจ้องมองไปที่จ้านเซิน
เธอไม่เคยเห็นจ้านเซินเวลานอนหลับเลย ในทางตรงกันข้าม มีช่วงเวลาหนึ่ง เธอต้องรับผิดชอบตารางงานของจ้านเซิน เธอต้องปลุกเขาตื่นนอนแทบจะทุกวัน
แต่ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
ตอนนั้นเธอรู้ว่าถึงยังไงจ้านเซินจะตื่นขึ้นมาตอนไหนก็ได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะหลับตาอยู่ ถังย่าบังคับตัวเองไม่ให้มองมากจนเกินไป เธอยืนอยู่ข้างๆอย่างมีระเบียบวินัย
คำพูดของพยาบาลคนนั้นดังก้องอยู่ข้างหูถังย่า
“คุณวางใจได้ แม้ว่าการฉีดยาระงับประสาทเป็นปริมาณมากถึงสามเท่า จะทำให้คุณจ้านเข้าสู่โหมดที่หลับลึกมากๆในตอนนี้ แต่ความสามารถในกระบวนการการเผาผลาญของคุณจ้านดีกว่าที่พวกเราเคยเจอมาในรอบหลายปี รอส่วนผสมของยาระงับประสาทถูกเผาผลาญแล้ว เขาก็จะตื่นขึ้นมาได้ตามปกติ” ณ เวลานั้นถังย่าให้ความสนใจแค่คำพูดครึ่งหลังของพยาบาล แต่ในเวลานี้ไม่รู้ทำไม จู่ๆสมองก็เต็มไปด้วยคำพูดในครึ่งประโยคแรก
“โหมดที่หลับลึกมากๆ”
ถังย่าพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ เธอโน้มตัวลงไปอย่างช้าๆ ค่อยๆยื่นมือออกมา จินตนาการตามโครงร่างกระดูกคิ้วของจ้านเซิน
เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ออกมาจากความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ณ ตอนนี้เธอกลับรู้สึกศรัทธาขึ้นมา
กระดูกคิ้วของจ้านเซินสูงมาก ดังนั้นหน้าตาจึงดูเฉียบแหลม บวกกับรูปร่างสูงใหญ่และดูเย็นชา ดังนั้นตอนที่เขาฟื้นอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่จะได้พูดอะไร แค่เพียงยืนอยู่ข้างๆ ทุกคนก็ต่างก็รู้สึกห่างเหิน
แต่เขาที่กำลังหลับตาอยู่ตอนนี้ นอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างสงบ
ถึงแม้ว่าจะฉีดยาระงับประสาท บางทีเขาอาจจะยังหลับไม่สนิท จ้านเซินขมวดคิ้วเล็กน้อย ลักษณะอย่างนี้คนแปลกหน้ามองแวบเดียวก็จะรู้ว่าบุคคลคนนี้ไม่ควรที่จะมีเรื่องด้วย
แต่ถังย่ากลับติดกับดักความเป็นตัวของเขา
ปลายนิ้วของเธอสไลด์บนผิวของจ้านเซินไปมาอย่างกล้าๆกลัว
ถ้าหากจ้านเซินลืมตาขึ้นมาในตอนนี้ บางที่เขาอาจจะประหลาดใจกับแววตาที่ลึกซึ้งของถังย่า
“ทำไมนะ……”
เธอพึมพำ ไม่รู้ว่ากำลังถามจ้านเซินที่หลับใหลอยู่ หรือว่าถามตัวเอง
ทำไมต้องเป็นเขาด้วยนะ
ทำไมถึงต้องเป็นเขานะ
ทั้งๆที่รู้ว่าหัวใจของเขามีไว้ให้คนอื่นตลอดไป ไม่วันที่จะมีที่ว่างสำหรับตัวเอง แต่อย่างไรก็ไม่มีวิธีโน้มน้าวใจให้ยอมแพ้ได้
ไม่กล้าเอ่ยปาก ไม่กล้าอธิบาย กลัวว่าถ้าเขารู้แล้วจะถูกผลักไส ถึงขั้นกลัวว่าเขาจะเกลียดตัวเอง จึงได้เพียงแต่เก็บรักไว้ในใจอย่างไร้ซึ่งความหวัง เปรียบเสมือนการรักษาน้ำในอุ้งมือกลางทะเลทราย
บนใบหน้าของถังย่ามีความเศร้าปะปนอยู่ในความรู้สึกอันลึกซึ้ง รอยยิ้มที่มุมปากของเธอดูขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือสิ่งที่ไม่มีวันจะได้มาครอบครอง แต่กลับไม่ยอมปล่อยผู้ชายไป……
บางทีการที่จ้านเซินหลับใหลชั่วคราวเหมือนเป็นการให้กำลังใจเธอ หรือบางทีความรักที่สิ้นหวังในหัวใจทำให้เธออาลัยตายอยาก เธอไม่รู้ว่าจู่ๆเอาความกล้าหาญมาจากไหน เธอดึงมือกลับมา แล้วหันหลังกลับ ไม่ให้เวลาตัวเองในการลังเลอะไรอีกต่อไป เธอค่อยๆ เอนตัวลงไปอย่างช้าๆ
เธอไม่กล้าหาญพอที่จะจูบไปที่ริมฝีปากของจ้านเซิน ริมฝีปากของเธอค่อยๆขยับมาตรงกลางระหว่างคิ้วของจ้านเซิน
หรือบางที เธอก็แค่เพียงอยากให้รอยหยักระหว่างคิ้วของจ้านเซินเรียบขึ้น
……นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในชีวิตของเธอที่จะได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับจ้านเซิน
ถังย่าไม่ได้หลับตา เธอไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะได้มีโอกาสมองจ้านเซินในระยะห่างอย่างนี้อีกมั๊ย ดังนั้นเธอไม่ยอมปล่อยผ่านแม้แต่วินาทีเดียว
จนกระทั่งตอนที่ริมฝีปากของเธอกำลังจะสัมผัสตรงกลางระหว่างคิ้วของจ้านเซิน
ถังย่ารู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังปัดคางของเธอเบาๆ
มันนุ่มๆ เหมือนแปรงเล็กๆสองอัน
นี่คือ……
ถังย่าสะดุ้งตกใจไปทั้งตัว