บทที่ 476 โชคดีในโชคร้าย
มู่เฉิงมองหลานชาย จากนั้นก็ส่งเสียงหึออกมา แล้วยื่นมือออกไปจะแย่งแก้วเหล้าคืน
แต่มู่วี่สิงกลับทิ้งลงในถังขยะ
มู่เฉิงหันกลับมา จากนั้นก็ยกขวดเหล้าขึ้นดื่มทั้งขวด
ครั้งนี้ มู่วี่สิงตรงเข้าไปโยนขวดเหล้าทิ้ง
“ปู่ครับ ถ้าปู่เมาเหล้าตาย คงไม่มีใครจัดงานศพให้ปู่หรอกนะ” มู่วี่สิงพูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม
“แก……” มู่เฉิงสะอึก
มีแค่มู่วี่สิงเท่านั้นล่ะที่กล้าพูดกับเขาอย่างนี้
“ไม่ดื่มแล้วก็ได้” มู่เฉิงพูดอย่างรำคาญ
“ปู่ครับ ถึงปู่จะโกรธผม แต่ปู่ก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายสุขภาพตัวเองอย่างนี้นะครับ” มู่วี่สิงพูดเสียงหนัก
“รู้แล้วน่า ฉันเองก็ยังอยากมีชีวิตอยู่นานๆเหมือนกันนั่นแหละ!”
“งั้นก็ลงไปกินข้าวกับผม”
“ไม่หิว”
“คุณปู่ครับ ปู่อยากให้ผมทำอะไรกันแน่” มู่วี่สิงมุ่นคิ้ว น้ำเสียงก็อ่อนลง
ได้ยินดังนั้น มู่เฉิงก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
มู่วี่สิงนั่งลงที่โซฟาข้างๆอย่างใจเย็น
“อาทิตย์หน้าฉันจะประกาศให้แกขึ้นสืบทอดบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปอย่างเป็นทางการ พร้อมกับให้แกดำรงตำแหน่งประธานบริษัทด้วย”
และนี่ก็เท่ากับว่า มู่วี่สิงเข้าควบคุมบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปอย่างสมบูรณ์
แต่ว่า สิทธิ์การสืบทอดไม่ได้อยู่ในมือของมู่วี่สิง
“แต่คุณปู่ครับ มู่เหิงยังไม่ได้สละสิทธิ์สืบทอดนะครับ” มู่วี่สิงขมวดคิ้ว
เพราะสิทธิ์ของมู่เหิงมีผลในด้านกฎหมาย
“ไอ้เวรมู่เหิงนั่น ถูกตัดออกจากวงศ์ตระกูลแล้ว! เขาไม่ใช่คนของตระกูลมู่อีกต่อไปแล้ว!” มู่เฉิงพูดขึ้นมาอย่างโกรธๆ
ได้ยินดังนั้น มู่วี่สิงก็รู้สึกแปลกใจ
คิดไม่ถึงว่าคุณปู่จะทำถึงขนาดนี้
“วันจันทร์ฉันจะจัดงานแถลงข่าว วี่สิง แกรีบไปลาออกจากโรงพยาบาลหลินไห่เลยนะ!” น้ำเสียงของมู่เฉิงออกคำสั่งโดยสิ้นเชิง
“คุณปู่ครับ ผมไม่คิดที่จะหยุดตรวจคนไข้หรอกนะครับ” มู่วี่สิงพูดเสียงเย็น
“ผมจะรับช่วงต่อบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปตามความต้องการของคุณปู่ แต่ถ้าคุณปู่อยากให้ผมทิ้งอาชีพหมอ แบบนั้นงานแถลงข่าวที่จะมีในวันจันทร์ ผมคงไม่เข้าร่วม” มู่วี่สิงพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่มู่เฉิงก็ยังคงไม่พอใจเหมือนเดิม มู่วี่สิงจึงส่งยาไปให้ “ปู่ครับ ปู่น่าจะรู้ ว่านี่คือสิ่งที่ผมยอมให้ได้มากที่สุดแล้ว”
พูดทิ้งท้ายเอาไว้ เขาก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สั่งคนรับใช้ให้ยกอาหารเย็นขึ้นมา
มู่ซือซือรออยู่ข้างนอกอย่างอกสั่นขวัญแขวน แต่เมื่อเห็นสีหน้าขมุกขมัวของพี่ชาย ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรขึ้นมา
เธอเข็นรถเข็นเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นสีหน้าซีดๆของคุณปู่ ก็รู้สึกคิดผิดที่เรียกพี่ชายกลับมา…….
“คุณปู่คะ กินข้าวค่ะ”
มู่เฉิงหายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้รู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาไม่น้อยเลย “อืม กินก็กิน”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดคุณปู่ก็ผ่อนคลาย มู่ซือซือก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ภายในห้องหนังสือ มู่วี่สิงยืนหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่าง เชิ้ตสีดำที่เขาสวมใส่อยู่ยิ่งขับให้เขามีรังสีทมิฬอยู่รอบกาย
ส้งวี่เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“คุณปู่พูดอะไรกับนายบ้าง”
ได้ยินดังนั้น มู่วี่สิงก็หันหลังกลับมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “วันจันทร์หน้าจะประกาศให้ฉันสืบทอดบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปอย่างเป็นทางการ”
“แล้วในความคิดของนาย มันไม่ใช่เรื่องดีเหรอ?” ส้งวี่ไม่เคยเห็นความยินดีใดๆบนใบหน้าของมู่วี่สิงเลย
“ดีสิ อย่างไรเสียคุณปู่ก็เขี่ยมู่เหิงออกจากวงศ์ตระกูล เพื่อให้ฉันมาสืบทอดแทน”
ได้ยินดังนั้น ส้งวี่ก็นิ่งไปอย่างรู้สึกประหลาดใจ
คุณปู่นี่ก็ร้ายใช่ย่อย
“แล้วนายคิดจะทำยังไงกับที่โรงพยาบาล?”
“ฉันก็จะรักษาคนไข้ต่อไป”
“คงตัดใจทิ้งชื่อคุณหมอมู่ไม่ลงสินะ” ส้งวี่ยิ้มออกมา
“อืม ตัดใจไม่ลงอยู่แล้วล่ะ”
“ก็ขอให้คุณปู่เลิกดึงดันสักทีเถอะ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขากังวล
ขณะเดียวกัน ณ บริษัทเหิงอวี่กรุ๊ป
เมื่อได้ข่าวว่าอาทิตย์หน้ามู่วี่สิงจะขึ้นรับตำแหน่งประธานบริษัท มู่เหิงก็โกรธจนเนื้อเต้น
เขาต่างหากที่เป็นทายาทของบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เขายังไม่ได้สละสิทธิ์การสืบทอดนี้ซะหน่อย!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็มุ่งไปยังบ้านใหญ่ตระกูลมู่อย่างโกรธจัด
ในตอนที่มู่วี่สิงกำลังจะออกไป รถของมู่เหิงก็มาจอดพอดี
เมื่อเห็นมู่วี่สิง มู่เหิงก็ไปขวางเขาเอาไว้
“มู่วี่สิง นายมีสิทธิ์อะไรมาสืบทอดบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป!” มู่เหิงพูดเสียงโกรธ
ได้ยินแบบนั้น มู่วี่สิงก็กระตุกริมฝีปากขึ้นเบาๆ “ฉันไม่มีสิทธิ์ แล้วนายมีสิทธิ์เหรอ?”
“ทำไมฉันจะไม่มี! ฉันคือหลานคนโตนะ!”
“คุณปู่ตัดนายออกจากวงศ์ตระกูลแล้ว ตอนนี้นายไม่ใช่คนในตระกูลมู่แล้ว”
“นายพูดอะไร…….” มู่เหิงเบิกตากว้าง ยากที่จะเข้าใจเรื่องที่ได้ยินมา
“มู่วี่สิง นายกำลังโกหกฉันแน่ๆ! นายโกหกฉัน! คุณปู่จะไล่ฉันออกจากตระกูลมู่ได้ยังไง!”
“ถ้าไม่เชื่อ ก็ไปขอดูทะเบียนวงศ์ตระกูลกับคุณปู่ดูสิ” พูดจบ มู่วี่สิงก็ไม่หยุดเดินอีกต่อไป
มู่เหิงวิ่งเข้าไปในคฤหาสน์อย่างโซซัดโซเซ แต่วินาทีต่อมาก็ถูกบอดี้การ์ดไล่ออกไป แม้แต่ประตูเขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้
กระเป๋าเดินทางที่ตอนแรกย้ายกลับมาก็ถูกโยนออกมาด้วย
“คุณปู่——“
เสียงที่ตอบกลับมีแค่เสียงโศกเศร้าของตัวเอง
มู่วี่สิงนั่งอยู่ในรถ ดวงตาเย็นชาจ้องมองสภาพจนตรอกของมู่เหิง นิ้วทั้งห้ากำพวงมาลัยรถเอาไว้แน่น
ในหัวก็นึกย้อนไปตอนอายุสิบปี เขาเห็นมู่เหิงผลักคุณแม่ตกตึกแปดสิบแปดชั้นเองกับตา ฉากนั้นยังฝังลึกอยู่ในหัวของเขามาตลอด
มู่เหิง ต่อให้นายตายไปก็ไม่มีอะไรให้น่าสงสารหรอก
มู่วี่สิงละสายตากลับมา เขาเหยียบคันเร่งอย่างเฉยชา จากนั้นรถหรูก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
……
ตระกูลโจว
ผู้ช่วยรายงานสถานการณ์ให้โจวเซินฟังอย่างกล้าๆกลัวๆ “มู่เฉิงตัดมู่เหิงออกจากวงศ์ตระกูล ตอนนี้มู่เหิงสูญเสียสิทธิ์การสืบทอดบริษัทมู่ซื่อกร๊ปไปแล้วครับ”
โจวเซินขมวดคิ้ว ด้วยสีหน้าอึมครึม
“ดูเหมือนว่ามู่เหิงจะไร้ประโยชน์ซะแล้วสิ”
“ช่วงนี้เขามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง?”
“อุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนไปต่อไปไม่ได้แล้วครับ ตอนนี้กำลังมุ่งจัดซื้อผลิตภัณฑ์ยาอยู่ แต่ว่าปัจจุบันยังไม่มีอะไรคืบหน้าครับ”
“โง่อย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย ไม่แปลกใจเลยที่มู่เฉิงไม่ส่งต่อบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปให้เขา”
เมื่อโจวเซินอ่านรายงานล่าสุดของบริษัทเหิงอวี่กรุ๊ป ก็แสดงสีหน้าเจ็บใจออกมา นี่เขาลงทุนเงินมูลค่าสิบล้านให้กับขยะหรอกเหรอ สงสัยช่วงนี้สายตาของเขาคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ที่ดินของเป่ยเจียวานที่ประมูลมาได้เมื่อเดือนที่แล้วก็มีปัญหา เกรงว่าแม้แต่เม็ดเงินที่ใช้ในการประมูลก็คงไม่ได้คืนมา
ผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงได้เรียกโจวหย่านมาหา
“พี่ มีอะไรเหรอ? ฉันอยากนอนละ” น้ำเสียงของโจวหย่านดูไม่ค่อยใส่ใจนัก
“วันนั้นที่แกเห็นเอกสารการประมูลที่ห้องทำงานของมู่วี่สิงน่ะ ลองนึกดูสิว่ามันมีอะไรแปลกไปไหม หรือไม่ก็ มู่วี่สิงมีท่าทีแปลกๆบ้างหรือเปล่า”
โจวหย่านขมวดคิ้ว “ไม่นะ นี่พี่คิดว่ามู่วี่สิงจับฉันได้แล้วเหรอ?”
“อืม”
คิดไปคิดมา ก็ดูเหมือนมู่วี่สิงขุดหลุมไว้ให้เขากระโดดลงไป
“ฉันนึกว่าตอนนั้นเขากำลังหลับ ก็เลยแอบอ่านดู”
“แกกลับไปนอนเถอะไป”
โจวเซินยกขาขึ้นไขว่ห้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “นี่ก็โง่อีกละ”
……
ช่วงสุดสัปดาห์ เวินจิ้งไม่ต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาล เธอจึงนอนขี้เซาอย่างที่นานๆทีจะมีครั้ง ในตอนที่ตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี
เมื่อลงมาห้องรับแขก ก็เห็นหลินเวยจิบชาไปพร้อมกับสะสางงานไปด้วย
ข่าวที่กำลังออกอากาศอยู่ในโทรทัศน์ คือข่าวที่ดินที่ใช้ในการรักษาพยาบาลของเป่ยเจียวานมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทบางอย่าง จึงต้องหยุดบุกเบิก จนตระกูลโจวต้องเผชิญกับความเสียหายมหาศาล
เพราะเธอได้เข้าร่วมงานประมูลในครั้งนั้นด้วย เธอจึงจำได้เป็นอย่างดี
ที่ดินตรงนั้นถูกตระกูลโจวประมูลมาได้ในราคาที่ค่อนข้างสูง
แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถบุกเบิกได้ แบบนั้นเงินทุนของตระกูลโจวจึงมีความเป็นไปได้ที่จะสูญเปล่าโดยไม่ได้อะไรคืนมา
“โชคดีที่ตระกูลโจวประมูลไปได้ ไม่อย่างนั้นความซวยคงตกมาอยู่ที่บริษัทหลินซื่อแล้ว” หลินเวยพูดขึ้นมาอย่างดีใจ
ถึงแม้บริษัทหลินซื่อจะมีเงินทุนเพียงพอ แต่ถ้าเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้สูญเปล่าไปเฉยๆ คงส่งผลกระทบต่อบริษัทเป็นแน่
“คงเป็นโชคดีในโชคร้ายล่ะมั้งคะ” เวินจิ้งยิ้ม
และก็โชคดีมากๆเหมือนกันที่บริษัทมู่ซื่อกรุ๊ปประมูลมาไม่ได้