บทที่568 ลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี
“คุณจะต้องเรียนหรือไม่เรียน ไม่ใช่ว่าผมแค่พูดออกมาเพียงประโยคเดียวก็ได้แล้วไม่ใช่หรือครับ” มู่วี่สิงเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ
เวินจิ้ง : ……….
ทำไมตอนนี้เธอถึงได้มีความรู้สึกว่าศาสตราจารย์มู่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้กันนะ…..
“มู่วี่สิง คุณต้องเข้มงวดหน่อยสิคะ”
“อืม ในเมื่อจิ้งจิ้งขอมาแบบนี้แล้ว พรุ่งนี้ผมจะทำให้คุณรู้ว่าผมเข้มงวดขนาดไหนนะ”
เวินจิ้ง : ……..
เธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก……
………..
วันถัดมา เวินจิ้งตื่นเร็ว จึงไปทานอาหารเช้าที่โรงอาหาร ช่วงนี้เจียงฉีเองก็เข้ามาเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาติดตามเฉินเหว่ยศาสตราจารย์ที่มีอำนาจทางด้านศัลยกรรม
เห็นเวินจิ้งแล้ว เขาจึงแวะเข้ามาทักทายก่อน
“วันนี้เธอมีเรียนของเฉินเหว่ยไหม?” เจียงฉีเอ่ยถาม
เวินจิ้งยิ้มพลางพยักหน้า “เป็นครั้งแรกของฉันเลยล่ะที่ได้ไปฟังวิชาของเขา ได้ยินชื่อเสียงของเขามานานแล้ว”
เฉินเหว่ยย้ายมาจากประเทศF ตอนนี้รับนักศึกษาบางส่วนของส้งเชนไป
“ช่วงแรกๆเขามีชื่อเสียงพอๆกับศาสตราจารย์มู่เลยนะ ฉันเองก็ชื่นชมเขามาตั้งนานแล้วเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะได้กลายมาเป็นนักศึกษาของเขาแล้ว”
“เป็นไปตามที่นายต้องการเลย ไม่ดีรึไง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องยกให้ที่เธอช่วยฉันเอาไว้ตอนนั้น” เจียงฉีมองเธอ
ทั้งสองคนนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน หัวข้อในการพูดคุยของเจียงฉีนั้นสามารถทำให้เวินจิ้งตอบกลับไปได้อย่างสบายๆ ทำให้ตลอดช่วงเช้าเธอสามารถรักษารอยยิ้มของเธอเอาไว้ได้ตลอด
ตอนกลางวันเธอนัดมู่วี่สิงทานข้าวเอาไว้ เลิกเรียนแล้วเวินจิ้งจึงบอกลากับเจียงฉี
แต่เขากลับเรียกเธอเอาไว้ “เมื่อกี้นี้ที่ศาสตราจารย์เฉินให้ทำงานกลุ่มให้เสร็จ เธอว่าเราอยู่กลุ่มเดียวกันโอเคไหม?”
“ฉันได้อยู่แล้ว ฉันยินดีที่จะอยู่กับกลุ่มเด็กเรียนอยู่แล้วล่ะ” ดวงตาเวินจิ้งโค้งได้รูป
“วันนี้ช่วงบ่ายเธอว่างหรือเปล่า? ถ้าไม่อย่างนั้นตอนบ่ายพวกเราคุยกันหน่อยดีไหม?”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “ตอนบ่ายฉันมีทดสอบน่ะ อาจจะต้องเป็นคืนนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้แล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้หนึ่งทุ่มล่ะ?”
“ได้สิ”
เมื่อเคลียร์เรื่องเวลาได้แล้วนั้น เวินจิ้งจึงเขียนลงในบันทึกของเธอ แต่เธอก็ยังไม่มีเวลารวบรวมค้นหาข้อมูล เกรงว่าคืนนี้คงจะไม่ได้มีประสิทธิภาพอะไรมากมายซักเท่าไรนัก
แต่เมื่อครู่ท่าทางกระตือรือร้นของเจียงฉี อีกทั้งงานจะต้องส่งในสัปดาห์หน้า เวินจิ้งจึงไม่สามารถที่จะบอกปัดออกไปได้
ช่วงกลางวัน เนื่องจากว่ามู่วี่สิงติดงาน เวินจิ้งจึงทำได้เพียงแค่ต้องห่ออาหารมาให้เขา
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่นั่งพิงอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน เวินจิ้งมองเขาอยู่ไกลๆ อดที่จะใจเต้นแรงขึ้นมาไม่ได้
ตอนนี้มู่วี่สิงเป็นศาสตราจารย์ของเธอ เวินจิ้งยังคงรู้สึกเหมือนกับฝันอยู่เช่นเดิม
“ศาสตราจารย์มู่” เดินเข้าไปใกล้ เธอเอ่ยเรียกเขาอย่างนอบน้อม แล้วรักษาระยะห่างจากเขาเอาไว้
มูวี่สิงเงยหน้าขึ้นมา แล้วโบกมือเรียกเวินจิ้ง “มานี่สิครับ”
“ค่ะ”
เพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นเองมู่วี่สิงก็โอบเอวบางของเธอเข้ามา เวินจิ้นที่ยังไม่ทันตั้งตัวนั้นก็ล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ลมหายใจของผู้ชายที่คุ้นเคย เป็นกลิ่นที่ดีมาก
เธอต้องกอดคอของมู่วี่สิงเอาไว้ถึงจะสามารถทรงตัวนั่งได้
แต่ท่าทางแบบนี้….ใกล้ชิดเกินไปแล้ว
ถึงแม้ว่าประตูจะปิดอยู่ แต่ก็สามารถมีคนเข้ามาได้ตลอดเวลา…..
เวินจิ้งก้มลงมองมู่วี่สิง คิดอยากจะหนีออกจากอ้อมกอดของเขา
เพียงแต่แรงของมู่วี่สิงนั้นเธอจะดิ้นหลุดออกมาได้อย่างไรกัน กลับยิ่งถูกเขากอดแน่นขึ้นไปกว่าเดิมเสียอีก…..
“ศาสตราจารย์มู่……”
“มู่วี่สิง…….”
ริมฝีปากบางของมู่วี่สิงยกขึ้น เห็นสีหน้าท่าทางของเวินจิ้งแล้วนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น
กดเขาไว้ในอ้อมกอดตัวเองแล้วจูบเธอ เขาอยากลิ้มลองรสชาติตามใจเขาที่ไม่อาจจะหยุดได้นี้
จนกระทั่งเวินจิ้งหายใจหอบถี่…..
“คุณเกินไปแล้วนะคะ ฉันมาส่งอาหารให้คุณ ตอนนี้คุณเกือบจะกินฉันแทนแล้ว…..”เวินจิ้งบ่นพึมพำออกมา
มีความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองตกหลุมพรางที่เขาวางไว้เสียอย่างนั้น….
“อืม ผมอยากจะกินคุณแล้วจริงๆ”
เวินจิ้ง : …….
“คุณรีบทานข้าวเถอะค่ะ ตอนบ่ายจะต้องไปห้องปฏิบัติการนะคะ ศาสตราจารย์!” เวินจิ้งพยายามเน้นคำที่เธอเรียกเขา
มู่วี่สิงไม่ได้ทรมานเธออีก จึงนั่งลงบนโซฟา และเพิ่งจะเริ่มทานข้าวนั้น โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
เขาขมวดคิ้วแล้วรับสาย
“คุณมู่ ฉันเลี่ยวหยง”
ห้านาทีหลังจากนั้น มูวี่สิงถึงได้วางสายไป เบื้องต้นแล้วมู่วี่สิงไม่ได้พูดอะไรมาก ล้วนแต่เป็นเลี่ยวหยงที่เป็นฝ่ายพูดทั้งนั้น ดังนั้นเวินจิ้งจึงไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนนั้นพูดเรื่องอะไรกัน
“ทำไมหรือคะ?” เธอมองมู่วี่สิง
“วิชาห้องปฏิบัติการยกเลิกไปก่อนนะครับ ผมจะต้องไปที่โรงพยาบาลหนานเฉิงรอบนึงก่อนครับ”
“ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยหรือเปล่าคะ?”
“น่าจะไม่ได้กลับมาครับ”
ในใจของเวินจิ้งนั้นมีความรู้สึกหงอยเหงาขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
มู่วี่สิงยังมีงานอื่น เธอจะมายึดติดแบบนี้กับเขาคนเดียวไม่ได้
ทานอาหารเสร็จแล้วนั้นมู่วี่สิงก็ออกไปเลยทันที และไม่นานเจียงฉีก็ส่งข้อความมา เวินจิ้งจึงบอกกับเขาไปว่ามู่วี่สิงมีธุระคลาสเรียนนั้นจึงถูกยกเลิกไป ทั้งสองคนจึงไปปรึกษาเรื่องงานกันที่ห้องเรียน
เวลานี้ ที่โรงพยาบาลหนานเฉิง
โจวหย่านถูกรถโรงพยาบาลส่งตัวมา มู่วี่สิงลงจากรถมานั้น เลี่ยวหยงก็วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว
“คุณหมอมู่ คุณจะต้องช่วยลูกสาวฉันด้วยนะ….”
เธอเองก็ไม่ทางอื่นถึงได้ต้องมาขอความช่วยเหลือจากมู่วี่สิงเช่นนี้
อาการป่วยของโจวหย่านนั้นไม่คงที่มาโดยตลอด จนเมื่อเช้านี้เธอมีอาการชักน้ำลายฟูมปาก ช่วงนี้เธอเองก็จัดหาหมอให้มาดูอาการของโจวหย่านอยู่ตลอด แต่จนถึงตอนนี้ไม่มีหมอคนไหนที่จะยอมที่จะมารักษาโจวหย่านเลย อาการป่วยของเธอนั้นซับซ้อนเกินไป
อีกทั้งสถานการณ์แบบเธอนี้ เกรงว่าจะมีเวลาอีกไม่มากแล้วเสียด้วยซ้ำ
“คุณนายโจว คุณปล่อยผมก่อนนะครับ ผมขอไปดูผู้ป่วยก่อน” อารมณ์ของมู่วี่สิงนั้นนิ่งมาก
เลี่ยวหยงค่อยๆปล่อยมือออก ดวงตาเปื้อนไปด้วยน้ำตา เธอแทบจะไม่มีแรงยืน จึงล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้น
ช่วงนี้ตระกูลโจวกำลังรับมือกับบริษัทมู่ซื่อกรุ๊ป เธอเองก็ไม่แน่ใจว่ามู่วี่สิงจะสามารถช่วยโจวหย่านได้ เพียงแค่ต้องคว้าเอาไว้ก่อนเท่านั้น
ตอนนี้เห็นมู่วี่สิงมาแล้ว กลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว
เวลานี้เองโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น โจวเซินโทรเข้ามานั้นจึงทำให้สีหน้าของเลี่ยวหยงนั้นเคร่งขรึมขึ้นมา
“แม่ ทำไมพาโจวหย่านส่งไปหามู่วี่สิงที่นั่น”น้ำเสียงของโจวเซินมีความโมโหอย่างปิดไม่มิด
“ไม่ส่งมาให้มู่วี่สิงที่นี่ แล้วจะให้น้องรอความตายรึไง!”
“ผมเคยบอกแล้ว ว่าผมจะไม่ให้เกิดอะไรขึ้นกับโจวหย่าน”น้ำเสียงของโจวเซินนั้นราวกับจมอยู่กับฤดูหนาว
เลี่ยวหยงยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “ในหัวของแกคอยแต่จะคิดเรื่องผลประโยชน์แล้วก็คิดแต่จะทำร้ายคนอื่น ชีวิตของหย่านหย่านแกเคยใส่ใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”
โจวเซินจับโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่น ความโมโหนี้ทำให้เขาแทบอดที่จะเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือทิ้งไปเสียไม่ได้ แต่เวลานี้เขายังคงสามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้
“ผมเห็นว่าเธอเป็นน้องสาวแท้ๆของผมมาโดยตลอด!”
“แต่ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้เลย ชีวิตของลูกสาวฉัน ฉันจะช่วยเธอเอง!”
“มู่วี่สิงมีแต่จะทำให้เธอต้องตาย” คำพูดนี้หลุดออกมาแล้วโจวเซินก็เขวี้ยงโทรศัพท์มือถือของทิ้งเสียงดัง ปึง
เลี่ยวหยงหลับตาลงอย่างช้าๆ เป็นเวลานานกว่าที่อารมณ์จะเย็นลง
โจวหย่านกำลังอยู่ในห้องฉุกเฉิน เธอที่นั่งรออยู่ทางด้านนอกด้วยความไม่สบายใจ จนกระทั่งหลังจากนั้นอีกสองชั่วโมง ในที่สุดก็เห็นมู่วี่สิงเดินออกมา
“คุณหมอมู่!”
มู่วี่สิงถอดหน้ากากอนามัยออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจังเป็นอย่างมาก
“เนื้องอกในสมองส่วนกลาง ผมได้ติดต่อให้ทางศาสตราจารย์ทางแผนกสมองมาแล้วครับ ค่ำๆหน่อยพวกเราจะร่วมกันตรวจโรคอีกครั้งนะครับ คุณนายโจววางใจได้ครับ”
“หย่านหย่านจะมีความเสี่ยงถึงชีวิตไหมคะ?” เลี่ยวหยงเอ่ยถามอย่างกังวล นี่คือสิ่งที่เธอกังวลที่สุด
“มีครับ” มู่วี่สิงพยักหน้า
จากสถานการณ์ของโจวหย่านในตอนนี้ ล้วนแต่มีความเป็นไปได้ที่จะยื้อต่อไปไม่ไหวได้ตลอดเวลา
คำพูดนี้ เขาไม่ได้บอกกับเลี่ยวหยง ตอนนี้อารมณ์ของเธอนั้นแทบจะแหลกสลายไปหมดแล้ว
ช่วงระยะเวลานี้เลี่ยวหยงออกไปหาขอร้องหมอไปทั่วทุกสารทิศ และคงจะพอทราบถึงความขัดแย้งระหว่างเขากับโจวเซิน จึงไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากเขา
แต่เขาเป็นหมอหลักในการรักษาโจวหย่านมาโดยตลอด สถานการณ์ของโจวหย่านเขาเข้าใจทั้งหมด
และก็คงจะมีเพียงแค่เขาเท่านั้นถึงจะสามารถรับมือต่อได้